Thaipost: ครับ...บ้านเมืองเข้าสู่ยุค "มิคสัญญี" แล้ว จะให้ผมต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้อีกล่ะ เพราะสิ่งที่ควรพูด ก็พูดไปหมดแล้ว และสิ่งที่ควรบอก ก็บอกไปหมดแล้ว เหลือแต่คำสุดท้ายว่า ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่สามารถกำราบปราบปรามกบฏแผ่นดิน อันมีทักษิณเป็นตัวการใหญ่ได้ ผมก็เกรงว่า จาก ณ วันที่ ๑๒-๒๐ เมษา.นี้ ไม่เพียงนายกฯ อภิสิทธิ์เท่านั้นที่ยับเยิน บ้านเมืองในความหมายของ "ประเทศไทย" ก็ "ย่อยยับ" ด้วย!
ในยามนี้ ไม่ว่าเหลียวมองไปทางไหน รอบๆ ประเทศไทย นอกจากลุ่มเสื้อแดงทักษิณที่กำลังยึดบ้าน-ยึดเมืองแล้ว ก็เหมือนไม่มีคนไทยอื่นใดเหลืออยู่ในประเทศไทยเลย!
สภาพประเทศไทยวันปีใหม่-มหาสงกรานต์ของพุทธศักราช ๒๕๕๒ อย่าว่าแต่มนุษย์ร่ำไห้ แม้องค์เทพผู้สถิตรักษา "ปกบ้าน-ป้องเมือง" ก็ยังต้องหลุบเปลือกพระเนตร ด้วยเวทนาต่ออสัตย์สามานย์มนุษย์
ทุกข์กันได้ แต่ไม่ต้องให้ถึงหม่นไหม้ใจตนหรอกครับ ยามดี-บางดีก็เหลิงลืมฐานะแห่งตน ปู้ยี่ปู้ยำ-ย่ำยีบ้านเมืองกันนัก มีเหตุอาเพทให้ประจักษ์เสียบ้างจะได้รู้สำนึก ผมขอย้ำ "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" และย้ำกับท่านมาแต่ต้นปีแล้ว ฉะนั้น เมื่อบ้านเมืองส่งสัญญาณเข้าสู่วงรอบของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ตามอนิจลักษณะ
ท่านก็จงมั่นใจเถอะว่า เมืองไทยเป็นเมืองธรรม คนเริงเลวระยำ จะกระทำต่อบ้าน-ต่อเมืองได้ชั่วพัก-ชั่วครู่ตามทักษาเท่านั้น จะห้ำหั่นหักหาญเอาบ้านเอาเมืองหาได้ไม่!
และจะว่าไปอีกที เพราะมีสิ่งนี้ จึงทำให้สิ่งนั้นเกิด ซึ่งก็นั่นแหละคือเหตุปัจจัยขยับเขยื้อนนำไปสู่ "ความเปลี่ยนแปลง" ที่เราทั้งหลายจะเห็นรูปแบบใหม่ไทยวิไลเลิศหรูที่ทุกคนพอใจในอีก ๑๕-๒๓ ปีข้างหน้า
ผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่ทุบโต๊ะ-ฟันธงได้ว่า เศษสวะอย่างทักษิณ หรือระบอบทักษิณไม่มีส่วนได้ร่วมในการเปลี่ยนแปลงไปสู่มิติใหม่ของประเทศไทย ในอนาคตแน่นอน!
หนังสือสวดมนต์ และบทสวดพระพุทธมนต์ที่เคยบอกไป ยังยึดมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอกันอยู่ดีหรือเปล่าเอ่ย สวดให้กำลังเทพเทวาที่รักษาบ้านเมือง และสวดถวายพระพรชัยแด่ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หัว" ของเรา-คนไทยทุกคน ผมขอย้ำ..ไม่มีอะไรที่ทรงพลัง และขลังยิ่งใหญ่เหนือไปกว่า "พลังใจบริสุทธิ์" ของมวลประชาไปได้หรอก
ขาดอะไรก็ขาดได้ ในเวลานี้ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ "สติ"!
จงประคองสติเอาไว้ให้ตลอด อย่าให้อารมณ์โกรธ อารมณ์เครียด อารมณ์ทุกข์หม่นเศร้ามาครองใจแทนสติเป็นอันขาด ตราบใดที่ยังมีสติ ตามนั้น จะเห็นทางออกของสถาบันและบ้านเมือง เพราะสติมา-ปัญญาเกิดครับ
อย่าโทษใคร อย่าน้อยใจใคร อย่าคับแค้นใคร อย่าไปประชด-ประชันใคร ต้อง "ดูใจ-ถามใจ" ตัวเราเองดีๆ ก่อนในทุกเรื่อง อย่าหวังคอยให้คนอื่นมาช่วยชาติ ถ้าตัวเราเองไม่ช่วยก่อน สำหรับรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะนายกฯ อภิสิทธิ์ "ตำหนิกันมาพอแล้วครับ" อย่าไปพูดจาซ้ำเติมอะไรอันเป็นการทอนกำลังใจในขณะที่ท่านต้องทำหน้าที่ "ผู้นำสังคมชาติ" อีกเลย
ผิด-ถูก ว่ากันทีหลัง แต่ในยามตกอยู่ในสถาการณ์เครียดคลั่งของบ้านเมืองด้วยกัน อะไรช่วยกันทำให้ผ่านพ้นสถานการณ์จากผีป่าสิงเมืองไปได้ ก็ต้องช่วยกัน ไม่ควรไปซ้ำเติมอะไร ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไปอีก
นายกฯ อภิสิทธิ์กำลังเรียนรู้การเป็นผู้นำที่สมบูรณ์ด้วยประสบการณ์ และครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสทองที่ได้เหตุการณ์ล้ำค่ามาเป็นเบ้าหลอม ด้วยความร้อนระดับ ๑๐,๐๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์พิชิตได้ก็จะกลายเป็นผู้นำเหนือจุดหลอมละลายจากความร้อนใดๆ ในโลก
แต่ถ้าไม่ผ่านการหลอมละลายครั้งนี้ไปได้ ในเมื่อมาตามทางวิถีประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา ก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้เขาไปตามวิถี คือประกาศยุบสภา ให้ไปเลือกตั้งกันใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่เขาจะเอายังไง ก็ว่ากันไปตามนั้น อย่าไปคาดการณ์ถึงเรื่องราวล่วงหน้าให้มาเป็นโจทย์ของการตัดสินใจตอนนี้
ในเมื่อมีหน้าที่นำประเทศ แต่ไม่สามารถนำไปสู่ฝั่งฝันได้ ก็คืนอำนาจเขาไป...ลูกผู้ชาย กล้าทำ กล้ารับแบบเปิดเผย ยังสามารถเงยหน้าสู้ฟ้าดินได้อยู่!
ทำไมผมจึงแนะเรื่อง "ยุบสภา" เป็นทางออกสุดท้าย เพราะผมมองเห็นแล้วว่า บ้านเมืองขณะนี้ ไม่ว่าข้าราชการ ทหาร และตำรวจ อันเป็นองค์กรที่เรียกว่าเครื่องมือในกลไกบริหารอำนาจรัฐ ส่วนหนึ่งรวมตัวกันคล้าย "แข็งขืนต่ออำนาจผู้นำประเทศ" หรือเรียกว่า "ปฏิวัติเงียบรัฐบาล" ก็ประมาณนั้น
จะเป็น "ไส้ศึก" ให้ทักษิณในระบบรัฐ หรือจะเป็น "แนวร่วมกองทัพแดง" ในถนน นั่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดกัน เพราะพฤติกรรมทั้งแต่ ๘ เมษายน เป็นต้นมา ประจักษ์ชัดว่า "แดงยึดเมือง" ส่วนหนึ่งมาจากคนในระบบรัฐ "เปิดประตูเมือง" ให้ ทั้งในเรื่องปิดถนนทั้ง ๔ ด้านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กระทั่ง "เปิดทาง" ให้คนเสื้อแดงบุกพังโรงแรมรอยัลคลิฟ ที่พัทยา ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
เอาที่ล่าสุด เห็นจะจะลูกตาไปทั้งโลก มันป่าเถื่อน และปล่อยให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ที่กระทรวงหมาดไทย อันเป็นกระทรวงหลักใหญ่ ๑ ใน ๔ ความหมายของประเทศนับแต่มีมา กลุ่มคนบ้าคลั่งในชุดเสื้อแดง อย่าว่าบุกเลย คล้ายมีคนเปิดประตู "เชิญเข้าไป" จะถูกต้องกว่า ไล่ล่ารุมตีรถนายกฯ เหมือนหมาป่าบ้าคลั่งกระหายเลือด รุมทึ้งฉีกเนื้อหมายชีวิต จนมีผู้ติดตามบาดเจ็บสาหัส
ท่ามกลางตำรวจ-ทหารที่ยืนดูด้วยความเบิกบานสำราญใจ ดังเห็นได้จากในภาพ-ข่าวโทรทัศน์!?
นายกฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรง หมายความว่า "รัฐบาลเอาจริง" ด้วยอำนาจเข้มผ่านทหาร-ตำรวจ แต่ดูเหมือนว่า "เขาสั่ง-เราก็มา" แค่นั้น แต่ลืมหัวจิต-หัวใจไว้ในกรมกอง ยิ่งเป็นสิ่งสร้างความลำพองให้กบฏทักษิณเหิมห้าวหนักขึ้น เพราะรู้ว่าทหาร-ตำรวจพวกเรามาตามคำสั่ง
แต่ไม่ทำตามคำสั่ง!?
ฉุกเฉิน กับไม่ฉุกเฉิน ไม่มีผลต่างกันเลย ยามปกติ ก็ไม่เห็นหน้านายตำรวจ-นายทหารออกมาบัญชาการให้ปรากฏ มีแต่ปริมาณไอ้เณรมานั่งๆ นอนๆ หยอกเอินพยักเพยิดกับม็อบ
ครั้นฉุกเฉิน ก็ไม่ปรากฏหน้านายทหาร-นายตำรวจใดๆ ปรากฏออกมาพูดจาให้ความอุ่นใจกับประชาชน ทั้งที่ตำรวจ-ทหารมียศ มีขั้นระดับนายพลขึ้นไปมากมายเป็นร้อย-เป็นพัน แต่เมื่อชาติต้องการ กลับไม่ปรากฏหน้าใครเลย มีแต่ไอ้เณรขับตุ๊กๆ ที่เรียกว่า "รถถัง" มาจอดให้คนเสื้อแดงยึดไปประกาศชัยชนะ!?
พฤติกรรมส่อเจตนา จะให้เข้าใจเอาเองอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นยุคก่อน เมื่อประกาศภาวะฉุกเฉินถือว่าพื้นที่นั้น "ทหารใหญ่สุด" จะมีทหารใหญ่ที่ได้รับมอบหมายมาออกจอเปล่งประกายบารมี ออกวิทยุทุกสถานี พูดจาทำความเข้าใจกับประชาชน และประกาศเตือนผู้ชุมนุมให้สงบและสลายตัวด่วน ต่อจากนั้น จะเป็นปฏิบัติการเฉียบขาด
ไม่มีอย่างวันนี้หรอกครับ ฉุกเฉินแล้วโจรเมืองยังรำเฉิบอยู่กลางถนน แถมระดมคนมาปล้นบ้าน-ยึดเมืองต่อ!
วันนี้-คำสั่งจากผู้มีอำนาจสูงสุดฝ่ายบริหารของประเทศ สั่งเหมือนสั่งขี้มูก เพราะฝ่ายกำลังสนองตอบแบบเสียไม่ได้ หรือฝืนทำด้วยไม่เต็มใจ ซึ่งก็เป็นอุทาหรณ์แห่งอำนาจ ที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายคิดกันไว้บ้างก็ดีว่า
"อำนาจแท้จริงไมได้อยู่ที่ผู้มีอำนาจ หากแต่อยู่ที่คนใต้อำนาจ" เหมือนศาลพระภูมิ เมื่อคนไม่เชื่อถือกราบไหว้ มันจะต่างอะไรกับจอมปลวก?
ย้อนมาดูผู้นำอำนาจรัฐ "นายกฯ อภิสิทธิ์" เป็นรัฐบาลมา ๓ เดือนกว่า ท่านใช้คนทำงานอยู่คนเดียว "นายเทพ เทือกสุบรรณ" ขี้ไม่ออก-เยี่ยวไม่ออกก็สุเทพ แม้กระทั่งประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังงมงายมอบหมายให้นายสุเทพเป็น "ผู้กำกับดูแล" เสียอีก
หมายความว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินใช้อำนาจทหาร แต่ดันให้ "นายสุเทพ" เป็นนายใหญ่ไปสั่งทหาร แล้วมันจะได้เรื่องอะไร นายสุเทพเหมาะในงานการเมืองแบบหนึ่งเท่านั้น ดันให้ไปเป็นนายสั่งการทหารในภารกิจควบคุมบ้านเมืองยามวิกฤติ เหตุนี้ด้วยหรือเปล่า จึงไม่ปรากฏหน้า ผบ.เหล่าทัพใดมายืนเคียงข้างให้ประชาชนอุ่นใจ
ทีในยุค "นายกฯ สมชาย" ยังเห็นหน้าพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ยืนเสริมรัศมีอยู่ข้างๆ แต่ครั้งนี้..ไม่ปรากฏหน้าบิ๊กไหนๆ ฝ่ายทหาร-ตำรวจ ชาวบ้านว้าเหว่คล้ายว่า ตำรวจ-ทหารลอยแพรัฐบาล และประชาชน
ประชุมอาเซียน พังมาหยกๆ ก็ไม่เพราะนายสุเทพบัญชาการด้านความมั่นคงดอกหรือ แล้วนี่ ยังมอบหมายให้นายสุเทพมาคุมทหารปราบม็อบอีก รองนายกฯ ที่พอมีประสบการณ์งานทหาร-งานม็อบอย่าง "พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์" ก็ยังมีอยู่ ทำไมจึงไม่เรียกมาปรึกษาหารือ หรือใช้ให้เป็นการ "ใช้งานให้ถูกกับคน" ล่ะ?
ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ครับ จงเปิดเปลือกตามองคนให้กว้าง และไกลออกไปให้พ้นรัศมีพรรคประชาธิปัตย์เถอะ ท่านอยู่ในอำนาจ ท่านก็ต้องเล่น และคลุกคลีอยู่กับอำนาจ ท่านจงคิดทุกเรื่อง-ทุกประเด็น และมองทุกคนรอบตัวให้ทะลุ แต่อย่าพูดทุกเรื่อง ทุกประเด็น และในทุกคน อย่างที่ท่านคิด และมองเห็น
กุมสติให้ดี ท่านประกาศ "ขอเวลา ๓-๔ วัน" ที่จะกำราบปราบปรามผู้ทำผิดกฎหมายในการชุมนุมเสื้อแดง ๓-๔ วันนี้ ท่านจะปราบเสื้อแดงได้อยู่หมัด หรือจะเป็นฝ่ายถูกปราบ พ่ายแพ้ราบคาบทั้งในการเมือง และในเครดิตเสียเอง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤทธิ์เดชเสื้อแเดง แต่ขึ้นอยู่กับ "ทหาร-ตำรวจ" ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าจะวางท่าที และปฏิบัติการจริงจังขนาดไหน?
การณ์นี้ เส้นตายผมขีดให้ ภายใน ๒๐ เมษา.!
พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จะขลัง ต้องเห็น "นายทหาร" ในเครื่องแบบออกมาบัญชาการต่อสายตาประชาชน ไม่ใช่เห็นแค่นายสุเทพสวมเสื้อเชิ้ตออกมาบัญชาการ-สั่งทหารอยู่คนเดียว
ครับ...ตอนผมคุยอยู่กับท่าน ในเวลา ๔-๕ ทุ่ม แต่ถึงตอนเช้าที่ท่านอ่านอยู่นี่ ผมก็ไม่ทราบว่าตั้งแต่ ๒ ยามเรื่อยมา มีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ม็อบป่วนเมืองท้าทาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือว่าทหาร-ตำรวจใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินปราบม็อบราบคาบไปแล้ว ทุกช็อต-ทุกตอนต่อจากนี้ล้วนมีความหมาย "ชี้เป็น-ชี้ตาย" วัดใจทั้งฝ่ายเขา-ฝ่ายเรา ตั้งสติให้มั่น ถึงอย่างไร สุดท้ายแล้ว บ้านเมืองเราไปรอดได้แน่นอน.
ในยามนี้ ไม่ว่าเหลียวมองไปทางไหน รอบๆ ประเทศไทย นอกจากลุ่มเสื้อแดงทักษิณที่กำลังยึดบ้าน-ยึดเมืองแล้ว ก็เหมือนไม่มีคนไทยอื่นใดเหลืออยู่ในประเทศไทยเลย!
สภาพประเทศไทยวันปีใหม่-มหาสงกรานต์ของพุทธศักราช ๒๕๕๒ อย่าว่าแต่มนุษย์ร่ำไห้ แม้องค์เทพผู้สถิตรักษา "ปกบ้าน-ป้องเมือง" ก็ยังต้องหลุบเปลือกพระเนตร ด้วยเวทนาต่ออสัตย์สามานย์มนุษย์
ทุกข์กันได้ แต่ไม่ต้องให้ถึงหม่นไหม้ใจตนหรอกครับ ยามดี-บางดีก็เหลิงลืมฐานะแห่งตน ปู้ยี่ปู้ยำ-ย่ำยีบ้านเมืองกันนัก มีเหตุอาเพทให้ประจักษ์เสียบ้างจะได้รู้สำนึก ผมขอย้ำ "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" และย้ำกับท่านมาแต่ต้นปีแล้ว ฉะนั้น เมื่อบ้านเมืองส่งสัญญาณเข้าสู่วงรอบของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ตามอนิจลักษณะ
ท่านก็จงมั่นใจเถอะว่า เมืองไทยเป็นเมืองธรรม คนเริงเลวระยำ จะกระทำต่อบ้าน-ต่อเมืองได้ชั่วพัก-ชั่วครู่ตามทักษาเท่านั้น จะห้ำหั่นหักหาญเอาบ้านเอาเมืองหาได้ไม่!
และจะว่าไปอีกที เพราะมีสิ่งนี้ จึงทำให้สิ่งนั้นเกิด ซึ่งก็นั่นแหละคือเหตุปัจจัยขยับเขยื้อนนำไปสู่ "ความเปลี่ยนแปลง" ที่เราทั้งหลายจะเห็นรูปแบบใหม่ไทยวิไลเลิศหรูที่ทุกคนพอใจในอีก ๑๕-๒๓ ปีข้างหน้า
ผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่ทุบโต๊ะ-ฟันธงได้ว่า เศษสวะอย่างทักษิณ หรือระบอบทักษิณไม่มีส่วนได้ร่วมในการเปลี่ยนแปลงไปสู่มิติใหม่ของประเทศไทย ในอนาคตแน่นอน!
หนังสือสวดมนต์ และบทสวดพระพุทธมนต์ที่เคยบอกไป ยังยึดมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอกันอยู่ดีหรือเปล่าเอ่ย สวดให้กำลังเทพเทวาที่รักษาบ้านเมือง และสวดถวายพระพรชัยแด่ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หัว" ของเรา-คนไทยทุกคน ผมขอย้ำ..ไม่มีอะไรที่ทรงพลัง และขลังยิ่งใหญ่เหนือไปกว่า "พลังใจบริสุทธิ์" ของมวลประชาไปได้หรอก
ขาดอะไรก็ขาดได้ ในเวลานี้ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ "สติ"!
จงประคองสติเอาไว้ให้ตลอด อย่าให้อารมณ์โกรธ อารมณ์เครียด อารมณ์ทุกข์หม่นเศร้ามาครองใจแทนสติเป็นอันขาด ตราบใดที่ยังมีสติ ตามนั้น จะเห็นทางออกของสถาบันและบ้านเมือง เพราะสติมา-ปัญญาเกิดครับ
อย่าโทษใคร อย่าน้อยใจใคร อย่าคับแค้นใคร อย่าไปประชด-ประชันใคร ต้อง "ดูใจ-ถามใจ" ตัวเราเองดีๆ ก่อนในทุกเรื่อง อย่าหวังคอยให้คนอื่นมาช่วยชาติ ถ้าตัวเราเองไม่ช่วยก่อน สำหรับรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะนายกฯ อภิสิทธิ์ "ตำหนิกันมาพอแล้วครับ" อย่าไปพูดจาซ้ำเติมอะไรอันเป็นการทอนกำลังใจในขณะที่ท่านต้องทำหน้าที่ "ผู้นำสังคมชาติ" อีกเลย
ผิด-ถูก ว่ากันทีหลัง แต่ในยามตกอยู่ในสถาการณ์เครียดคลั่งของบ้านเมืองด้วยกัน อะไรช่วยกันทำให้ผ่านพ้นสถานการณ์จากผีป่าสิงเมืองไปได้ ก็ต้องช่วยกัน ไม่ควรไปซ้ำเติมอะไร ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างย่ำแย่ลงไปอีก
นายกฯ อภิสิทธิ์กำลังเรียนรู้การเป็นผู้นำที่สมบูรณ์ด้วยประสบการณ์ และครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสทองที่ได้เหตุการณ์ล้ำค่ามาเป็นเบ้าหลอม ด้วยความร้อนระดับ ๑๐,๐๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์พิชิตได้ก็จะกลายเป็นผู้นำเหนือจุดหลอมละลายจากความร้อนใดๆ ในโลก
แต่ถ้าไม่ผ่านการหลอมละลายครั้งนี้ไปได้ ในเมื่อมาตามทางวิถีประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา ก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้เขาไปตามวิถี คือประกาศยุบสภา ให้ไปเลือกตั้งกันใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่เขาจะเอายังไง ก็ว่ากันไปตามนั้น อย่าไปคาดการณ์ถึงเรื่องราวล่วงหน้าให้มาเป็นโจทย์ของการตัดสินใจตอนนี้
ในเมื่อมีหน้าที่นำประเทศ แต่ไม่สามารถนำไปสู่ฝั่งฝันได้ ก็คืนอำนาจเขาไป...ลูกผู้ชาย กล้าทำ กล้ารับแบบเปิดเผย ยังสามารถเงยหน้าสู้ฟ้าดินได้อยู่!
ทำไมผมจึงแนะเรื่อง "ยุบสภา" เป็นทางออกสุดท้าย เพราะผมมองเห็นแล้วว่า บ้านเมืองขณะนี้ ไม่ว่าข้าราชการ ทหาร และตำรวจ อันเป็นองค์กรที่เรียกว่าเครื่องมือในกลไกบริหารอำนาจรัฐ ส่วนหนึ่งรวมตัวกันคล้าย "แข็งขืนต่ออำนาจผู้นำประเทศ" หรือเรียกว่า "ปฏิวัติเงียบรัฐบาล" ก็ประมาณนั้น
จะเป็น "ไส้ศึก" ให้ทักษิณในระบบรัฐ หรือจะเป็น "แนวร่วมกองทัพแดง" ในถนน นั่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดกัน เพราะพฤติกรรมทั้งแต่ ๘ เมษายน เป็นต้นมา ประจักษ์ชัดว่า "แดงยึดเมือง" ส่วนหนึ่งมาจากคนในระบบรัฐ "เปิดประตูเมือง" ให้ ทั้งในเรื่องปิดถนนทั้ง ๔ ด้านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กระทั่ง "เปิดทาง" ให้คนเสื้อแดงบุกพังโรงแรมรอยัลคลิฟ ที่พัทยา ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน
เอาที่ล่าสุด เห็นจะจะลูกตาไปทั้งโลก มันป่าเถื่อน และปล่อยให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ที่กระทรวงหมาดไทย อันเป็นกระทรวงหลักใหญ่ ๑ ใน ๔ ความหมายของประเทศนับแต่มีมา กลุ่มคนบ้าคลั่งในชุดเสื้อแดง อย่าว่าบุกเลย คล้ายมีคนเปิดประตู "เชิญเข้าไป" จะถูกต้องกว่า ไล่ล่ารุมตีรถนายกฯ เหมือนหมาป่าบ้าคลั่งกระหายเลือด รุมทึ้งฉีกเนื้อหมายชีวิต จนมีผู้ติดตามบาดเจ็บสาหัส
ท่ามกลางตำรวจ-ทหารที่ยืนดูด้วยความเบิกบานสำราญใจ ดังเห็นได้จากในภาพ-ข่าวโทรทัศน์!?
นายกฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรง หมายความว่า "รัฐบาลเอาจริง" ด้วยอำนาจเข้มผ่านทหาร-ตำรวจ แต่ดูเหมือนว่า "เขาสั่ง-เราก็มา" แค่นั้น แต่ลืมหัวจิต-หัวใจไว้ในกรมกอง ยิ่งเป็นสิ่งสร้างความลำพองให้กบฏทักษิณเหิมห้าวหนักขึ้น เพราะรู้ว่าทหาร-ตำรวจพวกเรามาตามคำสั่ง
แต่ไม่ทำตามคำสั่ง!?
ฉุกเฉิน กับไม่ฉุกเฉิน ไม่มีผลต่างกันเลย ยามปกติ ก็ไม่เห็นหน้านายตำรวจ-นายทหารออกมาบัญชาการให้ปรากฏ มีแต่ปริมาณไอ้เณรมานั่งๆ นอนๆ หยอกเอินพยักเพยิดกับม็อบ
ครั้นฉุกเฉิน ก็ไม่ปรากฏหน้านายทหาร-นายตำรวจใดๆ ปรากฏออกมาพูดจาให้ความอุ่นใจกับประชาชน ทั้งที่ตำรวจ-ทหารมียศ มีขั้นระดับนายพลขึ้นไปมากมายเป็นร้อย-เป็นพัน แต่เมื่อชาติต้องการ กลับไม่ปรากฏหน้าใครเลย มีแต่ไอ้เณรขับตุ๊กๆ ที่เรียกว่า "รถถัง" มาจอดให้คนเสื้อแดงยึดไปประกาศชัยชนะ!?
พฤติกรรมส่อเจตนา จะให้เข้าใจเอาเองอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นยุคก่อน เมื่อประกาศภาวะฉุกเฉินถือว่าพื้นที่นั้น "ทหารใหญ่สุด" จะมีทหารใหญ่ที่ได้รับมอบหมายมาออกจอเปล่งประกายบารมี ออกวิทยุทุกสถานี พูดจาทำความเข้าใจกับประชาชน และประกาศเตือนผู้ชุมนุมให้สงบและสลายตัวด่วน ต่อจากนั้น จะเป็นปฏิบัติการเฉียบขาด
ไม่มีอย่างวันนี้หรอกครับ ฉุกเฉินแล้วโจรเมืองยังรำเฉิบอยู่กลางถนน แถมระดมคนมาปล้นบ้าน-ยึดเมืองต่อ!
วันนี้-คำสั่งจากผู้มีอำนาจสูงสุดฝ่ายบริหารของประเทศ สั่งเหมือนสั่งขี้มูก เพราะฝ่ายกำลังสนองตอบแบบเสียไม่ได้ หรือฝืนทำด้วยไม่เต็มใจ ซึ่งก็เป็นอุทาหรณ์แห่งอำนาจ ที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายคิดกันไว้บ้างก็ดีว่า
"อำนาจแท้จริงไมได้อยู่ที่ผู้มีอำนาจ หากแต่อยู่ที่คนใต้อำนาจ" เหมือนศาลพระภูมิ เมื่อคนไม่เชื่อถือกราบไหว้ มันจะต่างอะไรกับจอมปลวก?
ย้อนมาดูผู้นำอำนาจรัฐ "นายกฯ อภิสิทธิ์" เป็นรัฐบาลมา ๓ เดือนกว่า ท่านใช้คนทำงานอยู่คนเดียว "นายเทพ เทือกสุบรรณ" ขี้ไม่ออก-เยี่ยวไม่ออกก็สุเทพ แม้กระทั่งประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังงมงายมอบหมายให้นายสุเทพเป็น "ผู้กำกับดูแล" เสียอีก
หมายความว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินใช้อำนาจทหาร แต่ดันให้ "นายสุเทพ" เป็นนายใหญ่ไปสั่งทหาร แล้วมันจะได้เรื่องอะไร นายสุเทพเหมาะในงานการเมืองแบบหนึ่งเท่านั้น ดันให้ไปเป็นนายสั่งการทหารในภารกิจควบคุมบ้านเมืองยามวิกฤติ เหตุนี้ด้วยหรือเปล่า จึงไม่ปรากฏหน้า ผบ.เหล่าทัพใดมายืนเคียงข้างให้ประชาชนอุ่นใจ
ทีในยุค "นายกฯ สมชาย" ยังเห็นหน้าพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ยืนเสริมรัศมีอยู่ข้างๆ แต่ครั้งนี้..ไม่ปรากฏหน้าบิ๊กไหนๆ ฝ่ายทหาร-ตำรวจ ชาวบ้านว้าเหว่คล้ายว่า ตำรวจ-ทหารลอยแพรัฐบาล และประชาชน
ประชุมอาเซียน พังมาหยกๆ ก็ไม่เพราะนายสุเทพบัญชาการด้านความมั่นคงดอกหรือ แล้วนี่ ยังมอบหมายให้นายสุเทพมาคุมทหารปราบม็อบอีก รองนายกฯ ที่พอมีประสบการณ์งานทหาร-งานม็อบอย่าง "พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์" ก็ยังมีอยู่ ทำไมจึงไม่เรียกมาปรึกษาหารือ หรือใช้ให้เป็นการ "ใช้งานให้ถูกกับคน" ล่ะ?
ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ครับ จงเปิดเปลือกตามองคนให้กว้าง และไกลออกไปให้พ้นรัศมีพรรคประชาธิปัตย์เถอะ ท่านอยู่ในอำนาจ ท่านก็ต้องเล่น และคลุกคลีอยู่กับอำนาจ ท่านจงคิดทุกเรื่อง-ทุกประเด็น และมองทุกคนรอบตัวให้ทะลุ แต่อย่าพูดทุกเรื่อง ทุกประเด็น และในทุกคน อย่างที่ท่านคิด และมองเห็น
กุมสติให้ดี ท่านประกาศ "ขอเวลา ๓-๔ วัน" ที่จะกำราบปราบปรามผู้ทำผิดกฎหมายในการชุมนุมเสื้อแดง ๓-๔ วันนี้ ท่านจะปราบเสื้อแดงได้อยู่หมัด หรือจะเป็นฝ่ายถูกปราบ พ่ายแพ้ราบคาบทั้งในการเมือง และในเครดิตเสียเอง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤทธิ์เดชเสื้อแเดง แต่ขึ้นอยู่กับ "ทหาร-ตำรวจ" ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าจะวางท่าที และปฏิบัติการจริงจังขนาดไหน?
การณ์นี้ เส้นตายผมขีดให้ ภายใน ๒๐ เมษา.!
พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จะขลัง ต้องเห็น "นายทหาร" ในเครื่องแบบออกมาบัญชาการต่อสายตาประชาชน ไม่ใช่เห็นแค่นายสุเทพสวมเสื้อเชิ้ตออกมาบัญชาการ-สั่งทหารอยู่คนเดียว
ครับ...ตอนผมคุยอยู่กับท่าน ในเวลา ๔-๕ ทุ่ม แต่ถึงตอนเช้าที่ท่านอ่านอยู่นี่ ผมก็ไม่ทราบว่าตั้งแต่ ๒ ยามเรื่อยมา มีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ม็อบป่วนเมืองท้าทาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือว่าทหาร-ตำรวจใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินปราบม็อบราบคาบไปแล้ว ทุกช็อต-ทุกตอนต่อจากนี้ล้วนมีความหมาย "ชี้เป็น-ชี้ตาย" วัดใจทั้งฝ่ายเขา-ฝ่ายเรา ตั้งสติให้มั่น ถึงอย่างไร สุดท้ายแล้ว บ้านเมืองเราไปรอดได้แน่นอน.