"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ทรงยิ่งใหญ่ มวลประชาไทยรุ่งเรือง-ไพศาล วันนี้-วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๒ ย้อนกลับไปเมื่อ ๕๔ ปีที่แล้ว จะเป็นวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนฯ ของปวงพสกนิกรไทย และในวโรกาสคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพอันเป็นมงคลยิ่ง ณ วันนี้ กราบแทบพระบาทถวายพระพรชัย ขอให้สมเด็จพระเทพรัตนฯ ทรงพระเกษมสำราญ พระบารมีไพศาลประสานสุขสามัคคีพสกไทย ทรงมีพระพลานามัยเข้มแข็ง เป็นแสงแห่งความหวังและศรัทธา นำความไพบูลย์วัฒนาสู่สยาม ณ ไทยกระเดื่องเกียรติในสากล มวลชนประชาปริ่มสุข-สิ้นทุกข์ขุกเข็ญ ฉ่ำเย็นทั่วหล้า...ด้วยพระมหาบารมีแห่งสมเด็จพระเทพรัตนฯ นี้..นิรันดร์
ตราบใด-ที่ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ ตราบนั้น-ไพร่ฟ้าประชาชนชาวไทย และผู้ได้พึ่งอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารยังหวังได้ซึ่งสุขจากสงบ ความเห็นต่างบางเรื่อง-บางกรณีในหมู่ชนของสังคมชาติอันสืบเนื่องมาจากแรงปลุกปั่นของบุคคล "เพื่อผลประโยชน์ผ่านการเมือง" นั้น
เป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้าเฉพาะกาลเท่านั้น แต่ลึกลงไปในหัวจิต-หัวใจ คนไทยไม่ว่าอยู่ในสีไหน ไม่มีใคร "ใจคิดห่าง" ต่อสถาบันหลักของชาติ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ จะมีก็เพียงมิจฉาทิฐิ "บางคน" เท่านั้น อย่าเครียดกันไปให้มากนัก ก็ขนาดในกาลสมัย "สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า" พระองค์ทรงคุณประเสริฐเลิศเหนือมวลหมู่เทพและมนุษย์ถึงปานนั้น
ก็ยังไม่วาย มีผู้เป็นทั้งศิษย์และพระญาติพระตถาคตนามว่า "พระเทวทัต" สร้างความวิบัติให้กับตัวเองด้วยพฤติกรรม ทำร้ายพระพุทธองค์ แยกสงฆ์-แยกพระพุทธศาสนา
และวาระสุดท้าย ไม่มีใครทำอะไร ด้วยกรรมใด-ใครสร้าง "ฟ้า-ดิน" ก็ทำหน้าที่ "ธรณีสูบ" พระเทวทัตลงสู่นรกขุมลึกสุด!
ฉะนั้น จงเชื่อด้วยศรัทธาในสถาบันนำชาติเถิด ถ้าพวกเราไม่มั่นใจในความเป็นคนไทยด้วยกัน ใจไม่ปักมั่นอยู่ในแกนในคือสถาบันหลักของชาติแล้ว ใคร-ที่ไหนล่ะมาจะมามั่นใจในความเป็นคนไทย และประเทศไทยของพวกเรา
เรื่องที่ว่า "ไทยจะแตกชาติ" นั้น ก็แค่วิตกจริตกันไปในหมู่คนไร้สติ และไร้ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะมีเป็นเทศกาลบางครั้ง-บางคราวก็แค่ "แยกเขี้ยวใส่กัน" เพราะคนไทยเรา "กินดี-อยู่ดี" กันมานานจนรำคาญความสามัคคี อยากจะแสวงหาสิ่งแปลกใหม่มาบำรุง-บำเรอใจไปชั่วครั้ง-ชั่วคราวเท่านั้นเอง!
แต่ผมอยากพูดให้คนในรัฐบาลได้คิด รัฐบาลนั้นเป็นองค์กรนำสังคมชาติสูงสุดทางบริหาร ต้องเข้าใจให้ชัดอย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติของประชาชน คือ "ผู้ตาม"
ฉะนั้น ใครก็ได้ ถ้าสามารถโน้มน้าว ชักนำให้ประชาชนเกิดความเชื่อ-ความศรัทธาได้ ประชาชนก็พร้อมจะตาม เพราะความเชื่อ-ความศรัทธาที่ค่อยๆ สั่งสมนั้น มายาภาพจะถูกแปลงเป็นจินตภาพ และจินตภาพของประชาชนนั้นจะถูกแปลงอีกทอดเป็น "ความหวังใหม่"
และนั่นแหละ "ตัวโค่นล้ม-ทำลาย" ที่แท้จริงละ โค่นล้มรัฐบาลมันเรื่องจ้อย ประเทศชาตินั่นก็สามารถโค่นล้มได้ เพราะระลอกแล้ว-ระลอกเล่าที่ปล่อยสะสมเป็นลูกคลื่น มันจะไล่หลังตะปบกลืนคลื่นลูกเก่าได้เสมอ
ตรงนี้ก็จงเข้าใจให้ถูกเถอะว่า ตีนของมวลชนไม่ว่าสีไหนที่ย่ำกันไป-ย่ำกันมา ขณะนี้นั้น เป็นแค่ "กลไก" รับสั่งการจากสมองเท่านั้น เป็นเพียง "รูปธรรม" ของพลังงานที่เรียกว่า "ศรัทธาและความเชื่อ" ที่บ่าไหลไปสู่เป้าหมายใหม่ด้วย "ความหวังใหม่" ในจินตภาพนั้น
ตะเกียงขาดไส้ ไฟย่อมไม่ติด ฉันใด ถ้าคนสิ้นหวัง-สิ้นศรัทธาจากสิ่งไหน สิ่งนั้นก็ย่อมอยู่ไม่ได้ ฉันนั้น!
ก็อยากจะถามว่า รัฐบาลก็ดี ตำรวจก็ดี ทหารก็ดี บรรดาข้าราชการทั้งหลายก็ดี พวกคุณทำหน้าที่ด้วยความเข้าใจว่า "โลกนี้อยู่ได้ด้วยความเชื่อในศรัทธา" ขนาดไหน อย่างไร?
พวกคุณกำลังจนมุมตัวเองด้วยความตีบตื้นว่า "เขาทำตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย" มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับว่า บริโภคประชาธิปไตยด้วยความโง่เขลา และเอาประชาธิปไตยมาบดทำลายสังคมชาติ-สังคมประเทศตัวเอง
มีประชาธิปไตยที่ไหนในโลกนี้มั้ย ที่ปล่อยให้โจรผู้ร้ายใช้เครื่องมือสื่อสารปลุกปั่น-ปลุกระดมผู้คนให้กระด้างกระเดื่องต่อระบบรัฐอย่างชัดแจ้ง คำว่าแดงทั้งแผ่นดิน พูดในเจตนาไหน คำว่าให้มารวมตัวกันปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ขัดขวางไม่ให้คณะรัฐบาลเข้าทำงาน เจตนามันคืออะไร คำว่าให้บุกยึดศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ มันบ่งบอกถึงอะไร?
การให้ด่า "ประธานองคมนตรี" แถมถ่ายทอดวิทยุกระจายเสียงทั้งวัน-ทั้งคืน ซึ่งคนเป็นเจ้าของกิจการได้มี ๒ หน่วยเท่านั้นคือ ทางราชการ และทางกองทัพ ก็รู้ใช่มั้ยว่าตำแหน่งประธานองคมนตรี และองคมนตรีมาจากไหน มีหน้าที่อะไร แล้วปล่อยให้ใส่ร้ายป้ายสีหวังเซาะทำลายสถาบันหลักของชาติ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันองคมนตรี สถาบันศาล อยู่อย่างนี้ได้อย่างไร?
อ้างว่า "ถอดเทปแล้วยังไม่พบว่ามีการพูดจาเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน" นี่น่ะเรอะการวินิจฉัยที่ลุ่มลึกของตำรวจที่มาจาก "กระบี่แตะบ่า" และเมื่อจนตา-จนท่าเข้าก็อ้างว่า...ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาชุมนุมกันตามประชาธิปไตย
รัฐบาลอ้างประชาธิปไตยแบบ "ตาบอดคลำช้าง" หรือเปล่า กฎหมายบ้านเมืองก็ดี กฎหมายทางศาสนาก็ดี ตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ "ยึดเจตนา" เป็นศูนย์กลางแห่งการวินิจฉัยผิด-ถูก แล้วท่านเข้าใจมั้ยว่า พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระเบิดพลีชีพตัวเองครั้งนี้ "เจตนา" คืออะไร ถ้าจะบอกว่า "ตีไม่ออก" ก็ไม่เป็นไร
แหกหูฟังที่ทักษิณมันพูดแต่ละวัน-แต่ละคำบ้างมั้ยว่า นั่นมันส่อเจตนาจะเป็น "ผีบุญคนที่ ๒" ของเมืองไทยใช่ไหม!?
กองทัพแดงของทักษิณนั้น ผมสมเพชมากกว่าเกลียดชัง มันทำอะไรกันเป็นนอกจากดมขี้ตีนพันธมิตรฯ แล้วทำตาม แต่ถ้าดมขี้ตีนแล้วทำตามให้ตลอดมันก็ดี และมันจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะที่พันธมิตรฯ เขาทำ ทำด้วยเจตนาบนเป้าหมาย "พิทักษ์รักษาสถาบัน" บากบั่น-พิฆาตไอ้ชั่วชาติโกงบ้าน-กินเมือง ไม่มีเรื่องแยกอำนาจ-แยกประเทศเพื่อสถาปนาตัวข้าเป็นอำนาจใหม่
นี่..ตัวอย่างดีๆ ของพันธมิตรฯ อย่างนี้ กลับไม่ลอกไปทำตาม ดันไปลอกตัวอย่างไม่ดี เช่น ยึดทำเนียบฯ ดาวกระจายไปทำตาม แล้วก็มาอ้างว่า "พันธมิตรฯ ทำได้ เสื้อแดงก็ทำได้" อย่างนี้ มันเป็นตรรกะที่ใช้อิงเพื่ออ้างไม่ได้ เหมือนเห็นโจรปล้นร้านทอง ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ ก็จะอ้างปล้นบ้าง ตำรวจจะจับก็เถียงว่า..ก็ทีไอ้นั่นยังจับไม่ได้ แล้วจะมาจับข้าได้ยังไง
พันธมิตรฯ ยอมทำผิดบางครั้ง ก็เพื่อพิทักษ์รักษาสิ่งดี ด้วยพร้อมยอมรับในความผิดนั้น แต่กองทัพแดง ไปจำลองผิดเขามาทำผิด เพื่อพิทักษ์สิ่งจัญไรนายแม้ว และสร้างความฉิบหายขายบ้าน-ขายเมือง ซ้ำแข็งขืนขัดเคืองต่อระบบรัฐ-อำนาจรัฐ
อย่างนี้มัน "ประชาธิปไตยในรอยตีนควาย" เถลือกไถลไปข้างๆ คูๆ ก็สมแล้วที่เป็นสมุนเจ้ามูลแม้ว ตามคำโบราณที่ว่า "นายเป็นแบบไหน ขี้ข้าก็เป็นแบบนั้น" เปี๊ยบเลย!
ผมพูดถึง "ผีบุญ" ไว้ข้างบน บางท่านอาจฉงนมันคือใคร? ก็อยากเฉลยซักนิด ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติครั้งที่ ๒ และเป็นนายกรัฐมนตรี มีเหตุเกิดขึ้นที่อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ชาวบ้านร้อยกว่าคนฆ่านายอำเภอ ครู ผู้ใหญ่บ้าน และข้าราชการอีกหลายคนตาย เมื่อเจ้าหน้าที่ยกกำลังไป กองทัพชาวบ้านก็รบต้าน-รักษาเมือง
สุดท้ายถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปราบ ตายไปก็มี หนีกันแตกฉานซ่านเซ็นไปก็มี ถูกจับกุมได้ก็มี โดยเฉพาะ "หัวหน้าใหญ่" พาเมียสาวพร้อมลูกน้องจำนวนหนึ่งแหกวงล้อมเจ้าหน้าที่หนีไปได้
โน่นแน่ะ หนีจากโคราชไปเข้าป่าลึกทางอุบลราชธานี เตรียมจะหนีออกประเทศลาว ตำรวจจับได้เอาขึ้นรถไฟมาขังไว้ที่โคราช จอมพลสฤษดิ์ให้เอาตัวมาที่กองปราบปรามสามยอด กรุงเทพฯ และไปสอบสวนด้วยตัวเอง เสร็จแล้วให้เอาตัวกลับไปขังไว้ที่โคราชตามเดิม
แล้วเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๐๒ (๒๖ เหมือนกัน แต่คนละเดือน-คนละปีที่ทักษิณสั่ง "แดงทั้งแผ่นดิน") คณะรัฐมนตรีก็ลงมติใช้ ม.๑๗ ยิงเป้าที่บริเวณป่าช้าจีน โคราช ด้วยความผิดอันเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ปลุกปั่นก่อการจลาจลในบ้านเมือง แล้วแยกดินแดน ประกาศตั้งอาณาจักรเป็นอิสระ พร้อมสถาปนาตนเองเป็น "พระเจ้าแผ่นดิน"!
เขาผู้นั้นคือ "นายศิลา วงศ์สิน" ที่เรียกกันว่า "ผีบุญ" อายุประมาณ ๕๐ ปี เดิมเป็นคนมีรกรากอยู่แถวๆ อุบลฯ ร่ำเรียนทางวิชาอาคมขลัง ทำนองหมอผีจอมขมังเวท จนมีคนหลงเชื่อมยอมเป็นสานุศิษย์ติดตาม ได้ใช้รถบรรทุกหลายคันขนทั้งคน-ทั้งของเดินทางจากอุบลฯ มาสร้างอาณาจักรที่หมู่บ้านไทยเจริญ อำเภอโชคชัย
ก็คงจะมีเงินหนา เพราะมาถึงก็จ้างชาวบ้านไม่อั้นหักร้างถางพง ปลูกอาคารบ้านช่องพร้อมสมุน-บริวารนับร้อยนั้นสถาปนาเป็นเมือง ทำทางเข้าเมือง แล้วทำป้อมปราการขึ้นรอบทั้ง ๔ ทิศ ให้ชาวบ้านถือปืนเป็นยามรักษาการณ์ เรียกว่าสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นปกครอง และป่าวร้องไปทั่วว่า จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน!
เคราะห์ดีสมัยนั้นยังไม่มี "วิดีโอลิงค์" ไม่งั้นดังระดับ CNN ไปแล้ว!
ผีบุญประกาศเช่นนั้น ปรากฏว่าระดับนายอำเภอ ปลัดอำเภอ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เขายังยอมไม่ได้ ไม่ต้องรอนายพล นายหมื่นจากกรมตำรวจหรือจากกองทัพ หรือจากเจ้ากระทรวงมหาดไทยยุรยาตรมาวินิจฉัย เขาใช้มโนสำนึกของ "ข้าในแผ่นดิน" วินิจฉัยกันได้ลงตัว ก็ยกขบวนกันเข้าไปตรวจสอบถึงพื้นที่
ไปด้วยหวังดีต่อบ้านเมือง แต่ถูกกองกำลังผีบุญผู้หวังร้ายต่อบ้านเมืองฆ่าตายดังกล่าว อย่างนี้ค่อยคู่ควรกับคำว่า "พลีชีพ" หน่อย เมื่อคณะผีบุญกำแหงหาญ ตำรวจต้องยกกำลังเข้าไปล้อมจับ ผู้แยกแผ่นดิน ผู้ตั้งตนเป็นกษัตริย์จึงถูกจับ-ถูกประหารในที่สุด
จอมพลสฤษดิ์ถามนายศิลา วงศ์สิน "ผีบุญ" อยู่คำ ก่อนส่งกลับไปรอโทษประหารว่า
"ลื้อกำแหงคิดแบ่งแยกดินแดนละซี"
ผีบุญไม่ตอบ ได้แต่ก้มลงกราบตีนจอมพลสฤษดิ์ ตะกุกตะกักว่า...ผม..ผม..ไม่เคยคิดเลยครับ!
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ประชาชนนั้น เกิดมาเพื่อเป็นผู้ตาม ถ้าใครทำให้เชื่อได้-หวังได้ ประชาชนก็พร้อมตามผู้นั้น และในทำนองนั้น อำนาจรัฐ มีเพื่อจัดระเบียบสังคมมิให้ใครไปตั้งตัวเป็นใหญ่ แยกบ้าน-แยกเมืองไปครอบครอง หรือย่อยลงมาก็จะไม่ยอมให้ใครเหยียบหัวแม่ตีนใคร นั่นคือความหมายของคำว่าประชาธิปไตย แต่ถ้าอำนาจรัฐปล่อยให้เหยียบหัวแม่ตีนกันได้เปรอะไป ใครตีนใหญ่กว่า-ประชาชนก็พร้อมตาม โดยนิยามนี้ "ทหาร-ตำรวจ" ต้องเข้าใจ ไม่ใช่อ้างแต่ว่า "ให้คนเสียหายมาแจ้งความ" ทั้งที่ความผิดนี้เกิดขึ้นซึ่งหน้า ในกรณีด่า "ประธานองคมนตรี" เป็นต้น ทหารก็เช่นกัน พูดเป็นอยู่คำเดียวว่า "การันตีไม่ปฏิวัติ" พูดทำไม..ใครต้องการให้ทหารปฏิวัติ..แต่แค่ไม่ปฏิวัติแล้วจะเคลมว่าเป็น "ทหารประชาธิปไตย" มันง่ายเกินไปนะท่าน ประชาธิปไตยหรือปฏิวัติจะมีความหมายอะไร..ถ้าประเทศไทยไม่สุข และไม่สงบ.
แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ คอลัมน์ เปลวสีเงิน วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552
ตราบใด-ที่ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ ตราบนั้น-ไพร่ฟ้าประชาชนชาวไทย และผู้ได้พึ่งอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารยังหวังได้ซึ่งสุขจากสงบ ความเห็นต่างบางเรื่อง-บางกรณีในหมู่ชนของสังคมชาติอันสืบเนื่องมาจากแรงปลุกปั่นของบุคคล "เพื่อผลประโยชน์ผ่านการเมือง" นั้น
เป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้าเฉพาะกาลเท่านั้น แต่ลึกลงไปในหัวจิต-หัวใจ คนไทยไม่ว่าอยู่ในสีไหน ไม่มีใคร "ใจคิดห่าง" ต่อสถาบันหลักของชาติ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ จะมีก็เพียงมิจฉาทิฐิ "บางคน" เท่านั้น อย่าเครียดกันไปให้มากนัก ก็ขนาดในกาลสมัย "สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า" พระองค์ทรงคุณประเสริฐเลิศเหนือมวลหมู่เทพและมนุษย์ถึงปานนั้น
ก็ยังไม่วาย มีผู้เป็นทั้งศิษย์และพระญาติพระตถาคตนามว่า "พระเทวทัต" สร้างความวิบัติให้กับตัวเองด้วยพฤติกรรม ทำร้ายพระพุทธองค์ แยกสงฆ์-แยกพระพุทธศาสนา
และวาระสุดท้าย ไม่มีใครทำอะไร ด้วยกรรมใด-ใครสร้าง "ฟ้า-ดิน" ก็ทำหน้าที่ "ธรณีสูบ" พระเทวทัตลงสู่นรกขุมลึกสุด!
ฉะนั้น จงเชื่อด้วยศรัทธาในสถาบันนำชาติเถิด ถ้าพวกเราไม่มั่นใจในความเป็นคนไทยด้วยกัน ใจไม่ปักมั่นอยู่ในแกนในคือสถาบันหลักของชาติแล้ว ใคร-ที่ไหนล่ะมาจะมามั่นใจในความเป็นคนไทย และประเทศไทยของพวกเรา
เรื่องที่ว่า "ไทยจะแตกชาติ" นั้น ก็แค่วิตกจริตกันไปในหมู่คนไร้สติ และไร้ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะมีเป็นเทศกาลบางครั้ง-บางคราวก็แค่ "แยกเขี้ยวใส่กัน" เพราะคนไทยเรา "กินดี-อยู่ดี" กันมานานจนรำคาญความสามัคคี อยากจะแสวงหาสิ่งแปลกใหม่มาบำรุง-บำเรอใจไปชั่วครั้ง-ชั่วคราวเท่านั้นเอง!
แต่ผมอยากพูดให้คนในรัฐบาลได้คิด รัฐบาลนั้นเป็นองค์กรนำสังคมชาติสูงสุดทางบริหาร ต้องเข้าใจให้ชัดอย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติของประชาชน คือ "ผู้ตาม"
ฉะนั้น ใครก็ได้ ถ้าสามารถโน้มน้าว ชักนำให้ประชาชนเกิดความเชื่อ-ความศรัทธาได้ ประชาชนก็พร้อมจะตาม เพราะความเชื่อ-ความศรัทธาที่ค่อยๆ สั่งสมนั้น มายาภาพจะถูกแปลงเป็นจินตภาพ และจินตภาพของประชาชนนั้นจะถูกแปลงอีกทอดเป็น "ความหวังใหม่"
และนั่นแหละ "ตัวโค่นล้ม-ทำลาย" ที่แท้จริงละ โค่นล้มรัฐบาลมันเรื่องจ้อย ประเทศชาตินั่นก็สามารถโค่นล้มได้ เพราะระลอกแล้ว-ระลอกเล่าที่ปล่อยสะสมเป็นลูกคลื่น มันจะไล่หลังตะปบกลืนคลื่นลูกเก่าได้เสมอ
ตรงนี้ก็จงเข้าใจให้ถูกเถอะว่า ตีนของมวลชนไม่ว่าสีไหนที่ย่ำกันไป-ย่ำกันมา ขณะนี้นั้น เป็นแค่ "กลไก" รับสั่งการจากสมองเท่านั้น เป็นเพียง "รูปธรรม" ของพลังงานที่เรียกว่า "ศรัทธาและความเชื่อ" ที่บ่าไหลไปสู่เป้าหมายใหม่ด้วย "ความหวังใหม่" ในจินตภาพนั้น
ตะเกียงขาดไส้ ไฟย่อมไม่ติด ฉันใด ถ้าคนสิ้นหวัง-สิ้นศรัทธาจากสิ่งไหน สิ่งนั้นก็ย่อมอยู่ไม่ได้ ฉันนั้น!
ก็อยากจะถามว่า รัฐบาลก็ดี ตำรวจก็ดี ทหารก็ดี บรรดาข้าราชการทั้งหลายก็ดี พวกคุณทำหน้าที่ด้วยความเข้าใจว่า "โลกนี้อยู่ได้ด้วยความเชื่อในศรัทธา" ขนาดไหน อย่างไร?
พวกคุณกำลังจนมุมตัวเองด้วยความตีบตื้นว่า "เขาทำตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย" มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับว่า บริโภคประชาธิปไตยด้วยความโง่เขลา และเอาประชาธิปไตยมาบดทำลายสังคมชาติ-สังคมประเทศตัวเอง
มีประชาธิปไตยที่ไหนในโลกนี้มั้ย ที่ปล่อยให้โจรผู้ร้ายใช้เครื่องมือสื่อสารปลุกปั่น-ปลุกระดมผู้คนให้กระด้างกระเดื่องต่อระบบรัฐอย่างชัดแจ้ง คำว่าแดงทั้งแผ่นดิน พูดในเจตนาไหน คำว่าให้มารวมตัวกันปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ขัดขวางไม่ให้คณะรัฐบาลเข้าทำงาน เจตนามันคืออะไร คำว่าให้บุกยึดศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ มันบ่งบอกถึงอะไร?
การให้ด่า "ประธานองคมนตรี" แถมถ่ายทอดวิทยุกระจายเสียงทั้งวัน-ทั้งคืน ซึ่งคนเป็นเจ้าของกิจการได้มี ๒ หน่วยเท่านั้นคือ ทางราชการ และทางกองทัพ ก็รู้ใช่มั้ยว่าตำแหน่งประธานองคมนตรี และองคมนตรีมาจากไหน มีหน้าที่อะไร แล้วปล่อยให้ใส่ร้ายป้ายสีหวังเซาะทำลายสถาบันหลักของชาติ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันองคมนตรี สถาบันศาล อยู่อย่างนี้ได้อย่างไร?
อ้างว่า "ถอดเทปแล้วยังไม่พบว่ามีการพูดจาเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน" นี่น่ะเรอะการวินิจฉัยที่ลุ่มลึกของตำรวจที่มาจาก "กระบี่แตะบ่า" และเมื่อจนตา-จนท่าเข้าก็อ้างว่า...ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาชุมนุมกันตามประชาธิปไตย
รัฐบาลอ้างประชาธิปไตยแบบ "ตาบอดคลำช้าง" หรือเปล่า กฎหมายบ้านเมืองก็ดี กฎหมายทางศาสนาก็ดี ตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ "ยึดเจตนา" เป็นศูนย์กลางแห่งการวินิจฉัยผิด-ถูก แล้วท่านเข้าใจมั้ยว่า พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระเบิดพลีชีพตัวเองครั้งนี้ "เจตนา" คืออะไร ถ้าจะบอกว่า "ตีไม่ออก" ก็ไม่เป็นไร
แหกหูฟังที่ทักษิณมันพูดแต่ละวัน-แต่ละคำบ้างมั้ยว่า นั่นมันส่อเจตนาจะเป็น "ผีบุญคนที่ ๒" ของเมืองไทยใช่ไหม!?
กองทัพแดงของทักษิณนั้น ผมสมเพชมากกว่าเกลียดชัง มันทำอะไรกันเป็นนอกจากดมขี้ตีนพันธมิตรฯ แล้วทำตาม แต่ถ้าดมขี้ตีนแล้วทำตามให้ตลอดมันก็ดี และมันจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะที่พันธมิตรฯ เขาทำ ทำด้วยเจตนาบนเป้าหมาย "พิทักษ์รักษาสถาบัน" บากบั่น-พิฆาตไอ้ชั่วชาติโกงบ้าน-กินเมือง ไม่มีเรื่องแยกอำนาจ-แยกประเทศเพื่อสถาปนาตัวข้าเป็นอำนาจใหม่
นี่..ตัวอย่างดีๆ ของพันธมิตรฯ อย่างนี้ กลับไม่ลอกไปทำตาม ดันไปลอกตัวอย่างไม่ดี เช่น ยึดทำเนียบฯ ดาวกระจายไปทำตาม แล้วก็มาอ้างว่า "พันธมิตรฯ ทำได้ เสื้อแดงก็ทำได้" อย่างนี้ มันเป็นตรรกะที่ใช้อิงเพื่ออ้างไม่ได้ เหมือนเห็นโจรปล้นร้านทอง ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ ก็จะอ้างปล้นบ้าง ตำรวจจะจับก็เถียงว่า..ก็ทีไอ้นั่นยังจับไม่ได้ แล้วจะมาจับข้าได้ยังไง
พันธมิตรฯ ยอมทำผิดบางครั้ง ก็เพื่อพิทักษ์รักษาสิ่งดี ด้วยพร้อมยอมรับในความผิดนั้น แต่กองทัพแดง ไปจำลองผิดเขามาทำผิด เพื่อพิทักษ์สิ่งจัญไรนายแม้ว และสร้างความฉิบหายขายบ้าน-ขายเมือง ซ้ำแข็งขืนขัดเคืองต่อระบบรัฐ-อำนาจรัฐ
อย่างนี้มัน "ประชาธิปไตยในรอยตีนควาย" เถลือกไถลไปข้างๆ คูๆ ก็สมแล้วที่เป็นสมุนเจ้ามูลแม้ว ตามคำโบราณที่ว่า "นายเป็นแบบไหน ขี้ข้าก็เป็นแบบนั้น" เปี๊ยบเลย!
ผมพูดถึง "ผีบุญ" ไว้ข้างบน บางท่านอาจฉงนมันคือใคร? ก็อยากเฉลยซักนิด ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติครั้งที่ ๒ และเป็นนายกรัฐมนตรี มีเหตุเกิดขึ้นที่อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ชาวบ้านร้อยกว่าคนฆ่านายอำเภอ ครู ผู้ใหญ่บ้าน และข้าราชการอีกหลายคนตาย เมื่อเจ้าหน้าที่ยกกำลังไป กองทัพชาวบ้านก็รบต้าน-รักษาเมือง
สุดท้ายถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปราบ ตายไปก็มี หนีกันแตกฉานซ่านเซ็นไปก็มี ถูกจับกุมได้ก็มี โดยเฉพาะ "หัวหน้าใหญ่" พาเมียสาวพร้อมลูกน้องจำนวนหนึ่งแหกวงล้อมเจ้าหน้าที่หนีไปได้
โน่นแน่ะ หนีจากโคราชไปเข้าป่าลึกทางอุบลราชธานี เตรียมจะหนีออกประเทศลาว ตำรวจจับได้เอาขึ้นรถไฟมาขังไว้ที่โคราช จอมพลสฤษดิ์ให้เอาตัวมาที่กองปราบปรามสามยอด กรุงเทพฯ และไปสอบสวนด้วยตัวเอง เสร็จแล้วให้เอาตัวกลับไปขังไว้ที่โคราชตามเดิม
แล้วเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๐๒ (๒๖ เหมือนกัน แต่คนละเดือน-คนละปีที่ทักษิณสั่ง "แดงทั้งแผ่นดิน") คณะรัฐมนตรีก็ลงมติใช้ ม.๑๗ ยิงเป้าที่บริเวณป่าช้าจีน โคราช ด้วยความผิดอันเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ปลุกปั่นก่อการจลาจลในบ้านเมือง แล้วแยกดินแดน ประกาศตั้งอาณาจักรเป็นอิสระ พร้อมสถาปนาตนเองเป็น "พระเจ้าแผ่นดิน"!
เขาผู้นั้นคือ "นายศิลา วงศ์สิน" ที่เรียกกันว่า "ผีบุญ" อายุประมาณ ๕๐ ปี เดิมเป็นคนมีรกรากอยู่แถวๆ อุบลฯ ร่ำเรียนทางวิชาอาคมขลัง ทำนองหมอผีจอมขมังเวท จนมีคนหลงเชื่อมยอมเป็นสานุศิษย์ติดตาม ได้ใช้รถบรรทุกหลายคันขนทั้งคน-ทั้งของเดินทางจากอุบลฯ มาสร้างอาณาจักรที่หมู่บ้านไทยเจริญ อำเภอโชคชัย
ก็คงจะมีเงินหนา เพราะมาถึงก็จ้างชาวบ้านไม่อั้นหักร้างถางพง ปลูกอาคารบ้านช่องพร้อมสมุน-บริวารนับร้อยนั้นสถาปนาเป็นเมือง ทำทางเข้าเมือง แล้วทำป้อมปราการขึ้นรอบทั้ง ๔ ทิศ ให้ชาวบ้านถือปืนเป็นยามรักษาการณ์ เรียกว่าสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นปกครอง และป่าวร้องไปทั่วว่า จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน!
เคราะห์ดีสมัยนั้นยังไม่มี "วิดีโอลิงค์" ไม่งั้นดังระดับ CNN ไปแล้ว!
ผีบุญประกาศเช่นนั้น ปรากฏว่าระดับนายอำเภอ ปลัดอำเภอ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เขายังยอมไม่ได้ ไม่ต้องรอนายพล นายหมื่นจากกรมตำรวจหรือจากกองทัพ หรือจากเจ้ากระทรวงมหาดไทยยุรยาตรมาวินิจฉัย เขาใช้มโนสำนึกของ "ข้าในแผ่นดิน" วินิจฉัยกันได้ลงตัว ก็ยกขบวนกันเข้าไปตรวจสอบถึงพื้นที่
ไปด้วยหวังดีต่อบ้านเมือง แต่ถูกกองกำลังผีบุญผู้หวังร้ายต่อบ้านเมืองฆ่าตายดังกล่าว อย่างนี้ค่อยคู่ควรกับคำว่า "พลีชีพ" หน่อย เมื่อคณะผีบุญกำแหงหาญ ตำรวจต้องยกกำลังเข้าไปล้อมจับ ผู้แยกแผ่นดิน ผู้ตั้งตนเป็นกษัตริย์จึงถูกจับ-ถูกประหารในที่สุด
จอมพลสฤษดิ์ถามนายศิลา วงศ์สิน "ผีบุญ" อยู่คำ ก่อนส่งกลับไปรอโทษประหารว่า
"ลื้อกำแหงคิดแบ่งแยกดินแดนละซี"
ผีบุญไม่ตอบ ได้แต่ก้มลงกราบตีนจอมพลสฤษดิ์ ตะกุกตะกักว่า...ผม..ผม..ไม่เคยคิดเลยครับ!
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ประชาชนนั้น เกิดมาเพื่อเป็นผู้ตาม ถ้าใครทำให้เชื่อได้-หวังได้ ประชาชนก็พร้อมตามผู้นั้น และในทำนองนั้น อำนาจรัฐ มีเพื่อจัดระเบียบสังคมมิให้ใครไปตั้งตัวเป็นใหญ่ แยกบ้าน-แยกเมืองไปครอบครอง หรือย่อยลงมาก็จะไม่ยอมให้ใครเหยียบหัวแม่ตีนใคร นั่นคือความหมายของคำว่าประชาธิปไตย แต่ถ้าอำนาจรัฐปล่อยให้เหยียบหัวแม่ตีนกันได้เปรอะไป ใครตีนใหญ่กว่า-ประชาชนก็พร้อมตาม โดยนิยามนี้ "ทหาร-ตำรวจ" ต้องเข้าใจ ไม่ใช่อ้างแต่ว่า "ให้คนเสียหายมาแจ้งความ" ทั้งที่ความผิดนี้เกิดขึ้นซึ่งหน้า ในกรณีด่า "ประธานองคมนตรี" เป็นต้น ทหารก็เช่นกัน พูดเป็นอยู่คำเดียวว่า "การันตีไม่ปฏิวัติ" พูดทำไม..ใครต้องการให้ทหารปฏิวัติ..แต่แค่ไม่ปฏิวัติแล้วจะเคลมว่าเป็น "ทหารประชาธิปไตย" มันง่ายเกินไปนะท่าน ประชาธิปไตยหรือปฏิวัติจะมีความหมายอะไร..ถ้าประเทศไทยไม่สุข และไม่สงบ.
แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ คอลัมน์ เปลวสีเงิน วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552