สังคมสับสนเป็นอย่างมากที่จู่ๆ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงออกมาจุดประเด็นเรื่องที่พร้อมเปิดทางเจรจากับนักโทษชายแม้ว เพื่อยุติสงครามเสื้อแดงทั้งๆ ที่สถานการณ์ขณะนี้มาถึงขั้นที่นักโทษชายแม้วและกองทัพเสื้อแดงประกาศที่จะ โค่นล้มอำนาจรัฐ และเหิมเกริมถึงกับฉุดฟ้าลงต่ำ ด้วยการเตรียมถวายฏีกากดดันให้สถาบันเบื้องสูงปลด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นองคมนตรี
ความจริงการเคลื่อนไหวของนักโทษชายแม้วและม็อบเสื้อแดงไร้ความชอบธรรม ตั้งแต่แรก แต่เพราะความหน่อมแน้มของรัฐบาลปล่อยให้ขบวนการเพื่อแม้วเปิดเกมรุกทำตัว เป็นอาญาเถื่อนอยู่เหนืออำนาจรัฐด้วยการปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล จนที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต้องหนีหัวซุกหัวซุนงดประชุม หรือแอบไปประชุมที่อื่น ซึ่งสภาพอย่างนี้จะไปเรียกความเชื่อมั่นต่อนานาชาติได้อย่างไรเพราะมีรัฐบาล ก็เหมือนกับไม่มี
การที่นักโทษชายแม้ว และกองทัพเสื้อแดงถึงขนาดประกาศโค่นล้มอำนาจรัฐ จาบจ้วงต่อสถาบันองคมนตรีโดยส่อเจตนาตีวัวกระทบคราดไปถึงสถาบันเบื้องสูง และนับวันพยายามที่จะจุดชนวนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความระส่ำระสายในบ้าน เมืองจนไปสู่การนองเลือดโดยไม่คำนึงถึงความวิบัติหายนะของชาติบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดทำเพื่อคนคนเดียว คือ นักโทษชายแม้ว แต่รัฐบาลก็ยังหน่อมแน้มจนเหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปเรื่อยๆ อันเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นจนส่งผลซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ
ความจริงพฤติกรรมของ นักโทษชายแม้ว และม็อบเสื้อแดงเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐชัดแจ้ง เพราะประกาศปลุกระดมให้คนเสื้อแดงลุกฮือขึ้นโค่นล้มอำนาจรัฐและยังเข้าข่าย บ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง ซึ่งมีเหตุผลเพียงพอที่รัฐบาลจะตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการดำเนินคดี นักโทษชายแม้ว และบรรดาแกนนำม็อบเสื้อแดงอย่างจริงจัง แต่รัฐบาลกลับตั้งรับเพราะกลัวว่าจะตกหลุมพราง นักโทษชายแม้ว ที่จะอ้างเหตุการณ์ถูกกระทำจากรัฐเพื่อจุดชนวนให้เกิดสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่รัฐบาลมีความชอบธรรมและถึงอย่างไร นักโทษชายแม้ว ก็ไม่มีทางหยุดทำสงครามแตกหัก ตราบใดที่ตัวเองยังไม่บรรลุเป้าหมายสำคัญอย่างน้อย 2 ประการที่ตัวเองต้องการนั่นคือฟอกโทษความผิดของตัวเองทั้งหมด และทวงทรัพย์สินมูลค่า 76,000 ล้านบาท ของตัวเองที่ถูกฟ้องยึดคืน
นอกจาก นายสุเทพ ที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องเจรจากับ นักโทษชายแม้ว แล้วก็มีบุคคลสำคัญอีกหลายคนที่ออกมาสนับสนุนแนวคิดเรื่องเจรจาฮั้วทางการ เมืองเพื่อยุติสงครามม็อบเสื้อแดงซึ่งรวมทั้ง นายชัย ชิดชอด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ นายประสพ สุขบุญเดช ประธานวุฒิสภา ซึ่งการเปิดประเด็นแนวคิดนี้ภายใต้สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าเชยเต็มทีเหมือนฝัน ที่ไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้เลย
เพราะแค่ปัญหาเริ่มต้นก็ยากที่จะเป็นจริงแล้วนั่นคือ ใครจะเป็นผู้มีบารมีพอที่จะมาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย เพราะแม้แต่ผู้มีบารมีสูงสุดอย่างประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษยังถูกถล่มจน ยับเยิน และหากเป็นบุคคลอื่นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
ปัญหาประการต่อมาซึ่งมีความสำคัญมากคือจะเจรจากันในประเด็นไหนโดยเฉพาะหาก เป็นประเด็นเรื่องที่จะฟอกโทษความผิดและคืนทรัพย์สินมูลค่า 76,000 ล้านบาทที่ถูกฟ้องยึด ให้กับ นักโทษชายแม้ว แทนที่จะยุติความแตกแยกกลับจะกลายเป็นชนวนไปสู่ระเบิดปรมาณูทางการเมืองลูก ใหม่เพราะจะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ลุกฮือออกมาต่อต้านอย่างแน่นอน
ในด้านกลับกันหากการเจรจาไม่มีการฟอกโทษความผิดและคืนทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาทให้ นักโทษชายแม้ว ก็อย่าหวังว่าสงครามม็อบเสื้อแดงจะยุติ
ปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือการฮั้วกันทางการเมืองแบบยื่นหมูยื่นแมวเช่นนี้จะ เป็นการสร้างวัฒนธรรมบรรทัดฐานทางสังคมที่ผิดๆ เพราะต่อไปหากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองโกงบ้านกินเมืองและประพฤติชั่วก็จะใช้ วิธีการเดียวกัน คือ ปลุกม็อบเพื่อกดดันแล้วเจรจาต่อรองเพื่อยุติศึก
ที่สำคัญความผิดของ นักโทษชายแม้ว บางคดีศาลฎีกามีคำพิพากษาลงโทษไปแล้วคือคดีซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่ศาล สั่งจำคุก 2 ปี นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคดีที่ศาลใกล้จะมีคำพิพากษา ซึ่งหากมีการเจรจาฮั้วการทางการเมืองเท่ากับเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ และความน่าเชื่อถือของระบบศาล กฎหมาย และความยุติธรรมของสังคมอย่างไม่มีชิ้นดี
เพราะฉะนั้นสังคมไทยควรเลิกเสียทีสำหรับวัฒนธรรมการแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะ จมูก โดยอ้างความปรองดอง แต่ควรจะสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแรงด้วยการยึดถือความถูกต้องและหลักแห่งกฎหมาย อย่างจริงจัง และความจริงอีกประการหนึ่งที่ต้องไม่หลงประเด็นก็คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศมีความสามัคคีและอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าไม่มี ความแตกแยกแต่อย่างใด แต่ปัญหาวิกฤติความวุ่นวายตึงเครียดทางการเมืองตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด เกิดจากคนเพียงหยิบมือเดียวที่สร้างความแตกแยกบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองโดยตัว ต้นเหตุสำคัญมาจากคนเพียงคนเดียวนั่นคือ นักโทษชายแม้ว เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องแก้ที่ต้นเหตุด้วยการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในอำนาจรัฐ และดำเนินการตามกฎหมายกับนักโทษชายแม้วอย่างจริงจังและโดยเร็ว อย่ามัวแต่กลัวว่าทำแล้วจะมีปัญหาตามมา เพราะถึงไม่ทำทุกวันนี้ก็ถูกจุดไฟเผาบ้านป่วนเมืองขณะที่นักโทษชายแม้วก็ เดินหน้าทำสงครามแตกหักอยู่วันยังค่ำ
แนวหน้า
ความจริงการเคลื่อนไหวของนักโทษชายแม้วและม็อบเสื้อแดงไร้ความชอบธรรม ตั้งแต่แรก แต่เพราะความหน่อมแน้มของรัฐบาลปล่อยให้ขบวนการเพื่อแม้วเปิดเกมรุกทำตัว เป็นอาญาเถื่อนอยู่เหนืออำนาจรัฐด้วยการปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล จนที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต้องหนีหัวซุกหัวซุนงดประชุม หรือแอบไปประชุมที่อื่น ซึ่งสภาพอย่างนี้จะไปเรียกความเชื่อมั่นต่อนานาชาติได้อย่างไรเพราะมีรัฐบาล ก็เหมือนกับไม่มี
การที่นักโทษชายแม้ว และกองทัพเสื้อแดงถึงขนาดประกาศโค่นล้มอำนาจรัฐ จาบจ้วงต่อสถาบันองคมนตรีโดยส่อเจตนาตีวัวกระทบคราดไปถึงสถาบันเบื้องสูง และนับวันพยายามที่จะจุดชนวนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความระส่ำระสายในบ้าน เมืองจนไปสู่การนองเลือดโดยไม่คำนึงถึงความวิบัติหายนะของชาติบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดทำเพื่อคนคนเดียว คือ นักโทษชายแม้ว แต่รัฐบาลก็ยังหน่อมแน้มจนเหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปเรื่อยๆ อันเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นจนส่งผลซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ
ความจริงพฤติกรรมของ นักโทษชายแม้ว และม็อบเสื้อแดงเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐชัดแจ้ง เพราะประกาศปลุกระดมให้คนเสื้อแดงลุกฮือขึ้นโค่นล้มอำนาจรัฐและยังเข้าข่าย บ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง ซึ่งมีเหตุผลเพียงพอที่รัฐบาลจะตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการดำเนินคดี นักโทษชายแม้ว และบรรดาแกนนำม็อบเสื้อแดงอย่างจริงจัง แต่รัฐบาลกลับตั้งรับเพราะกลัวว่าจะตกหลุมพราง นักโทษชายแม้ว ที่จะอ้างเหตุการณ์ถูกกระทำจากรัฐเพื่อจุดชนวนให้เกิดสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่รัฐบาลมีความชอบธรรมและถึงอย่างไร นักโทษชายแม้ว ก็ไม่มีทางหยุดทำสงครามแตกหัก ตราบใดที่ตัวเองยังไม่บรรลุเป้าหมายสำคัญอย่างน้อย 2 ประการที่ตัวเองต้องการนั่นคือฟอกโทษความผิดของตัวเองทั้งหมด และทวงทรัพย์สินมูลค่า 76,000 ล้านบาท ของตัวเองที่ถูกฟ้องยึดคืน
นอกจาก นายสุเทพ ที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องเจรจากับ นักโทษชายแม้ว แล้วก็มีบุคคลสำคัญอีกหลายคนที่ออกมาสนับสนุนแนวคิดเรื่องเจรจาฮั้วทางการ เมืองเพื่อยุติสงครามม็อบเสื้อแดงซึ่งรวมทั้ง นายชัย ชิดชอด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ นายประสพ สุขบุญเดช ประธานวุฒิสภา ซึ่งการเปิดประเด็นแนวคิดนี้ภายใต้สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าเชยเต็มทีเหมือนฝัน ที่ไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้เลย
เพราะแค่ปัญหาเริ่มต้นก็ยากที่จะเป็นจริงแล้วนั่นคือ ใครจะเป็นผู้มีบารมีพอที่จะมาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย เพราะแม้แต่ผู้มีบารมีสูงสุดอย่างประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษยังถูกถล่มจน ยับเยิน และหากเป็นบุคคลอื่นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
ปัญหาประการต่อมาซึ่งมีความสำคัญมากคือจะเจรจากันในประเด็นไหนโดยเฉพาะหาก เป็นประเด็นเรื่องที่จะฟอกโทษความผิดและคืนทรัพย์สินมูลค่า 76,000 ล้านบาทที่ถูกฟ้องยึด ให้กับ นักโทษชายแม้ว แทนที่จะยุติความแตกแยกกลับจะกลายเป็นชนวนไปสู่ระเบิดปรมาณูทางการเมืองลูก ใหม่เพราะจะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ลุกฮือออกมาต่อต้านอย่างแน่นอน
ในด้านกลับกันหากการเจรจาไม่มีการฟอกโทษความผิดและคืนทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาทให้ นักโทษชายแม้ว ก็อย่าหวังว่าสงครามม็อบเสื้อแดงจะยุติ
ปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือการฮั้วกันทางการเมืองแบบยื่นหมูยื่นแมวเช่นนี้จะ เป็นการสร้างวัฒนธรรมบรรทัดฐานทางสังคมที่ผิดๆ เพราะต่อไปหากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองโกงบ้านกินเมืองและประพฤติชั่วก็จะใช้ วิธีการเดียวกัน คือ ปลุกม็อบเพื่อกดดันแล้วเจรจาต่อรองเพื่อยุติศึก
ที่สำคัญความผิดของ นักโทษชายแม้ว บางคดีศาลฎีกามีคำพิพากษาลงโทษไปแล้วคือคดีซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่ศาล สั่งจำคุก 2 ปี นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคดีที่ศาลใกล้จะมีคำพิพากษา ซึ่งหากมีการเจรจาฮั้วการทางการเมืองเท่ากับเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ และความน่าเชื่อถือของระบบศาล กฎหมาย และความยุติธรรมของสังคมอย่างไม่มีชิ้นดี
เพราะฉะนั้นสังคมไทยควรเลิกเสียทีสำหรับวัฒนธรรมการแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะ จมูก โดยอ้างความปรองดอง แต่ควรจะสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแรงด้วยการยึดถือความถูกต้องและหลักแห่งกฎหมาย อย่างจริงจัง และความจริงอีกประการหนึ่งที่ต้องไม่หลงประเด็นก็คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศมีความสามัคคีและอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าไม่มี ความแตกแยกแต่อย่างใด แต่ปัญหาวิกฤติความวุ่นวายตึงเครียดทางการเมืองตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด เกิดจากคนเพียงหยิบมือเดียวที่สร้างความแตกแยกบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองโดยตัว ต้นเหตุสำคัญมาจากคนเพียงคนเดียวนั่นคือ นักโทษชายแม้ว เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องแก้ที่ต้นเหตุด้วยการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในอำนาจรัฐ และดำเนินการตามกฎหมายกับนักโทษชายแม้วอย่างจริงจังและโดยเร็ว อย่ามัวแต่กลัวว่าทำแล้วจะมีปัญหาตามมา เพราะถึงไม่ทำทุกวันนี้ก็ถูกจุดไฟเผาบ้านป่วนเมืองขณะที่นักโทษชายแม้วก็ เดินหน้าทำสงครามแตกหักอยู่วันยังค่ำ
แนวหน้า