กองทุนฟื้นฟูฯฟ้องคุณหญิงพจมานคืนที่ดินรัชดาฯ - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
กองทุนฟื้นฟูฯส่งอัยการยื่นฟ้องแพ่งคุณหญิงพจมาน ส่งคืนที่ดินย่านรัชดาฯ 4 แปลง 33 ไร่เศษ มูลค่า 772 ล้าน ชี้นิติกรรมสัญญาซื้อขายปี46 เป็นโมฆะ
กองทุนฟื้นฟูฯส่งอัยการยื่นฟ้องแพ่งคุณหญิงพจมาน ส่งคืนที่ดินย่านรัชดาฯ 4 แปลง 33 ไร่เศษ มูลค่า 772 ล้าน ชี้นิติกรรมสัญญาซื้อขายปี46 เป็นโมฆะ
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายพศิน ทิพยรักษ์ พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง รับมอบอำนาจจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย เรื่องโมฆะกรรม ขอให้ศาลเพิกถอนรายการจดทะเบียนขายโฉนดที่ดินรัชดาภิเษก 4 แปลงจำนวน 33 ไร่เศษมูลค่า 772 ล้านบาท และให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน
ตามฟ้องอัยการโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 46 คุณหญิงพจมาน จำเลย เข้าร่วมยื่นซองประกวดราคาซื้อที่ดินดังกล่าวต่อมา กองทุนฯ ประกาศให้เป็นผู้ชนะในการซื้อที่ดิน 4 แปลงในราคาสูงสุดเป็นเงิน 772 ล้านบาทโดยกองทุนฯ และคุณหญิงพจมาน จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 46 และได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิที่ดินให้กับคุณหญิงพจมาน จำเลยในวันที่ 30 ธ.ค. 46 โดยสัญญาซื้อขายที่ดินมีข้อความว่า กองทุนฯ โจทก์ ผู้ขายตกลงยอมขาย และคุณหญิงพจมาน จำเลย ผู้ซื้อตกลงยอมซื้อ
แต่ต่อมาภายหลังจากทำสัญญาซื้อขาย คุณหญิงพจมาน จำเลย และ พ.ต.ท.ทักษิณ สามี ถูกอัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จากกรณีที่คุณหญิงพจมาน จำเลยคู่สมรสของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าเป็นคู่สัญญาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน 4 แปลงกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่อยู่ในอำนาจกำกับดูแลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาวันที่ 17 ก.ย. 51 ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดให้จำคุก 2 ปี
การที่คุณหญิงพจมาน จำเลยเสนอตัวเข้ายื่นซองจนชนะการประกวดและเข้าทำนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแล โดยคุณหญิงพจมาน จำเลยรู้และตระหนักดีว่าตนเองเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นการเข้าทำนิติกรรมสัญญาย่อมเป็นการทำโดยมีวัตถุประสงค์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวม และส่วนตัวซึ่งต้องห้ามตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 100
เมื่อคุณหญิงพจมาน จำเลย มีเจตนาจงใจเข้าทำนิติกรรมสัญญาทั้งที่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 4 แปลงจึงตกเป็นโมฆะทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 ซึ่งมีผลทำให้การจดทะเบียนซื้อขายที่ดินวันที่ 30 ธ.ค. 46 ระหว่างกองทุนฯ โจทก์ กับคุณหญิงพจมาน จำเลยเป็นอันสิ้นผล ไม่มีผลบังคับใช้ไปด้วย คุณหญิงพจมาน จำเลยจึงมีภาระต้องดำเนินการให้เจ้าพนักงานที่ดิน สาขาห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ทำการเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดิน และให้ส่งมอบคืนต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลงที่ดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนเรียบร้อยแล้วให้กับกองทุนฯ พร้อมทั้งต้องส่งมอบการครอบครองที่ดินในสภาพสมบูรณ์เช่นเดิมโดยปราศจากภาระผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น
กองทุนฯ โจทก์เคยมีหนังสือแจ้งให้คุณหญิงพจมาน จำเลยดำเนินการ แต่ยังไม่ดำเนินการเมื่อกองทุนฯ โจทก์ไม่มีวิธีอื่นบังคับจึงต้องนำคดีมาฟ้อง และขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินและหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน 4 แปลงระหว่างกองทุนฯ โจทก์ กับคุณหญิงพจมาน จำเลยตกเป็นโมฆะตามกฎหมาย และให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินวันที่ 30 ธ.ค. 46 พร้อมทั้งให้นำต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลงคืนให้กองทุนฯ โจทก์ โดยให้คุณหญิงพจมาน จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมและภาษีพร้อมค่าทนายความ หากไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแพ่งเป็นการแสดงแทนเจตนาคุณหญิงพจมาน จำเลยดำเนินการส่งโฉนดคืนแก่กองทุนฯ
ทั้งนี้ศาลแพ่งประทับรับฟ้องคดีไว้เป็นคดีดำที่ 5379/2552 และนัดให้ กองทุนฯ และคุณหญิงพจมานมาศาลเพื่อกำหนดประเด็นการสืบพยานต่อไป