Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Sunday, June 21, 2009

รวบดาราหนุ่ม "เมธี" คดีเสื้อแดง


ตม. รวบ ดาราหนุ่ม "เมธี อมรวุฒิกุล" คาสุวรรณภูมิ โดนหมายจับร่วม เสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบฯ คุมตัวส่งสน.ดุสิต

เจ้าหน้าที่ ตม.ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทอช.) เข้าจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 279 ถนนวรจักร แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ดารานายแบบชื่อดัง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1697/2552 ลงวันที่ 15 มิ.ย.52 ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้ที่มีหน้าที่สั่งการ ,ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ,ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมณ ที่ใดๆตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปในท้องที่กรุงเทพมหานคร หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย

โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังเจ้าตัวเดินทางกลับมาจากประเทศเวียดนาม ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 และพ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต ร่วมทำการสอบปากคำ

เมธี อมรวุฒิกุลหลังสอบปากคำนายเมธี เปิดเผยว่า ช่วงที่กลุ่มเสื้อแดงมีการชุมนุม ตนเคยไปขึ้นเวทีอยู่ 2 ครั้ง คือก่อนรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 ครั้ง และหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 1 ครั้ง ซึ่งตนก็ทำใจแล้วว่าจะต้องถูกออกหมายจับแน่นอน แต่ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ จนวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนก็เดินทางไปประเทศเวียดนาม และมาทราบว่า ตัวเองถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. จึงเดินทางกลับในวันนี้ ซึ่งตนก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเดินทางเข้ามอบตัวเลยทันที แต่ก็มาถูกจับเสียก่อน ทั้งนี้ตนขอให้การปฏิเสธ และได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 500,000 บาท มายื่นขอประกันตัวแล้ว

สำหรับคดีปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ศาลอนุมัติหมายจับกุมกลุ่มคนเสื้อแดงเพิ่มอีก 8 คน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้เหลือนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ เพียงคนเดียวยังไม่มาติดต่อเข้ามอบตัว.

นายกฯยันไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ

โพสต์ ทูเดย์ - นายกฯยันไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ

นายกรัฐมนตรี พร้อมปรับแก้กฎหมายเพื่อเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาเรื่อง"การแก้วิกฤติเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจไทยเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว"ว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการลงทุนทุกด้านทั้งจากเอกชนในประเทศและต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญ หลังจากที่ภาครัฐได้ขับเคลื่อนการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องถือว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกน้อยกว่าครั้งที่เกิดวิกฤติในประเทศเมื่อปี 40 แต่เศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติค่อนข้างยาวนาน ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อไทยได้ เพราะเราก็พึ่งพาการส่งออก จากเดิมการส่งออกเคยเติบโตในอัตรามากกว่า 10% แต่ปัจจุบันการส่งออกติดลบมากกว่า 10%

แม้ว่าภาครัฐจะใช้นโยบบายการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงผลักดันการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์รวมกันกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ยังไม่ส่งผลเต็มที่ ซึ่งเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จึงยังจะไม่ดีมากอย่างที่คาด เพราะมีเรื่องการเมืองวุ่นวายซ้ำเติมมาด้วย ทำให้การผลักดันบทบาทการลงทุนภาคเอกชนมีความสำคัญ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ภาครัฐได้เบิกจ่ายเม็ดเงินจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจไปใช้จ่ายแล้วกว่า 50% หลังจากนี้หน้าที่ของรัฐจะต้องช่วยหลือผู้ทีได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ และขั้นที่ 2 ก็ต้องดูแลสนับสนุนให้ผู้ผลิตมีการลงทุน โดยเฉพาะภาคเอกชน และขั้นที่ 3 รัฐบาลก็จะต้องวางยุทธศาสตร์และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยใหม่ไม่ให้อิงกับเศรษฐกิจโลกมากเกินไป เพราะเมื่อเกิดวิกฤติจะเกิดผลกระทบรุนแรง

โดยภาคส่วนสำคัญที่ต้องการให้รัฐเข้าไปช่วยเหลือคือ สินค้าเกษตร ซึ่งควรมีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ เพราะถือว่าประเทศไทยค่อนข้างล้าหลัง และต้องมีการจัดเรื่องที่ดิน และการเพิ่มมูลค่าผลผลิต หาตลาดรองรับผลผลิตและสร้างระบบขนส่งที่ดี

ขณะที่ในด้านการลงทุนจะต้องได้รับการสนับสนุนและขจัดอุปสรรค ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะแก้ไขกฎหมายที่จำเป็นเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อให้เกิดความมั่นใจและส่งเสริมการลงทุนของเอกชนทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับการผลักดันโครงการลงทุนที่มีอยู่ เช่น เครือข่ายเทคโนโลยีระบบ 3G และ เหมืองโปแตช ซึ่งมีความล่าช้ากว่ากำหนดมาก โดยรัฐบาลจะไม่เข้าไปลงทุนทำเอง เพราะอาจประสบภาวะเหมือนในอดีต เช่น โครงการอีลิทการ์ด เป็นต้น

รัฐบาลยังพร้อมให้ต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนด้านต่างๆ ในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น การลงทุนในระบบราง ซึ่งรัฐบาลได้เจรจากับทางการจีนเพื่อเชิญชวนให้เข้ามาร่วมพัฒนาและสนับสนุนเมกะโปรเจ็คต์ระบะบราง เนื่องจากเห็นว่าจีนเป็นผู้ชำนาญการและมีการลงทุนระบบรางอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือในส่วนของรัฐบาล

ในด้านกการระดมทุนนั้น รัฐบาลจะสนับสนุนให้ตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของภาคเอกชน โดยล่าสุดได้มีการพยายามสร้างแรงจูงใจเพื่อให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยได้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับบริษัทเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่สนับสนุนให้มีการนำรัฐวิสาหกิจเข้ากระจายหุ้นโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์(แปรรูป) แต่ควรจะปรับปรุงโครงสร้างให้เหมาะสมเพื่อนำกิจการบางส่วนเข้าจดทะเบียน ซึ่งอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง แต่จะเป็นผลดีและคุ้มค่าต่อประชาชน เช่น ธุรกิจด้านพลังงาน รถเมล์ รถไฟ ที่ยังประสบปัญหาขาดทุน แต่ระบบสาธารณูปโภคไม่ควรแรรูปเพราะจะส่งผลกระทบต่อประชาชน และเป็นเรื่องยากที่อาจถูกคัดค้าน


Label Cloud