Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Sunday, July 12, 2009

ข้อเสนอต่อรัฐบาลกรณีการแก้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009 - จาตุรนต์ ฉายแสง

ข้อเสนอต่อรัฐบาลกรณีการแก้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009 | ประชาไท
สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009
จาตุรนต์ ฉายแสง

สถานการณ์ปัจจุบันโรคนี้ได้ระบาดอย่างรวดเร็ว มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว มีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มการแพร่ระบาดจะรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และสร้างความเสียหายให้แก่คนทั่วโลกได้อีกมาก

ในประเทศไทยโรคนี้ได้แพร่ระบาดเร็วมาก มีผู้เสียชีวิตแล้ว 14 คน มียอดผู้ป่วยด้วยโรคนี้เป็นอันดับ 9 ของโลก มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชีย (ยอดผู้ป่วย และเสียชีวิต จาก WHO - ThaiDMZ)

นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าในขณะนี้มีผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากกว่าตัวเลขที่เป็นทางการอีกมาก ถ้าการแพร่ระบาดยังเป็นไปในลักษณะนี้ หมายความว่าจะเพิ่มอัตราเร่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อาจจะทำให้เราพบกับสภาพที่มีผู้ปวยด้วยโรคนี้จำนวนเป็นแสนๆคนในอนาคตอันใกล้

ในอเมริกา หน่วยงานสาธารณสุขออกแถลงอย่างเป็นทางการไปแล้วว่า ในประเทศสหรัฐฯประเทศเดียว คาดว่าจะมีผู้ติดหวัด 90 ล้านคน และเสียชีวิตมากถึง 2 ล้านคน

(LATimes: ตัวเลขจากการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์ ระบุยอดจริงผู้ติดเชื้อ H1N1 ในอเมริกา  อาจจะทะลุยอด 1 ล้านคน  (25 มิ.ย. 2009) - ThaiDMZ)
(gmanews: สาธารณสุขฟิลิปปินส์ ระบุ คนฟิลิปปินส์มีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1 ได้ถึง 25% ของประชากร 90 ล้านคน หรือราว 22.5 ล้านคน)


จึงเป็นที่วิตกกันว่า โรคนี้จะระบาดมากขึ้น สร้างความเสียหายอย่างมาก โดยที่คนจำนวนมากไม่ค่อยเชื่อถือตัวเลขจากทางการ ไม่เชื่อมั่นในมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหานี้ รวมทั้งไม่เชื่อในข้อมูลข่าวสารที่ทางราชการได้เผยแพร่หรือชี้แจง ซึ่งมีเหตุผลที่ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกอย่างนั้น

ขาดยุทธศาสตร์ แผนงาน มาตรการ


ความจริงประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดีหลายอย่างในการที่จะรับมือกับโรคนี้ คือเรามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องที่เกี่ยวกับโรคระบาดอยู่พอสมควร เราได้ผ่านประสบการณ์กับการที่ต้องเผชิญกับโรคซาส์และปัญหาไข้หวัดนกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เรามีประสบการณ์ทำงาน ในการวางแผน ในการจัดการ รวมทั้งยังได้มีแผนรับมือกับภาวะโรคระบาดที่ได้มีการวางแผนไว้แล้วอย่างต่อเนื่องถึง 2 แผน

แผนแรกได้ทำโดยคณะกรรมการติดตามแก้ปัญหาไข้หวัดนก และต่อมามีการพัฒนาแผนขึ้นอีกเป็นแผนงานขั้นที่ 2 ที่ต่อเนื่องโดยสำนักงานสภาพัฒน์ฯ นอกจากนั้นเรายังมีเครือข่ายความร่วมมือที่ดีกับองค์กรต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้ง WHO ที่ได้เคยให้เราเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้ ในการป้องกันแก้ปัญหาไข้หวัดนก

เรายังได้เคยมีการศึกษา ค้นคว้า เพื่อจะสร้างหรือผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทำให้เรามีความรู้ ความเชี่ยวชาญอยู่พอสมควร ในการที่จะสร้าง ผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้

มีคำถามว่า ทำไมเราจึงมาอยู่ในจุดที่ผู้คนขาดความเชื่อถือ และดูเหมือนการแก้ปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้วางใจ จนกระทั่งทำให้เกิดการคาดการณ์ในทางหวั่นวิตกว่า ปัญหาจะหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

สาเหตุสำคัญ คือ เราขาดยุทธศาสตร์ในการรทำงาน ขาดนโยบาย การวางแผน การวางมาตรการที่ดี ขาดการปรึกษาหารือกับผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเป็นระบบ และไม่มีการตัดสินใจที่ดี รวมทั้งไม่มีการวางยุทธศาสตร์ วางแผนในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้เข้าใจข้อเท็จจริง รวมทั้งสร้างความเข้าใจว่าเรากำลังจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร ผู้คนทั้งหลายจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร

ปัดฝุ่นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงต่างประเทศ

หากจะให้เสนอแนะความคิดเห็น ผมคิดว่าควรจะมีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้น เพื่อดูแลปัญหานี้ แต่จากการติดตามข่าวสารทราบว่า มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติ ระดับรัฐบาลเพื่อดูแลปัญหานี้แล้ว แต่ว่าคณะกรรมการคณะนี้ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ไม่ค่อยได้ประชุมปรึกษาหารือกัน จึงไม่เห็นว่าคณะกรรมการชุดนี้ได้ทำงานอะไร ทำหน้าที่อย่างไร

ข้อเสนอประการแรกคือ ให้คณะกรรมการฯที่ตั้งไว้นี้ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการชุดนี้ให้ทันสมัยมากขึ้น ให้มีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ จากกระทรวงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรจะเชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและจากต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ ให้เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือเป็นที่ปรึกษา แล้วให้คณะกรรมการนี้ทำงานอย่างจริงจัง มีการประชุมสม่ำเสมออย่างน้อยทุกสัปดาห์ เพื่อที่จะกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน มาตรการ และเพื่อที่จะบัญชาการ สั่งการ ให้เกิดการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย

รวมทั้งควรจะมีการนำเอาแผนฉุกเฉินที่จะรับมือกับการเกิดโรคระบาด ที่มีการทำไว้แล้วนั้นมาพิจารณาเพื่อนำส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นประโยชน์มาใช้โดยเร็ว รวมทั้งควรจะมีการชี้แจงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชาชน

- ได้เข้าใจข้อเท็จจริง
- เข้าใจลักษณะความรุนแรงของโรค
- วิธีการในการป้องกันรักษา
- วิธีปฏิบัติตน
- แนวปฏิบัติขององค์กรหน่วยงาน สถานที่ต่างๆ
- รวมไปถึงบุคคลแต่ละคนว่าควรปฏิบัติในการป้องกันรักษาโรคนี้อย่างไร

ควรจะมีรายละเอียดตั้งแต่ในภาวะปกติที่ยังไม่ปรากฎ ไปจนถึงสงสัยว่า

- เริ่มมีอาการอย่างไร
- จะทำอย่างไร
- ควรจะไปพบแพทย์ และควรจะไปโรงพยาบาลใดบ้าง หรือทั่วไป
- หรือว่าเมื่อใดควรจะหยุดเรียน เมื่อใดโรงเรียนควรจะปิด
- จากนี้ไปผู้ที่รับผิดชอบสถานที่ ระบบขนส่ง อาคารตึกรามต่างๆจะต้องมีมาตรการอย่างไร

ชี้แจงประสัมพันธ์ทั้งระบบ จัดทำแผนฉุกเฉิน ผลิตวัคซีน

ควรจะมีคำแนะนำที่ชัดเจน ควรจะมีการมาสรุปผลการศึกษาการวิเคราะบทเรียนจากการป้องกันรักษาโรคนี้ ทั้งในประเทศไทยและจากต่างประเทศ เพื่อให้คนเข้าใจพฤติกรรมเข้าใจการพัฒนาการคลี่คลายของเรื่องนี้ว่า คนมักจะติดโรคนี้จากอะไร ติดมาในโอกาสไหนมาจากใครอย่างไร ที่หายๆได้อย่างไรแต่ละคนจะได้วางตัวถูก

ประการที่สอง คือ นอกจากชี้แจงสิ่งที่เป็นปัจจุบันแล้ว ต้องแสดงภาพให้เห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะต้องเผชิญกับสภาพอย่างไร แล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไร ในอนาคตคนจะเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธรณะอย่างไร คนจะใช้บริการต่างๆ ไปดูหนัง อยู่ในร้านอาหาร ไปซื้อข้าวซื้อของตามศูนย์การค้าและอื่นๆจะทำอย่างไร

โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของโรคนี้อย่างกว้างขวางมากๆ แล้วคนแต่ละคนจะทำกันอย่างไร ให้นำเอาแผนฉุกเฉินแผนที่มีไว้สำหรับการรับมือกับโรคระบาดอย่างร้ายแรงมาพิจารณาดูว่าควรจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาโรคอย่างไรและก็ต้องเร่งทำอย่างจริงจัง ต้องทุ่มเทงบประมาณหาบุคลากรมาเสริมอีกมาก รวมทั้งต้องร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศก็ต้องรีบดำเนินการ หมายถึงว่าต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือเตรียมยาสำหรับรักษาเตรียมผลิตวัคซีน เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ อย่างเช่นห้องทดลอง เครื่องมือในการตรวจพิสูจน์ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่เป็นโรคนี้หรือไม่ ห้องรักษาคนไข้แบบปิดที่ไม่แผ่เชื้อต่อๆไป รวมทั้งก็จะต้องเร่งผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้

(VOA: WHO มีแผนจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกัน H1N1 ได้ในกลางเดือนตุลาคม 2009 อีก 3 เดือนข้างหน้า - ThaiDMZ)

ประการสำคัญ ต้องจัดระบบการชี้แจงประชาสัมพันธ์เสียใหม่ คือเมื่อมีการพิจารณาอย่างเป็นระบบแล้ว นำเรื่องสำคัญๆมาชี้แจงแก่ประชาชนทราบให้เข้าใจสถานะของปัญหาความร้ายแรงของปัญหาในขอบเขตทั่วโลก และทั่วประเทศ รวมทั้งความรุนแรงที่จะเกิดต่อคนแต่ละคน วิธีการป้องกันวิธีการรักษาที่ดีควรเป็นอย่างไร ในการชี้แจงควรจะชี้แจงอย่างจริงจังเป็นระบบด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เช่นต้องขอความร่วมมือให้มีการใช้ทีวีพูล มีการใช้วิทยุรวมการเฉพาะกิจ ขอความร่วมมือจากสถานีวิทยุต่างๆให้มีความร่วมมือในการที่เผยแผ่ข้อมูลข่าวสารอย่างจริงจังทั้งระบบ

กระทำอย่างต่อเนื่องอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง เพื่อให้คนในสังคมรู้ว่าจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร ผมคิดว่าหากได้มีการพยายามทางยุทธศาสตร์วางแผนอย่างเป็นระบบ มีการบัญชาการสั่งการอย่างจริงจัง รวมทั้งชี้แจ้งข้อมูลอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาให้ประชาชนเข้าใจข้อเท็จจริง รวมทั้งข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ทั้งหลายอย่างเพียงพอ ประชาชนก็จะลดความวิตกกังวลลดความเครียดลงไป ก็คงจะไม่ได้ตำหนิอะไรรัฐบาลมากมายอย่างที่เป็นอยู่ เพราะว่าประชาชนย่อมจะรู้อยู่ว่าปัญหานี้เป็นเรื่องที่หลายหลายส่วนก็เป็นเรื่องสุดวิสัยที่ใครจะทำอะไรได้

ถ้าแต่หากว่ายังปล่อยให้อยู่ในสภาพที่ไม่มีการบริหารจัดการที่ดีไม่มีการบัญชาการสั่งการที่ดี ไม่มีการประชาสัมพันธ์ที่ดี มีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ คนก็จะรู้สึกตำหนิรัฐบาลมากยิ่งขึ้นๆ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเท่ากับว่า จะทำอย่างไร จะช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว และที่จะเกิดขึ้นจากโรคนี้ในวันข้างหน้า

สิ่งสำคัญคือว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยกันป้องกันลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นและที่จะเกิดขึ้นจากโรคนี้

ประเด็นสุดท้าย ทั้งหมดนี้จะเริ่มที่ไหน ผมคิดว่าก็ต้องเริ่มที่นายกรัฐมนตรี


อ่าน Update สถานการณ์ ไข้หวัดใหญ่ 2009 และ จำนวนผู้ป่วย (6 กค 2552)


กษิตแฉสื่อนอก มีคนเสี้ยม ให้พ้นตำแหน่ง

ไทยรัฐออนไลน์ - กษิตแฉสื่อนอก มีคนเสี้ยม ให้พ้นตำแหน่ง
กษิตเดือด!! แฉสื่อนอกคนมีสีเสี้ยมนายกฯให้พ้นตำแหน่งบัวแก้ว จี้เผยตัวถ้าเป็นลูกผู้ชาย เพราะตนไม่มีอำนาจไปกลั่นแกล้ง หรือโยกย้าย ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นสู้ อย่ามารุมกินโต๊ะคนเดียว ...

(11ก.ค.) โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศถึงกรณีข่าวระบุว่าคนมีสีแสดงความเห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีควรให้ รมว.ต่างประเทศ ลาออกจากตำแหน่งว่า ตนไม่รู้ว่าคนมีสีเหล่านั้นเป็นใคร หนังสือพิมพ์ไปเอามาจากไหน ตนไม่มีอำนาจไปกลั่นแกล้ง หรือโยกย้าย ดังนั้นไม่ต้องกลัวการเปิดเผยตัว

"ถ้ากล้าพูดแล้วก็ต้องกล้าแสดงตัวด้วยเป็นลูกผู้ชายก็ต้องออกมาแสดงตัว จะกลัวอะไร และบอกด้วยว่าเนื้อหาแท้ๆ มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับตัวผม ทำไมมาเก่งกับผม เพราะผมไม่มีอำนาจเงินใช่ไหม ถ้าจะเปิดศึกรบก็ต้องรบกันรอบด้าน และต้องถามด้วยว่าตอนที่ทักษิณ ปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมือง คนพวกนี้หายไปไหน ทำไมไม่ออกมาป้องกันประเทศชาติและสถาบัน ตอนที่บ้านเมืองคับขัน พวกนี้หายไปไหนหรือว่าเกรงกลัวพวกรุ่น10ถ้าหากผมเป็นรมว. กลาโหม ก็วิพากษ์วิจารณ์ผมได้ ผมรับฟัง เพราะผมไม่ใช้อำนาจเถื่อน ถ้ารักชาติก็ต้องรักตลอดเวลา และช่วยถามทีว่าใครปองร้ายนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ใครปองร้ายนายกฯ ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง คงต้องตอบ" รมว.ต่างประเทศกล่าว

นายกษิต กล่าวต่อว่า "ผมก็อยากจะรู้ว่ากลุ่มไหน มาขึ้นเวทีออกโทรทัศน์ด้วยกันไหม แล้วบอกว่ากระแสกดดันให้ลาออกนี่ กระแสทั้งหมดมีกี่ร้อยคนกัน ผมเอาออกมาเป็นแสนนะ ถ้าผมจะเรียกร้องให้คนออกมาสนับสนุนผม ผมก็ทำได้" เมื่อถามว่า รัฐบาลขณะนี้แสดงท่าทีให้ออกจากตำแหน่งหรือไม่ นายกษิตตอบว่า ไม่มี ใครอยากผลักดันก็ผลักดันมา แต่ต้องมีเนื้อหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดลอยๆ ทำไมไม่ตั้งคำถามว่าการตั้งข้อหาก่อการร้ายกับตนได้อย่างไร ตอนนี้เหมือนเอาหลายๆเรื่องมารวมกันเหมารุมกินโต๊ะ แล้วทำไมนักการเมืองเลวๆ เยอะแยะเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในและนอกสภา ทำไมไม่ออกไปวิพากษ์วิจารณ์และขับไล่คนพวกนั้น หนังสือพิมพ์บางท่านที่ด่าตนอยู่ ทำไมไม่ไปขุดคุ้ยความเลวระยำของคนอื่นที่มีอำนาจ กลัวเขาหรือรับเงินเขา และที่สำคัญต้องถามว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรผิด นายอภิสิทธิ์และตนทำอะไรผิด

"ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจใครอีกแล้ว ผมสงบเสงี่ยมมานานเพราะว่าเห็นอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในรัฐบาล ผมไม่อยากจะไปพูดอะไรให้เกินหน้าเกินตา แต่ถ้าจะรุมกินโต๊ะผมคนเดียวผมก็จำเป็นต้องลุกขึ้นสู้ ผมไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว" นายกษิต กล่าว

เมื่อถามถึงผลโพลที่ระบุให้รมว.ต่างประเทศลาออก นายกษิต กล่าวว่า มันอยู่ที่ว่าการทำโพลตั้งคำถามว่าอะไร เช่นที่เอแบคโพลไปถามว่าควรลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ มันง่าย ทำไมไม่ถามเสียก่อนว่าตั้งข้อหากับตนนั้นถูกต้องหรือไม่ และคนรู้ตื้นลึกหนาบางหรือไม่ ทำไมตนจึงถูกตั้งข้อหาคนเดียว การไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เป็นบาปหรือ คนเลวๆ ตั้งเยอะอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำไมไม่ออกมาประณาม ปล่อยให้คนเลวอยู่ในสังคมเป็นข่าวอยู่ทุกวัน พูดโกหกพกลมทุกวัน เรื่องโกหกก็มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ บิดเบือนข้อเท็จจริงบ่อนทำลายรัฐบาล

"คนที่โจมตีผมแล้วบอกว่าพูดเรื่องหลักการ ทำไมยังบินไปกราบไปไหว้คุณทักษิณ ซึ่งทำผิด ทำไมไม่พิจารณาตัวเอง ทำไมมี 2 มาตรฐานไปกราบไปไหว้ทำตัวเป็นทาสคนที่ผิดอย่าง คุณทักษิณ ทีกับผมกลับพยายามจะมาเล่นงานในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด" นายกษิต กล่าว

อย่างไรก็ดี รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ตนไม่แคร์แรงกดดันที่มาผสมโรง แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ควรจะพูดอะไรในสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมไม่ออกมา ก็มีมาบ้างที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตั้งข้อหาได้อย่างไร ตนไม่ทราบตื้นลึกหนาบางภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือใครสั่งตนไม่ทราบ

"ทำไมสังคมไทย ไม่ไปประณามพวกนั้น กลับมาคอยถามผมว่าจะออกหรือไม่ออก ต้องถามว่าคนที่มาให้ผมออกอยู่ในคนประเภทใดของสังคม บัวในระดับน้ำขั้นไหน หรือต่ำกว่าน้ำยังอยู่ในโคลนในดิน โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำสิครับ ผมอยู่บนน้ำตลอด แล้วอย่ามาเก่งตอนนี้เรื่องปราสาทพระวิหาร ที่จะตกอยู่ในความเลวร้ายของตัวเองในอดีต แล้วทำไมมารุมสะกรัมผม มีใครเป็นลูกผู้ชายบ้าง มีใครมีใจเป็นนักเลงบ้างไม่มี" นายกษิต กล่าว

นายกษิต กล่าวถึงตรรกะที่บอกว่าเสื้อแดงจะก่อความวุ่นวาย จึงต้องมาหาเหตุให้ตั้งคดีกับคนเสื้อเหลืองว่า ตนไม่เห็นด้วยกับตรรกะแบบนี้ เพราะพฤติกรรมและเป้าหมายดำเนินการทางการเมืองมันต่างกัน วิธีการก็ต่างกัน และการประท้วงของเสื้อแดง ก็ไม่ควรเป็นเหตุให้ตนต้องลาออก เพราะไม่ได้ไปเผาเมืองไม่ได้ไปขัดขวางการประชุมระดับโลก ไม่ได้ไปข่มขู่ทำร้ายนายกรัฐมนตรีที่กระทรวงมหาดไทย ส่วนข่าวที่บอกว่ามีกลุ่มทหารไม่ชอบผมนั้น ช่วยบอกด้วยว่านายทหารนั้นเป็นใคร ผมจะไปจับเข่าคุยด้วย

เมื่อถามว่า กรณีที่นายสุเทพ เดินทางไปกัมพูชา เป็นการก้าวก่ายงานของกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า การดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตมีหลายประเภท เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล วัฒนธรรม การแพทย์ การให้ความร่วมมือช่วยเหลือ การทูตด้านความมั่นคง และเรื่องทั่วๆ ไป ส่วนการที่นายสุเทพเดินทางไปกัมพูชานั้น เป็นเรื่องเหมาะสม เพราะนายสุเทพ มีความสนิทชิดเชื้อกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก่อนที่เราจะมาเป็นรัฐบาล และเราก็สามารถที่จะรักษาความสนิทชิดเชื้อเอาไว้ได้ เมื่อมีอะไรบางสิ่งบางอย่างไม่สามารถพูดกันในห้องประชุมอย่างเป็นทางการได้ นายกรัฐมนตรีจึงคิดว่านายสุเทพ เหมาะสม และนายสุเทพ ยังเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ก็มีส่วนความมั่นคงเป็นสำคัญ ต้องเสริมกับสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศเจรจาทางการเมืองเรื่องการปักปัน เขตแดน ช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ ตนไม่ได้เห็นรู้สึกอะไร ก็มีความยินดี

นายกษิต กล่าวอีกว่า ส่วน พล.อ. ประวิตร วงศ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแลเรื่องความมั่นคง แต่ละคนก็ทำงาน เพราะเรื่องกัมพูชาก็เกินกำลังของผม เรื่องการสู้รบ การวางกองกำลังเป็นเรื่องของทหารไม่ใช่เรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ แต่การป้องกัน และระงับการสู้รบเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นคนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าผมต้องทำทุกอย่างผมก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทกับสม เด็จฮุนเซน และผมก็มิบังอาจ จะทำตัวเป็นเพื่อนกับสมเด็จฮุนเซน เมื่อถามว่ารองนายกฯฝ่ายความมั่นคงสนิทกับสมเด็จฮุนเซน ด้วยเรื่องอะไร นายกษิต กล่าวว่า ไม่ทราบว่าสนิทเรื่องอะไร เพราะรู้เพียงว่าสนิทส่วนตัวก็คือสนิทส่วนตัว ส่วนจะสนิทมากน้อยแค่ไหนนั้น ตนไม่ทราบและทำไมตนต้องไปรู้ว่าเขาสนิทอะไรกันยังไง

เมื่อถามถึงกรณีการถือหุ้น ของภรรยารัฐมนตรีต่างประเทศ นายกษิต กล่าวว่า ภรรยาตนไม่ได้ถือหุ้นและไม่ได้ซื้อ ซึ่งได้ตอบข้อถามของ ป.ป.ช.ไปแล้ว เป็นเพียงหุ้นกู้คือไปซื้ออะไรที่ธนาคารแล้วก็ได้ดอกเบี้ยตอบแทน และผู้ที่กล่าวหาตนก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ทำไมต้องบิดเบือนข้อมูล


Label Cloud