Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Wednesday, May 20, 2009

5 เดือนฝนสะสม 500 มม. กทม.รับมากสุดรอบ 30 ปี


หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหาร กทม.ไปแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการรับมือน้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร กับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงพื้นที่ฝั่งตะวันตก (ฝั่งธนบุรี) ซึ่งมีเพียงคลองสนามไชย-มหาชัย เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) ขณะที่พื้นที่ฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่เป็นคลองที่ขวางทางน้ำไหล จึงอาจต้องมีการปรับปรุงการระบายน้ำทั้งระบบ แต่ต้องหารือร่วมกับ จ.สมุทรปราการ และ จ.สมุทรสาคร

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ จะมีฝนตกหนัก ขณะนี้ กทม.ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกรมชลประทาน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯด้วย ทั้งนี้ กทม.ได้รับรายงานปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 500 มิลลิเมตร ขณะที่ในรอบ 30 ปีของช่วงเดียวกัน มีปริมาณฝนสะสมเพียง 200 มิลลิเมตร เท่านั้น ส่วนตลอดทั้งปีมีฝนเฉลี่ย 1,100-1,200 มิลลิเมตร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ตรวจสอบเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการชำรุดหรือไม่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการทรุดพังประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณคลองบางกอกน้อย ซึ่งได้ส่งผลกระทบให้น้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึมเข้าบ้านเรือนประชาชน จึงสั่งการให้แก้ไขไปพร้อมกับเร่งก่อสร้างเขื่อนอีก 7 กิโลเมตรที่เหลือ คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2553

ครม.ตีกลับ"รถเมล์เช่า4พันคัน ให้ปรับลด"ค่าซ่อม-ดอกเบี้ย" กำหนดประกอบในไทยอย่างน้อย70%


หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ
ครม.ตีกลับ"รถเมล์เช่า4พันคัน ให้ปรับลด"ค่าซ่อม-ดอกเบี้ย" กำหนดประกอบในไทยอย่างน้อย70%

คณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อเสนอเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน โดยให้กลับไปพิจารณาปรับลด "ค่าซ่อม-ดอกเบี้ย" แล้วนำเสนอครม.อีกครั้ง พร้อมกำหนดต้องประกอบในไทยอย่างน้อย 70 %

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. ที่อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ว่า ครม.ได้พิจารณาโครงการจัดหารถเมล์เช่าเอ็นจีวี 4,000 คันของกระทรวงคมนาคม ซึ่งรัฐบาลมีหลักการที่สามารถดำเนินการได้คือ 1.จะต้องมีการประกอบในประเทศไทย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 2.ให้พิจารณาเรื่องการปรับลดตัวเลขต่างๆ ตามที่คณะทำงานของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการเอาไว้ก่อนหน้านี้ หากเห็นว่าตัวเลขมีปัญหาในเรื่องใดก็ตาม กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนที่จะเสนอกลับเข้ามาให้ ครม.พิจารณาอีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าวันนี้เป็นเรื่องที่ให้ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปพิจารณาในเรื่องของตัวเลข เพราะกระทรรวงคมนาคมยังมีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกับคณะทำงานของพล.ต.สนั่น ในตัวเขบางส่วนซึ่งครม.ได้ให้นำกลับไปดูให้เรียบร้อย เช่น ตัวเลขการคำนวนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าซ่อมรถ เมื่อถามว่า เกี่ยวกับราคาเช่ารถหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ราคาเช่ารถได้ปรับลงมา ขณะนี้ทุกอย่างปรับลงมาหมดมี 2 รายการ คือค่าซ่อมรถกับดอกเบี้ยที่ครม.ขอให้กลับไปทบทวน และเป็นหน้าที่ของ ครม. ในการพิจารณาทุกเรื่องที่เข้ามาเพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุม ก็เป็นธรรมดาไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีครม.

เมื่อถามว่า นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม มีความเห็นใน ครม.อย่างไรที่ให้นำกลับไปทบทวน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็เข้าใจดี เพราะท่านก็บอกว่าเรื่องนี้มันมีเรื่องที่ส่งไปที่รองนายกฯสนั่นและก็มีการปรับลดตัวเลข ในการปรับลดตัวเลขนั้นท่านก็บอกว่าทางขสมก.ติดใจมาตั้งแต่ต้นว่ามันปรับได้ตามนั้นจริงหรือไม่ เมื่อเสนอมาครม.ก็บอกเมื่อไม่สามารถทำได้และไม่มีความชัดเจนก็ให้กลับไปดูร่วมกันทางกระทรวงก็ไม่ติดใจอะไร”

ทางด้านนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ครม.ได้ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อไปพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับค่าซ่อมโดยตนเองจะเรียกประชุมหารือกับกรรมการภายในวันพฤหัสบดีที่ 21พฤษภาคม

“เราใส่ตัวเลขรายละเอียดไปค่อนข้างเยอะ เพื่อให้มีความโปร่งใสมากที่สุด แต่ครม.ชุดนี้ไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน เลยมีการสอบถามและต้องอธิบายกันค่อนข้างมาก ซึ่งบางครั้งการอธิบายก็ไม่ครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมด และยินดีให้ทุกฝ่ายตรวจสอบว่ามีการดำเนินการอย่างโปร่งใสจริง ๆ”

นายโสภณกล่าวว่า สำหรับตัวเลขค่าซ่อมที่มีการนำเสนอนั้นอยู่ที่ประมาณ 7.50 บาทต่อกิโลเมตรต่อคัน และเมื่อนำมารวมระยะทางแล้วทำให้ตัวเลขค่าซ่อมอยู่ที่ 2,250 บาทต่อคันต่อวัน สูงกว่าค่าเช่าตัวรถ ค่าเช่าอยู่ที่ 2,195 บาท ทำให้ค่าเช่าและค่าซ่อมโดยรวมอยู่ที่ 4,445 บาทต่อคันต่อวันทำให้มีการสงสัย

“มีการนำตัวเลขการศึกษาเก่าของสถาบนพระปกเกล้าที่เคยศึกษาว่าค่าซ่อมจะอยู่ที่ 4.50 บาทต่อคันต่อกิโลเมตร ทำให้มีการสอบถามเรื่องนี้ แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ค่าซ่อมเฉลี่ยของขสมก.ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.60 บาทต่อกิโลเมตรต่อคัน”

ขรก.รับใช้การเมือง-บทเรียนที่ต้องจดจำ !!


Politics - Manager Online

ขรก.รับใช้การเมือง-บทเรียนที่ต้องจดจำ !!
มติล่าสุดของคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงการคลังที่ไล่ออก ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล จากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง เนื่องจากกระทำผิดวินัยร้ายแรง ทำให้ต้องปิดฉากชีวิตราชการอย่างเจ็บปวดที่สุด

จากบทลงโทษดังกล่าวยังส่งผลให้ไม่ได้รับบำนาญอีกด้วย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเป็น “ตราบาป” ที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตสำหรับอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ไต่เต้ามาจนถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง มีเส้นทางที่เคยรุ่งโรจน์แล้วพลิกผันหักมุมอย่างน่าเศร้า

หากสอบถามจากทุกวงการไม่มีใครไม่ยอมรับ ปลัดกระทรวงการคลังคนนี้ เพราะเมื่อพลิกดูประวัติการเรียน การทำงาน ถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ในระดับเกรดเอหาคนมาเทียบเทียมยาก

เริ่มจากประวัติการศึกษา แม้ว่าเรียนหนังสือชั้นประถมโรงเรียนวัดธรรมดาในจังหวัดอุทัยธานี เป็นเด็กบ้านนอกที่น่าภาคภูมิใจ เป็นลูกชาวบ้านคนหนึ่งที่หัวดี จากนั้นก็ได้รับทุน ก.พ. ไปศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เมื่อกลับมาก็เข้ารับราชการและไต่เต้าก้าวหน้ามาเรื่อยๆ อาทิ ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กรมสรรพากรในปี 2532 จนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมสรรพากรในปี 2543 และปี 2547 เป็นปลัดกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ดีการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญของ ศุภรัตน์ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขามีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอำนาจการเมือง โดยเฉพาะอำนาจของ “ระบอบทักษิณ” ซึ่งแม้ว่าหากจะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ดังกล่าวจะออกมาในลักษณะ “รับใช้” มากกว่า

หากจะชี้ให้เห็นก็จะเริ่มตั้งแต่ในยุคที่ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสรรพากรเรื่อยมา ซึ่งความผิดที่ถูกระบุเอาไว้ก็เป็นความผิดจากการแต่งตั้งระดับรองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คน และเกี่ยวโยงกับกรณีความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีของครอบครัว ชินวัตร-ดามาพงษ์ ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร และ พจมาน ณ ป้อมเพชร(ดามาพงษ์)

ขณะเดียวกันถ้ามองอีกมุมหนึ่งจะสังเกตเห็นว่าในยุคนั้นซึ่งเป็นยุคที่ นช.ทักษิณ เรืองอำนาจ ใหญ่คับฟ้า “ชี้นกเป็นไม้” คงไม่มีใครคิดว่าจะมีชะตากรรมเช่นวันนี้ ต้องถูกศาลตัดสินจำคุก ต้องหลบหนีหมายจับ ระเหเร่ร่อนในต่างแดน

นอกจากนี้เมื่อกล่าวถึงข้าราชการที่รับใช้อำนาจการเมืองอย่างสุดลิ่ม เพื่อแลกกับตำแหน่งแห่งที่แล้วในที่สุดก็มีชะตากรรมที่น่ารัดทด ยังมีปรากฏให้เห็นตัวอย่างรายอื่น เช่น กรณีของ “3 หนา” กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในยุค พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ปริญญา นาคฉัตรีย์ และวีระชัย แนวบุญเนียน ที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนสั่งจำคุก คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ยอมรับใช้ถวายชีวิตกับอำนาจการเมืองในยุคนั้นที่คิดว่าจะไม่มีวันล่มสลาย ยอมแม้กระทั่งช่วยกันปกปิดและทุจริตการเลือกตั้งเพื่อช่วยเหลือให้พรรคไทยรักไทยในอดีตได้รับชัยชนะ

ทำทุกทางโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และที่สำคัญตัวเองยังถือว่าเป็นผู้รักษากฎหมายต้องดำรงความยุติธรรมอย่างเคร่งครัด แต่มาทำผิดเสียเอง

และกรณีล่าสุดจะเป็นเพราะเห็นบทเรียนในอดีตหรือกรรมเก่ากำลังตามมาทันบรรดาข้าราชการที่รับใช้การเมืองหรือเปล่าหรือไม่ หรือบังเอิญมาสอดคล้องต้องกัน อย่างกรณีของ ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) พิเณศวร์ พัวพัฒนกุล ที่ได้ยื่นหนังสือลาป่วยยาว เป็นเวลาถึง 1 เดือนเต็ม

บังเอิญว่าการลาป่วยของผู้อำนวยการ ขสมก.ครั้งนี้เป็นช่วงที่โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน มูลค่าร่วม 7 หมื่นล้านบาท กำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอยู่พอดี และในฐานะผู้บริหารองค์กรต้องมีหน้าที่ชี้แจงและต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย

ซึ่งโครงการดังกล่าวในวงการรู้กันทั่วว่าเป็นการผลักดันจากฝ่ายการเมือง และมีข้อพิรุธในเรื่องผลประโยชน์อย่างมาหาศาล มีเสียงคัดค้านกันดังระงม

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากกรณีของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่องค์กรอิสระอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างของ “สามหนา” หรือ ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ที่ต้องปิดฉากอย่างน่าเศร้า ขณะเดียวกันยังเป็นบทเรียนสอนใจให้กับบรรดาข้าราชการในยุคปัจจุบันและอนาคตให้ยับยั้งชั่งใจได้ว่า การรับใช้อำนาจการเมืองโดยมิชอบ ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ผิด จะต้องประสบกับชะตากรรมเยี่ยงไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะโฟกัสไปยังหน่วยงานสำคัญ อย่างเช่น ตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ที่กำลังวิ่งเต้นฝ่ายการเมืองกันอย่างฝุ่นตลบอยู่ในเวลานี้ ก็น่าจะตั้งสติหยุดคิดได้บ้างว่าควรจะวางตัวให้เหมาะสมอย่างไร

เพราะเชื่อว่ากรณีของ ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ไม่น่าจะเป็นรายสุดท้าย !!

กทม.ทุ่ม 700 ล้านบาท ติดลิฟต์ BTS ทุกสถานี ช่วยคนพิการ


กทม.ลงทุนกว่า 700 ล้าน ทำลิฟต์ติดบีทีเอสครบทุกสถานีอำนวยความสะดวกให้คนพิการ “สุขุมพันธุ์” ยอมรับนโยบายคนพิการไม่คืบ ติดเรื่องงบประมาณ

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการด้านการเดินทาง ว่า ตนได้มีนโยบายไปยังสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ให้มีโครงการร่วมกับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในการติดตั้งลิฟต์โดยสารสำหรับบริการคนพิการที่มีความประสงค์จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส เบื้องต้นให้ติดตั้งลิฟต์เพิ่มเติมให้ครบทุกสถานีจากเดิมที่มีลิฟต์โดยสารไว้ให้บริการแล้ว 7 สถานี ได้แก่ สถานีหมอชิต สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีนานา สถานีอ่อนนุช สถานีช่องนนทรี สถานีกรุงธนบุรี และสถานีวงเวียนใหญ่

เบื้องต้นนั้นสรุปว่า จะติดตั้งลิฟต์โดยสารทั้งหมด 56 ตัว งบประมาณกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของงบประมาณนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา กทม.ในสัปดาห์นี้เพื่อให้ความเห็นชอบและอนุมัติ จากนั้นทาง สจส.ก็จะมีการออกแบบรายละเอียด ซึ่งคาดว่า ภายในปี 2554 นั้น จะติดตั้งให้ครบทุกสถานี โดยปี 2552 จะดำเนินงานติดตั้งในสถานีที่คาดว่ามีพื้นที่และทำได้ง่ายก่อน 10 ตัว ปี 2553 ติดตั้ง 20 ตัว และปี 2554 ติดตั้ง 26 ตัว ส่วนการดำเนินสร้างอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการ ตนยืนยันว่าอยู่ในการพิจารณา อาทิ การติดตั้งสัญญาณไฟพูดได้ ไว้ตามทางแยก ทางข้าม เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาสามารถใช้บริการได้, การทำทางเท้าพื้นลาดสำหรับคนพิการ

ม.ร.ว.สขุมพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ในการดำเนินการนโยบายที่เกี่ยวกับคนพิการยอมรับว่าไม่ใช่งานที่ง่าย ส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องของงบประมาณ ซึ่งการที่จะกำหนดโครงการและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อขอความร่วมมือ หรือของบประมาณนั้นคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นกทม.ต้องหาจังหวะที่เหมาะสมดำเนินโครงการด้วยตัวเอง อาทิ การปรับปรุงทางเท้า หากพื้นที่ใดที่ต้องซ่อมแซมก็จะคำนึงการอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ ด้วย

บทเรียนการใช้ชาติ"ภักดีนักการเมือง" - เปลว สีเงิน




บทเรียนการใช้ชาติ"ภักดีนักการเมือง" | ไทยโพสต์
นี่ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่า "นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล" เป็นปลัดกระทรวงการคลัง และใครบอกว่าเป็นน้องชาย "นายธนินท์ เจียรวนนท์" เจ้าสัวซีพี ผมก็ต้องเชื่อสนิท เพราะท่านทั้ง ๒ หน้าตาประพิมพ์ประพายกันมากเหลือเกิน เพียงแต่คิ้ว-โหนกแก้ม-ประกายตา และสีผิวของใบหน้าคนละราศีกันเท่านั้น แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้วิถีและเส้นทางเดินชีวิตของคนทั้งสองเข้าลักษณะ "คนละฝั่งถนน" ได้แล้ว!

แต่ถนนหนทางเดี๋ยวนี้เอาแน่ไม่ได้ เห็นคนละสาย คนละทิศอย่างนั้นเถอะ ตัดไป-ตัดมา อ้าว...ไปเชื่อมเป็นทางร่วมกันเสียแล้ว อย่างวันก่อนผมไปบางใหญ่ จะไปสุพรรณฯ ขับไป-ขับมา...หลง คนอื่นขับน่ะครับ ผมขับเป็นแต่เครื่องบิน จึงนั่งเฉยๆ แต่ดันไปโผล่เอาเพชรเกษมโน่น

นี่ก็เหมือนกัน เผลอๆ นายธนินท์กับนายศุภรัตน์อาจเป็นอย่างนั้นบ้างก็ได้ เพราะตอนนี้นายศุภรัตน์ก็ถือว่าเป็น "อดีตข้าราชการตกงาน" หลังจากที่ อ.ก.พ.กระทรวงคลังมีมติ "ไล่ออก" ไปแล้ววานนี้ (๑๘ พ.ค.๕๒)

ก็เป็นการไล่ออกตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดร้ายแรงทั้งทางวินัยและอาญา ฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร ๔ คน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อหลายปีก่อนโน้น นอกจากถูกไล่ออกแล้ว ยังจะไม่ได้รับบำเหน็จ-บำนาญใดๆ อีกด้วย!

ผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตานายศุภรัตน์ในสภาพ "ตัวเป็นๆ" มาก่อน เห็นแต่ทางโทรทัศน์ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่พูดจากใจจริง ก็ไม่รู้ซีนะ....เห็นหน้านายศุภรัตน์ทีไร วูบแรกของความรู้สึกที่บอกกับตัวเองคือ..

คนคนนี้น่าสงซ้าน..น่าสงสาร!?

ไม่ใช่เพิ่งมาสงสารเอาตอนนี้นะครับ สงสารตั้งแต่รัศมีความรุ่งโรจน์จับ คือเมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นรัฐมนตรีคลัง ในปี ๒๕๔๔ อธิบดีกรมสรรพากรที่ชื่อ "ศุภรัตน์" คนนี้ ฝีมือและความสามารถก็ "เข้าตา" ทั้งทักษิณและสมคิดทันที

ถึงขนาดนายสมคิดเจอหน้าใครที่ไหนเป็นต้องออกปากว่า "มีศุภรัตน์ช่วยทำงานซะคน ผมนอนตาหลับ ไม่ห่วงงานอะไรอีกแล้วในกระทรวงคลัง"!?

แรกๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า "ศุภรัตน์" ที่รัฐมนตรีสมคิดพูดถึงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่หลังจากเป็นอธิบดีกรมสรรพากรขวัญใจของ "ทักษิณ-สมคิด" นายศุภรัตน์ก็มีบทบาทเป็น "พระเอกหนังข่าว" เผยโฉมทางโทรทัศน์จนเป็นที่คุ้นหน้า-คุ้นตาชาวบ้านทั่วไป

และก็ตั้งแต่นั้นแหละ ผมเห็นหน้าขาวอมซีด ตาซ่อนแววเศร้าซับซ้อนของท่านทางโทรทัศน์ทีไร ความสงสารก็เกิดขึ้นเองบนฐานความรู้สึกที่ผุดขึ้นว่า

"อืมมมม...หน้าตาคนนี้ โดดเดี่ยว-อมทุกข์" จริงหนอ ทำงานอาสาจนตัวตาย "ขายชีวิต" ให้เขาได้ แต่ถึงคราวตัวเองต้องตายจริงๆ จะเหลียวไปทางไหน ก็หาใครช่วยได้ยาก"!

ก็อย่าไปคิดน้อยใจใครเลยครับ ทั้งกรรมที่เราสร้างลิขิต และทั้งวาสนาแต่ปางบรรพ์ มันถูกกำหนดเป็น "ชะตาหักเห-ด้วยอาภัพ" ขีดไว้เป็นลายแทงบนใบหน้ามาแต่กำเนิดแล้ว ถึงรู้-ไม่รู้ เราก็ต้องเดินไป ทำไงได้ล่ะ...เนอะ!

ก็ขอเอาใจช่วยครับ ปลัดศุภรัตน์...ท่านเป็นอันที่รักของข้าราชการกระทรวงคลังและผู้ได้สัมผัสการทำงานร่วมกันกับท่านทุกคน ครอบครัวท่าน ตระกูลท่าน จงภูมิใจเถิดว่า "ท่านปลัดศุภรัตน์ผู้นี้ สว่างมา-สว่างไป" มิได้มืดมนในบั้นปลายตามนิยามความหมายแห่งการถูกไล่ออกจากราชการ

นั่นเป็นวิบากแห่งกรรม ซึ่งแต่ละคนก็มีแตกต่างกันไป ทั้งโลก และมนุษย์ต่างรู้เต็มหัวใจว่า ครั้งนี้ ท่าน "ปลัดศุภรัตน์" ใช้กรรมที่ตัวเองถูกคนอื่นยืมมือก่อโดยแท้!

ขอให้คุณงามความดีที่ท่านขยันหมั่นเพียร ตั้งอก-ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองด้วยสุจริตเป็นที่ตั้งมาช้านาน จนทุกคนออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่า "เสียดายท่านปลัดศุภรัตน์" ที่ต้องมาพลาดพลั้งเพราะ "ทำตามใบสั่งการเมือง" ด้วยซื่อเพียงครั้งเดียว โดยที่ตัวเองเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่สุดท้ายแล้วต้องเอา "กระดูกมาแขวนคอ" เช่นนี้

ก็ขอให้คำอุทธรณ์ต่อ "คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม" จงมีผล ผ่อนหนัก-เป็นเบาเถิด เพราะคนอย่างท่านยังมีคุณค่าและความหมาย และทั้งชีวิตบั้นปลาย ท่านยังต้องนำ "ความหมาย" ในชีวิตท่านมาทำงานรับใช้ให้เป็นประโยชน์บ้านเมืองอันเป็นส่วนรวมอีก!

เอาเถอะ ใครจะคิดอย่างไรต่อท่านในกรณีนี้ก็ช่าง แต่ท่านโปรดทราบเถอะว่า อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งละที่เข้าใจ คนชื่อศุภรัตน์ ควัฒน์กุล "ไม่เป็นอย่างที่บางคนคิดว่าเป็น"

อืมมมม...พูดถึง "ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล" ปลัดกระทรวงการคลังแล้ว อดนึกถึงอีกปลัดหนึ่งไม่ได้ คือ "ปลัดกระทรวงสาธารณสุข" นามว่า "ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์"

อนาคตของท่านจะมีจุดจบทางราชการ "ก่อนเกษียณ" เหมือนปลัดศุภรัตน์ หรือจะอยู่ไปจนมีจุดจบทางราชการ "หลังเกษียณ" เหมือนคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ยากบอกได้?

ก็ขึ้นอยู่กับมิติของเจ้ากระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบัน "นายวิทยา แก้วภราดัย" ว่าจะบริหารเรื่องราวที่เป็นคดีความทุจริตคอรัปชั่นในกระทรวงด้วยมาตรฐานแบบไหน เพราะผมจำได้ว่า เมื่อต้นปี "สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน" ทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีอาญากับ "นายปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์" ปลัดสาธารณสุข และคนอื่นๆ อีกหลายคน

ในข้อหา "จัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินโดยวิธีพิเศษ" จนเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๔๒!

โน่นแน่ะ เรื่องตั้งแต่ปี ๔๗-๔๘ เริ่มในยุคเจ้ากระทรวงนายหญิงส่งมา ทั้งล็อก ทั้งรื้อสเปก ทั้งประมูล ทั้งล้มประมูล นัวเนียกันถึง ๘-๙ ครั้ง จนครั้งสุดท้าย คงด้วยปาฏิหาริย์แห่งนายหญิงนั่นแหละ ข้าราชการประจำพร้อมคณะกรรมการจัดซื้อจึงทำให้เสร็จสมอารมณ์หมายด้วยคำว่า "จัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินด้วยวิธีพิเศษ"

ฉุกเฉินไปด้วยวงเงินตั้ง ๓๐๐-๔๐๐ ล้าน สำหรับรถพยาบาลฉุกเฉิน ๒๐๐ กว่าคัน ที่ สตง.ตรวจแล้วชี้มูลความผิดว่า

"มีความพยายามในการปรับปรุงคุณลักษณะเฉพาะเพื่อให้เอื้อต่อบริษัทที่เข้าประกวดราคาได้เพียงบริษัทเดียว ถือเป็นการไม่เปิดให้มีการแข่งขันอย่างป็นธรรม และการปรับลดคุณลักษณะเฉพาะ จนถึงลงมติให้มีการจัดซื้อนั้น มีการดำเนินการอย่างรีบร้อนและรวบรัด โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๓ วันเท่านั้น"

ท่านปลัดปราชญ์นี่แหละ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง หรือพูดตรงๆ ก็คือ เป็นหัวหน้าทำงานทุกสิ่งทุกอย่างนำไปสู่การจัดซื้อพิเศษนี้ และขณะนี้ทาง สตง.ทำหนังสือแจ้งให้ดำเนินคดีอาญาปลัดปราชญ์กับคณะไปแล้วตั้งแต่เดือนกุมภา แต่ก็เห็นเงียบจ๋อย ไม่เห็นนายวิทยา หรือนายกฯ จะเดินตามมาตรฐานที่เคยปฏิบัติต่อข้าราชการที่ถูกชี้มูลความผิดอาญาร้ายแรงแต่อย่างใด?

ผมเห็นไล่ออกนายศุภรัตน์ ก็เลยนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จะต่างกันตรงที่คดีนายศุภรัตน์ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีแล้วแจ้งมติให้เจ้ากระทรวงทราบ และ อ.ก.พ.ลงมติให้ไล่ออกตามมติ ป.ป.ช. ส่วนรายของปลัดปราชญ์ เรื่องยังอยู่ในขั้นตอน ป.ป.ช. โดย สตง.ตรวจสอบ พบความผิดจึงแจ้งให้ตำรวจดำเนินคดีอาญาด้วย

ตามมาตรฐานระเบียบปฏิบัติ ในขั้นแรก เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ในระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น จะต้องย้ายปลัดฯ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้มายุ่งเหยิงพยาน-หลักฐาน เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วตามกำหนด ถ้าพบว่ามีมูลตามที่ สตง.แจ้ง ก็เข้าสู่กระบวนการกฎหมายขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าพบว่าไม่มีมูล ก็ย้ายเขากลับมาเป็นปลัดเหมือนเดิม

แต่นี่...รัฐมนตรีสาธารณสุข "นายวิทยา" ไม่ทำอะไรให้ปรากฏว่าเป็นการเอื้อเฟื้อต่อกฎระเบียบบ้านเมืองซักอย่าง และทั้งไม่ทำให้ปรากฏด้วยว่า เอาจริงเอาจังต่อการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการ การทำเป็นไม่รู้-ไม่ชี้อย่างนี้ ระวัง...จะเป็นบรรทัดฐานเลวทางบริหารที่รัฐมนตรีประชาธิปัตย์สร้างไว้ให้เป็นตัวอย่าง

หรือจะคิดว่า อีกไม่กี่เดือนปลัดปราชญ์ก็เกษียณแล้ว ทำเป็น (แกล้ง) ลืมๆ แล้วก็เลือนหายไปเอง ผมจะบอกให้ นอกจาก "ของหลวง" จะตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้แล้ว คดีความก็เหมือนกัน ใช่ว่าเกษียณแล้ว เรื่องคดีจะเกษียณตามไปด้วย ดูอย่างคุณหญิงทิพาวดีเห็นมั้ยล่ะ?

เรื่องก็ค้างคา มาตั้งแต่สมัยที่เป็นเลขาฯ ก.พ.จนกระทั่งไปเป็นรัฐมนตรีใหญ่โต ออกจากรัฐมนตรีไปเที่ยวรอบโลกสบายใจเฉิบ แล้วเมื่อตอนต้นปีนี้ กรรมเพิ่งมาส่งผล ป.ป.ช.มีมติให้พิจารณาโทษทางวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบทางราชการ

จะถูกเรียกเงินเดือน บำเหน็จ-บำนาญคืนย้อนหลังก็ยังพอทำเนา แต่ที่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา มีคุก-ตะรางเป็นเดิมพันนี่ซี กินทิฟฟี่ทั้งแผงก็ไม่หายปวดหัว!

นี่...ปลัดปราชญ์ดูไว้เป็นมรณานุสติ นึกว่าจะหนีคดีความทางราชการพ้นหรือ ไม่ถูกวันนี้ เกษียณไปแล้ว นอนกระสับกระส่ายรอว่าเรื่องจะย้อนกลับมาหาตัววันไหน มันทรมานใจมิใช่เล่นนะ

รวบมือทุบรถใน มท. อีก 1

red destroyer


โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - รวบมือทุบรถใน มท. อีก 1
ตำรวจลุมพินี รวบ "อรุณ ฉายาจันทร์" มือทุบรถนายกฯที่ มท. คาสนามมวย เตรียมแถลงบ่าย 2 เจ้าตัวปัดไม่ได้ทำ

เมื่อเวลา 21.30 น.วานนี้( 19พ.ค.) พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะศิริ สว.สส.สน.ลุมพีนี พร้อมด้วยตำรวจฝ่ายสืบสวน นำหมายจับศาลแขวงดุสิต เลขที่ 1274/2552 ลงวันที่ 9 พ.ค.2552 เข้าจับกุมตัวนายอรุณ ฉายาจันทร์ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุบุกรุกกระทรวงมหาดไทย และทุบรถยนต์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าสนามมวยลุมพินี ถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. จากนั้นจึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สน.ลุมพินี

โดย พ.ต.ท.ปิโยรส กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบผู้ต้องหาตามหมายจับ ขณะกำลังเข้าไปชมการแข่งขันชกมวย ที่สนามมวยลุมพินี จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนฯ เข้าจับกุม และนำตัวมาสอบสวนที่ สน. ซึ่งเบื้องต้น ตำรวจได้แจ้ง 4 ข้อหา ประกอบด้วย ชิงทรัพย์ , ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ , หน่วงเหนี่ยวกักขัง และร่วมกันมีและพกพาอาวุธปืน

อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวน นายอรุณยังให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่า อยู่ในเหตุการณ์จริง และเป็นผู้ยึดปืนชุดรักษาความปลอดภัย ของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ไม่ได้ทุบรถนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากเสร็จสิ้นการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวนายอรุณ ไปยัง สน.สำราญราษฎร์ เพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ ในการเปิดแถลงข่าวเวลา 14.00 น. วันนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะมอบรางวัลนำจับ 50,000 บาท ให้กับผู้แจ้งเบาะแสด้วย
Reblog this post [with Zemanta]

กก.สอบสลายม็อบเปิดศึกวิวาทะกับ “ตู่-ณัฐวุฒิ” ซัดกันนัว


Politics - Manager Online
ที่ประชุมคณะกรรมการสลายม็อบ เชิญ “2 หัวโจกเสื้อแดง” ให้ข้อมูลจนเกิดวิวาทะกับกรรมการฝ่าย ปชป. พูดจาบิดเบือนไปมาไม่ยอมรับก่อเหตุรุนแรง ทั้งอ้างคำพูดปลุกระดมก่อเหตุบนเวทีแค่สีสัน ขณะที่ “ตู่” ยังไม่จบ อ้างนายกฯ ไม่ได้อยู่ในรถ บอกมีหลักฐานจะสกรีนภาพให้ดู จน “นพ.วรงค์” ทนไม่ไหวบอกหากนายกฯ อยู่ในรถจะลาออกหรือไม่ แต่ “ตู่” หัวหมออ้างจะพนันกับนายกฯ ให้ลาออกเท่านั้น ปัด “แม้ว” ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แค่แนวร่วมคนหนึ่ง จนเกิดเหตุ “ตู่” โต้แย้งกับ “ศิริโชค” อีก ด่าเป็นวอลเปเปอร์นายกฯ เลยเจอสวนกลับบอกรู้ข้อมูลเรื่องรามคำแหง ทำชะงักจ๋อยสนิท ขณะที่ “เจิมมาศ” แนะตั้ง กก.สอบเหตุยิงกันที่นางเลิ้งด้วย

วันนี้ (19 พ.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการชุมนุมทางการเมือง ที่มีนายสมศักดิ์ บุญทอง เป็นประธาน ได้เชิญนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 2 แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ มาให้ข้อมูล โดยขณะที่นายจตุพรกำลังเดินเข้าห้องประชุม เป็นเวลาเดียวกับที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฯ เดินเข้ามาพอดี นายจตุพรหันไปทักว่า “เป็นอย่างไรบ้างครับท่านวอลเปเปอร์ ภาพผนังของนายกฯ” ทำให้นายศิริโชค ก็ทักตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เพิ่งอ่านภาษาอังกฤษออกหรือครับ ว่าวอลเปเปอร์แปลว่าภาพฝาผนัง” แล้วทั้งคู่ก็เดินกอดคอกันเข้าห้องประชุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชี้แจงดุเดือดตั้งแต่เริ่มต้น มีการเปิดศึกวิวาทะกันระหว่างแกนนำ นปช.ทั้งสองคน กับ ส.ส.ในฟากพรรคประชาธิปัตย์เป็นระยะ โดยที่นายณัฐวุฒิชี้แจงว่า การชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีและอำมาตย์ของกลุ่มเสื้อแดงนั้นเป็นไปตามความเชื่อว่ากลุ่มอำมาตย์อยู่เบื้องหลังขับเคลื่อนกลไกทางการเมืองทำให้การเมืองไทยไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และแม้แต่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังเคยพูดเองว่าถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนไหวจนเกิดการรัฐประหารพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีทางได้เป็นรัฐบาล ทำให้นายศิริโชคถามสวนขึ้นว่า ในเมื่อที่ผ่านมา นปช.เคยโจมตีว่านายสนธิเชื่อไม่ได้ แต่เหตุใดคราวนี้จึงเชื่อ หรือว่าเลือกเชื่อในสิ่งที่ตรงกับความคิดของตัวเอง นายณัฐวุฒิตอบกลับไปว่าการที่คนที่เป็นพวกเดียวกันพูดกันเองย่อมน่าเชื่อถือกว่าคนที่ฝ่ายตรงข้ามกันพูดถึงกัน เช่น ถ้านายจตุพรบอกว่าตนเป็นคนอย่างไร จะทำให้นายศิริโชคเชื่อมากกว่าคนอื่นพูด แต่นายศิริโชคย้อนไปว่า “ผมไม่เชื่อคุณจตุพรอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะพูดเรื่องไหน” ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้นายณัฐวุฒินำหลักฐานมาแสดงว่ามี ส.ส.คนไหนถูกทหารบังคับให้ต้องเปลี่ยนขั้วทางการเมือง



จากนั้นนายจตุพรได้ชี้แจงว่าในเหตุการณ์ชุมนุมนั้นมีคนเสื้อแดงที่เป็นทหารปลอมตัวมาสร้างสถานการณ์ ตั้งแต่การล้อมรถถ่ายทอดของสถานีโทรทัศน์ หรือการจัดฉากทุบรถนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนยืนยันว่าในวันนั้นนายกรัฐมนตรีไม่อยู่ในรถ โดยได้มีการเปลี่ยนรถก่อนเหมือนที่เคยทำที่ อ.พัทยา รวมทั้งระหว่างเกิดเหตุชุลมุนนั้น รปภ.ยังสามารถเปิดประตูที่นั่งนายกฯ แล้วขว้างของไปตรงที่นั่งนายกฯ ได้อย่างไร ขณะที่ รปภ.บางคนคุยโทรศัพท์ไปพร้อมกับอารักขานายกฯ ซึ่งถือว่าผิดวิสัย

ทั้งนี้ ทางกลุ่ม นปช.จะทำภาพสแกนที่สามารถมองทะลุกระจกด้านหน้ารถเพื่อพิสูจน์ชัดเจนว่านายกฯ ไม่อยู่ในรถ เมื่ออภิปรายถึงตรงนี้ นพ.วรงค์ ท้าทายว่า หากนายกฯ อยู่ในรถ นายจตุพรจะกล้าลาออกหรือไม่ นายจตุพรโต้ทันควันว่า ตนกล้าแน่นอน แต่ถ้านายกฯ ไม่อยู่ในรถ นายอภิสิทธิ์จะกล้าลาออกจาก ส.ส.สัดส่วนอันดับ 1 ของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ขณะที่ นพ.วรงค์ แย้งว่า อย่าพาดพิงถึงนายกฯ ซึ่งไม่อยู่ในที่ประชุม ตนขอรับคำท้าเอง แต่นายจตุพรเลี่ยงว่าตนไม่ได้มีเรื่องกับ นพ.วรงค์ แต่กำลังมีปัญหากับนายกฯ ดังนั้นต้องเดิมพันกับนายกฯ เท่านั้น

นอกจากนี้ คณะกรรมการซีกพรรคประชาธิปัตย์ได้ยกคำปราศรัยในเชิงยั่วยุของแกนนำ นปช.บนเวทีปราศรัยตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. อาทิ “ประชาชนมีสิทธิจับอาวุธ ทั้งปืน หรือมีด ทำลายรัฐบาลโจรได้ โดยไม่มีความผิด” หรือ “ให้ผู้ชุมนุมขับรถพุ่งเข้าชนรถของทหารได้เลย เพราะจะมีความผิดแค่กฎหมายจราจรเท่านั้น” โดยระบุว่าคำปราศรัยเหล่านี้เป็นต้นเหตุของปฏิบัติการที่รุนแรงตามมา นายณัฐวุฒิอ้างว่า คำพูดบนเวทีปราศรัยนั้นไม่ใช่จะเป็นคำสั่งที่ให้มวลชนปฏิบัติตามทั้งหมด แต่มันมีทั้งเรื่องจริง ความเห็น และเรื่องที่เป็นสีสัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุมร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีกรรมการซีกรัฐบาล ถามถึงบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้สอบถามว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศผ่านวิดีโอลิงก์ว่าการชุมนุมของ นปช.มีใครเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่าย และกรณีที่อดีตนายกฯ บอกว่าถ้ามีคนตายจะกลับประเทศมานำมวลชนด้วยตัวเอง หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสนับสนุนม็อบหลักใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิตอบว่า ถ้านายอาคมกล่าวเช่นนี้แสดงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนตายใช่หรือไม่ พร้อมทั้งยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงแนวร่วมคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นได้รับมาจากการบริจาคของประชาชน ทำให้นายศิริโชคได้ยกคำปราศรัยของนายจตุพร ที่เคยบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สนับสนุนเงินทองอยู่หรือไม่ นายจตุพรตอบคำถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนเสื้อแดงที่อยากจะช่วยคนที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่ใช่ให้เงินมาใช้ในการจัดการชุมนุม นายศิริโชคไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำให้นายศิริโชคสวนโพล่งทันทีว่า “จนมุมแล้วบิดไปบิดมา” นายจตุพร โต้ว่า “คุณก็ดีแต่ไปเป็นวอลเปอร์ซะจนเคยตัว” ทำให้นายศิริโชคโต้กลับไปว่า “ผมรู้เรื่องรามคำแหงของคุณนะ” ทำให้นายจตุพรชะงักทันที

อย่างไรก็ตาม นายจตุพรได้ยืนยันว่า ถ้าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลต่อผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตนขอเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายทุกกรณี

นายณัฐวุฒิชี้แจงอีกว่า จากการสลายการชุมนุมของรัฐบาล ตำรวจ และทหารนั้น โดยเฉพาะที่บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดงไม่เป็นไปตามหลักสากลในเบื้องต้นที่ต้องมีการเจรจาและต้องฉีดน้ำดับเพลิง แต่กลับไม่มีการดำเนินการตามขั้นตอนจนเป็นเหตุให้มีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต ดังนั้น ในส่วนนี้ตนต้องการทราบว่าบุคคลใดที่ต้องรับผิดชอบบ้าง ซึ่งตนมองว่าคนที่ต้องรับผิดชอบคือตัวนายกรัฐมนตรีหยุดผลักภาระให้คนอื่นเสียที คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะพูดเท็จต่อสังคมได้อย่างไร

ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ได้กล่าวว่าประเด็นทั้งหมดที่ผู้มาชี้แจงให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการจะมีการตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างแท้จริง

ด้าน นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสนอแนะต่อที่ประชุมว่าขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีชาวบ้านย่านตลาดนางเลิ้งถูกยิงเสียชีวิตจำนวน 2 รายด้วย จึงถามว่ากรณีการยิงชาวบ้านดังกล่าวในฐานะแกนนำ นปช.จะมีส่วนในการติดตามอย่างไร

นายจตุพรกล่าวว่า ตนในฐานะแกนนำได้มีการตั้งรางวัลนำจับคดีละ 5 แสนบาท จำนวน 2 คดี เพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริงว่าใครกันแน่ที่ลงมือทำ อย่างไรก็ตาม ขอให้รัฐบาลอย่านำประเด็นเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง


Reblog this post [with Zemanta]

ฮั้วข้าวโพด 2 พันล้าน วงจรอุบาทว์ธุรกิจการเมือง!?

Corn kernelsImage via Wikipedia

Politics - Manager Online
อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่งก็มีเสียงนินทาเข้าหูเช่นเดียวกันว่า งานนี้มีการวิ่งเต้นกันทั้งสองทาง นั่นคือฝ่ายหนึ่งวิ่งเต้นทางคณะกรรมการกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่พ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ในประเทศวิ่งเต้นในคณะกรรมการอีกชุด มันจึงเกิดปัญหางัดข้อกันชุลมุนวุ่นวายหรือเปล่า

กลายเป็นประเด็นฮือฮาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ กับการออกมา “โดดขวางลำ” เต็มตัวของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ยอมให้โครงการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประจำปี 2551/52 จำนวน 4.4 แสนตัน จากพรรคภูมิใจไทย

ชนิดที่เรียกว่าไม่ยอมให้ผ่านไปได้ง่ายๆ หรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะไม่ยอมเป็น “ตรายาง” นั่นแหละ

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ก็ต้องบอกว่าโครงการในลักษณะแบบนี้มักมีแต่เรื่องอื้อฉาว มีข้อกล่าวหาในเรื่องทุจริต ความไม่โปร่งใส ประเภทที่มีพ่อค้าร่วมมือกับนักการเมือง หรือบริษัทของนักการเมืองคว้าชิ้นปลามันไปกินอยู่เสมอ

ส่วนวิธีการก็มักจะให้ข้าราชการประจำออกหน้า และสอบสวนหาความผิดสุดท้ายก็ต้องรับกรรมกันไปแบบโดดๆ

เป็นการทำมาหากินกับงบประมาณของทางการ ซึ่งเป็นวงจรอุบาทว์เกิดมาทุกยุคสมัย จนแทบกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วว่าถ้าใครเข้ามามีอำนาจก็จะเสนอโครงการหรือนำบริษัทที่ตัวเองเกี่ยวข้องเข้ามารับงานเพื่อประโยชน์เข้าพกเข้าห่ออยู่เป็นประจำ

ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆก็เกิดขึ้นกับโครงการประมูลซื้อในสต็อกของรัฐบาลจำนวน 2.6 ล้านตัน ดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ ก็เกิดปัญหาลักษณะ “ฮั้ว” เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี หากว่ากันเฉพาะข้าวโพด ก็ต้องอธิบายที่มาที่ไปพอคร่าวๆก็คือ เจตนาเพื่อต้องการระบายในสต๊อกออกไป โดยวิธีการจะให้บริษัทเอกชนมาประมูลซื้อไปแล้วส่งออก อีกทั้งยังเป็นการนำเม็ดเงินมาใช้เพื่อการแทรกแซงผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในแต่ละปีด้วย

และรู้กันอยู่ว่า ที่ผ่านมาส่วนใหญ่รัฐต้องขาดทุนอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือจะต้องไม่ใช่ลักษณะขาดทุน “บักโกรก” หรือมีการฮั้วกันหาประโยชน์ระหว่างนักการเมืองกับเอกชนแบบน่าเกลียด

หากจะกล่าวกันแบบตรงไปตรงมามันก็หนีไม่พ้นนักการเมืองได้ประโยชน์อีกเช่นเคย ส่วนใครจะได้ไปเท่าไรนั้นเป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด

ที่ผ่านมาคณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการประมูลขายข้าวโพดให้กับพ่อค้าส่งออกไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ซึ่งก็มีเสียงนินทาว่าทำให้รัฐขาดทุนสูงผิดปกติ และเคยถูก กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แห่งชาติ เบรกจนหัวทิ่มไม่ให้ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง และให้นำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ชี้ขาด

ซึ่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธาน ก็มีการสอบถามถึงเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการประมูลที่ออกมาในลักษณะเหมือนเป็นการ “ฮั้ว” กัน เพราะมีบางบริษัทได้โควตาไปถึง 4 แสนตัน ขณะที่บริษัทอื่นๆได้ไปเพียงไม่กี่หมื่นตัน ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจน

และการประมูลดังกล่าวว่ากันว่ามีการฟันกำไรส่วนต่างกันอู้ฟู่ เล่นกันเป็นพันล้าน นักการเมืองกับพ่อค้าล่อกันพุงกาง

นอกจากนี้ยังมีปัญหาถึงเรื่องของขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ที่แต่งตั้งมาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว กับคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน

มีการถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดว่า ชุดไหนจะมีอำนาจโดยให้เหตุผลว่า เมื่อรัฐบาลชุดก่อนพ้นไป และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาก็ต้องหมายความว่าชุดปัจจุบันมีอำนาจในการดำเนินการ

อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่งก็มีเสียงนินทาเข้าหูเช่นเดียวกันว่า งานนี้มีการวิ่งเต้นกันทั้งสองทาง นั่นคือฝ่ายหนึ่งวิ่งเต้นทางคณะกรรมการกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่พ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ในประเทศวิ่งเต้นในคณะกรรมการอีกชุด มันจึงเกิดปัญหางัดข้อกันชุลมุนวุ่นวาย หรือเปล่า

ดังนั้น ไม่ว่ามองในมุมไหนก็พอจะเดาออกว่าโครงการประมูลข้าวโพดครั้งนี้มีพิรุธแน่นอน ส่วนจะมีนักการเมืองจะได้ประโยชน์หรือไม่จะต้องมีการติดตามตรวจสอบกันต่อไป เพราะเชื่อว่าความจริงจะต้องปรากฏออกมา และที่สำคัญรัฐต้องไม่เสียประโยชน์

แต่ขณะเดียวกันการตรวจสอบครั้งนี้จะต้องดำเนินการไปอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ออกมาในลักษณะต่อรองผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองสองกลุ่ม หรือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร

เพราะหนีไม่พ้นธุรกิจการเมือง เป็นวงจรอุบาทว์อยู่ดี !!
Reblog this post [with Zemanta]

Thai army songkran party after victory over redshirts riot in bangkok, thailand

ทหารไทย เล่นสงกรานต์หลังสลายจลาจลเสื้อแดง

Label Cloud