Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Friday, February 27, 2009

List of current Communist states

มาดูกันชัดๆ

หลายๆประเทศคอมมิวนิสท์ ก็ยังมีชื่อทำนอง democratic อยู่ด้วย แต่ประเทศนั้นๆ มีความเป็นประชาธิปไตยเท่าใดนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อเลย ซ้ำความเป็นคอมมิวนิสท์ ก็ไม่ได้แยกประเทศนั้นๆ ออกจากการลงทุนของโลกเลย ตรงกันข้าม อย่างเช่นประเทศจีน หรือเวียตนาม ผู้คนทั่วโลก กลับหลั่งไหล เข้ามาลงทุนในประเทศอย่างมากมาย ความเป็นอยู่ของผู้คนในประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ สิ่งที่ดึงดูดการลงทุน ไม่ใช่ความเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่เป็นความมั่นคงทางนโยบาย แรงงานราคาถูก และปัจจัยอื่นๆ

ประเทศที่เป็นเผด็จการ แต่มีนโยบายเสรีทางการค้า มีผู้นำที่นำประเทศไปในแนวทางเพื่อคนส่วนรวม เพื่อประเทศชาติในระยะยาว มิใช่แค่เพื่อตัวผู้นำ ก็สามารถเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าลงทุนได้

แตกต่างจากบางประเทศที่เป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งยังมีการซื้อเสียง ได้ผู้นำ เข้ามาเพื่อหาประโยชน์ส่วนตนส่วนหนึ่ง อีกส่วนทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมในพวกพ้องของตัวเอง และบางส่วนเพื่อส่วนรวม แต่แอบซ่อนประโยชน์ในการรักษาฐานเสียง และความนิยมของตนเอง เช่นนั้นก็เป็นได้แค่ประชาธิปไตยจอมปลอม



List of current Communist states

A map showing the current Communist states.

The following countries are one-party states in which the ruling party declares allegiance to Marxism-Leninism and in which the institutions of the party and of the state have become intertwined; hence they fall under the definition of Communist states. They are listed here together with the year of their founding and their respective ruling parties.

Countries where institutions of the communist party and state are intertwined:

While these countries share a similar system of government, they have adopted very different economic policies over the past 15 years. For instance, the People's Republic of China has introduced sweeping market reforms. In addition, the various Communist states use different terms to identify themselves and their social systems. Laos has removed all references to Marxism-Leninism, communism and socialism in the Constitution in 1991.[citation needed] North Korea has removed references to Marxism-Leninism from its constitution and officially describes itself as following the ideology of Juche.[12] Vietnam is "in transition toward socialism in the light of Marxism-Leninism" and Cuba is "a socialist state guided by ideas of Marx, Engels and Lenin and in transition to a communist society".

As of December 2008, democratically elected communist parties head the governments of three states. However, the states themselves allow for multiple parties, and do not provide a constitutional role for the communist party, so they are not communist states.



Friday, February 20, 2009

เมื่อฝ่ายซ้ายเขี่ยทิ้ง “ทักษิณ”

comment from MGR

คอมก็คือพวกฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ พวกนี้หลายคนไม่ชอบสถาบัน แม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่ใจยังคิดอยู่

คอม อกหักคือพวกที่ออกจากป่าเพราะปฎิวัติประชาชนไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยมีสถาบัน เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ อีกส่วนคือจีนแดงสมัยเติ้งเสี่ยวผิงผูกมิตรกับไทย เลยหยุดสนับสนุนพวก พคท(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ถึงได้เรียกว่าคอมอกหักเพราะโดนปักกิ่งหักอกดังโพล๊ะ

พวกนี้หลายคนยังไม่กลับใจ ยังมีแผนร้ายต่อสถาบันอยู่ ไปคิดดูกันเองแล้วกันว่ามีใครบ้าง จึงเรียกว่า พวกคอมอกหัก แต่ยังไม่กลับใจ

จริงๆ แล้วลัทธิคอมก็เป็นเผด็จการในตัวเองอยู่แล้ว แต่เป็นเผด็จการคนละขั้วกับเผด็จการทหาร โดยพรรคคอมมิวนิสต์ คุมกองทัพและตำรวจอีกทีหนึ่ง

ถ้าเทียบอัตราส่วนความสำเร็จในการพัฒนา ประเทศระหว่างประเทศที่ปกครองโดย พรรคคอมมิวนิสต์ กับโดย คณะนายทหารแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ แพ้หลุดลุ่ย มีจีนแดงประเทศเดียวที่พอจะไปรอด นอกนั้น ล้มไม่เป็นท่า

เผด็จการทหาร ถ้าผู้นำมีความตั้งใจดี มักจะไปรอด ทั้งนี้ไม่รวมไอ้เต่ายุทธกับไอ้บังธิ เพราะเหลาะแหละเกินไป ขอเรียกว่าเผด็จการหน่อมแน้ม

ทำไมคอมถึงไปไม่รอดหละ

หลักการ ฟังดูดี แต่เป็นการฝืนธรรมชาติของมนุษย์อย่างแรง ประมาณว่า กินไม่ได้แต่เทห์ แต่มีโมเดลที่ประสบความสำเร็จคือรัฐสวัสดิการทุนนิยม เช่นพวกสแกนดิเนเวีย เป็นอะไรที่เดินทางสายกลางน่าจะเหมาะกับเมืองไทยมากกว่าคอมเพียวๆ ที่พิสูจน์ถึงความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน

ลัทธิที่ขัดกับความเป็น มนุษย์ ไปไม่รอดหรอก คนขยันทนไม่ได้หรอกที่จะมีรายได้เท่าคนโง่และขี้เกียจ มันก็จะมีแต่พวกอู้งานโดยจิตวิณญาณเต็มประเทศ

ต้องรู้ว่ายิว มาร์ก(ไม่ใช่อภิสิทธิ์) มันเกิดในยุคปฎิวัติอุตสาหกรรม ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายสวัสดิภาพแรงงานเพราะพึ่งพ้นจากยุคกสิกรรมมาไม่นาน

ไอ้ บ้านี่มันเลยเพ้อฝันเห็นโลกอุดมคติที่อีกสิบชาติก็ไม่มีวันได้เห็น แต่ตอนนี้ระบบทุนนิยมปรับปรุงได้ไปมากแล้ว จะกดขี่อย่างสมัยไอ้มาร์คไม่ได้แล้ว

สังคมที่ไปรอดเขาใช้ทุนเป็นตัว ล่อให้คนรู้สึกเป็นเจ้าของ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพไม่ใช่ทำอย่างซังกะตาย แต่ก็ไม่ให้ผูกขาดแบบเสือนอนกิน ที่พ่อเหลี่ยมจะทำกับ กฟผ

ส่วนคนที่ระดับล่างสุดที่ไปไม่รอดก็มีสวัสดิการช่วยให้พอดำรงชีพอยู่ได้ เงินก็มาจากคนรวย + คนชั้นกลาง

ประเทศ ไทยเป็นสังคมเปิด ใครที่มีความรู้ความสามารถ จะเลื่อนชั้นทางสังคมได้ภายในชั่วคนเดียว พ่อเป็นกรรมกรแต่สร้างตัวเป็นเศรษฐี ลูกก็เป็นไฮโซ พ่อเป็นจ่า ลูกเข้าเตรียมทหารได้ ได้เป็นนายพลก็เป็นไฮโซเหมือนกัน

ทิบัง อารีย์ วันนอร์ เป็นอิสลาม ก็เป็นใหญ่เป็นโตได้ อดีตคอมอยู่ป่า ยังได้ดิบได้ดี เป็นรมต เต็มสภา มีประเทศไหนยอมขนาดนี้

ประเทศไทยเป็นสังคมเปิด ไม่ได้มีชนชั้นอย่างที่พวกเอ็งเข้าใจ

ถึงบอกไงว่าตำรามาร์กซิสต์นี่เป็นลัทธิที่ใช้ไม่ได้ เหมือนตำราที่เขียนไม่เสร็จ

ไม่ รู้คอมไปอยู่กับทุนสามานย์ได้ยังไง ไอ้ยิวมาร์กมันเขียนตำราจากการที่มันเห็นทุนสามานย์เอาเปรียบชาวบ้าน เลนิน เหมา มาเห็นพวกมันอยู่กับทุนสามานย์ ลมจับแน่

ทุนสามานย์มี 2 ประเภท

1 ทุนที่ขูดรีด กดขี่ แรงงาน เช่น พวกโรงงานนรกทั้งหลาย

2 ทุนที่ใช้การผูกขาด หรือกึ่งผูกขาด มาหาประโยชน์ จากกำไรส่วนเกิน พวกนี้ไม่ได้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต หรือ คิดนวตกรรมใหม่ๆให้โลก แต่อาศัยการผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดเป็นตัวสร้างผลกำไร เรียกเป็นภาษาเศรษฐศาสตร์ว่าพวกหากินกับค่าเช่าทางเศรษฐกิจ เช่นพวกหากินกับสัมปทาน ยิ่งเจ้าของสัมปทานมีอำนาจรัฐในมือยิ่งน่ากลัวทวีคูณ วันดีคืนดี นึกอยากจะแก้สัมปทานก็ทำ ดูกรณี ไอทีวีเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม หรือการพยายามจะแปรรูป รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

********* ก็ต้องสะกิดย้ำเตือนว่า “คอมมิวนิสต์” ไม่ใช่อุดมการณ์ แต่จะเป็นวิธีจัดการ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ*********

จึงไม่แปลกที่...ทำไม “สหายจรัส-สหายใหญ่” และผองเพื่อน...ถึงเลือกหยิบ “ชายหน้าเหลี่ยม” มาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้...ก่อนหน้านี้

วันนี้เข้าใจแล้วว่าคอมไปอยู่กับทุนสามานย์ได้ยังไง

ทุน ศักดินาเก่าโดนกวาดไปตั้งแต่ปี 40 ตอนนี้แทบจะหมดพลังแล้ว ไม่สามารถโตอย่างก้าวกระโดดได้ จึงยังไม่น่าห่วงเท่าไหร่ ภัยของพวกเราคือทุนใหม่ที่มาพร้อมกับอำนาจรัฐและความไร้ยางอาย พวกนี้จะเปลี่ยนกติกาตามใจชอบอาศัยเสียงมากลากไป ตัวอย่างที่ชัดเจน นอกจากการแก้สัมปทานไอทีวี ก็คือกรณีออก กฎหมายสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในกิจการโทรคมนาคม ก่อนปี 44 อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้น 49% หลังจากทักสินเป็นนายกเกิดความกลัวต่างชาติจะเข้ามาแข่งขัน จึงลดสัดส่วนเหลือเพียง 25% ทำให้การแข่งขันลดความดุเดือดลง

หลังปี 48 ตัวเองเห็นว่าธุรกิจมือถืออิ่มตัว อยากจะเอาเงินไปลงทุนธุรกิจอื่น โดยเฉพาะพลังงาน ก็เลยแก้กฎกลับเป็นอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้น 49% เหมือนเดิม แล้วอีกวัน สองวันก็ประกาศขายให้เทมาเสก อย่างงี้มันเล่นเปลี่ยนกฎเพื่อเอาเปรียบคนอื่น จะไม่รวยยังไงไหว

คนไทยต้องการทุนแบบนี้หรือ
ดำ

MGR

Thursday, February 19, 2009

ทำไมอดีตนายกฯ จึงไม่ยอมรับคำตัดสิน

Bangkok. September 2008Image by adaptorplug via Flickr

ขอนำข้อเขียนอันชวนคิดตามของ "สิงห์ม่วง" มาลงไว้ในที่นี้

ทำไมอดีตนายกฯ จึงไม่ยอมรับคำตัดสิน

ช่างคิดประดิษฐ์คำเสียเหลือเกิน สำหรับอดีตนายกฯ ว่างงานนาม “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่รู้พูดมาได้อย่างไรว่ากระบวนการดำเนินคดีที่ถูกจำคุก 2 ปีคือ "กระบวนการยุติความเป็นธรรม" หาใช่ "กระบวนการยุติธรรมไม่"

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : O ถามง่ายๆ แต่จะตอบได้หรือเปล่าว่า แล้วทีเมียที่ชื่อ "พจมาน ชินวัตร" ศาลยกฟ้องทุกข้อหา แบบนี้เรียกว่าเป็นธรรมหรือเปล่า หรือว่าไม่เป็นธรรมที่เมียไม่ได้ติดคุกด้วย หรือแอบหวังลึกๆ ให้เมียติดคุกเดียวกันแน่...(ฮา)
O เรื่องแบบนี้ถ้ามองแบบ "คนดีๆ" เขามองกัน ก็ต้องเข้าใจว่าศาลเป็นธรรม เพราะถ้าเขากลั่นแกล้งหรือ "ยุติความเป็นธรรม" ก็คงสั่งลงโทษเต็มเหนี่ยวทุกข้อหา จำคุก 10 ปี 15 ปี ให้อายุความยาวนานกว่านี้ไม่ดีหรือ (เพราะไหนๆ ทักษิณและพวกก็ทำนายไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าอย่างไรเสียก็ต้องโดน)
O แต่ก็อย่างว่า พอมองด้วยสายตา "พาลๆ" เมื่อศาลลงโทษข้อหาเดียว ก็อ้างว่าหาช่องเล่นงาน (อีกจนได้) ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย
O การถูกจำคุก 2 ปีตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 โดยที่ศาลยกฟ้องข้อหาทุจริตต่อหน้าที่เป็นเพราะไม่มีหลักฐานที่มีน้ำหนัก เพียงพอ แต่ไม่ได้หมายความว่าอดีตนายกฯ ไม่ได้กระทำผิด
O คำอธิบายแบบเข้าใจง่ายต้องขอยืมทฤษฎีของ อ.แก้วสรร อติโพธิ ท่านบอกว่าให้เปรียบเทียบกับ "พระ" เพราะภิกษุนั้นจะถูกกำกับทั้ง "ศีล" และ "วินัย" การทำผิดศีลหรือไม่บางครั้งพิสูจน์ยาก จึงต้องมีวินัยมากำกับไว้ไม่ให้กระทำ หากพระรูปใดผิดวินัย ก็จะขาดจากความเป็นพระทันที ไม่ต้องย้อนไปดูว่าทำผิดศีลจริงหรือไม่
O เช่น ศีลกำหนดห้ามพระเสพเมถุน หรือกระทำไม่เหมาะสมกับสีกา เรื่องแบบนี้เอาเข้าจริงก็พิจารณายากว่ากระทำเข้าข่ายหรือยัง จึงต้องมีวินัยมากำกับว่า ไม่ให้พระอยู่ในที่รโหฐานกับสีกาสองต่อสอง ฉะนั้นเมื่อพระกระทำผิดวินัย คืออยู่ในที่รโหฐานสองต่อสองกับสีกา ก็จะมีผลทันทีโดยไม่ต้องย้อนไปดูว่ากระทำผิดตามที่ศีลกำหนดห้ามไว้หรือไม่
O เทียบกับกรณีของอดีตนายกฯ แน่นอนศาลยกฟ้องข้อหาทุจริตเพราะหลักฐานไม่ถึง แต่ "คนโตจากลอนดอน" ก็กระทำผิดวินัย คือ กติกากำหนดห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ตนเอง กำกับดูแล ซึ่งเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 เมื่อคุณทำผิดตรงนี้ คือ ฝ่าฝืนวินัย ก็ถูกลงโทษทันที โดยไม่ต้องย้อนไปดูว่ากระทำผิดศีล คือทุจริตด้วยหรือไม่ เพราะมันมีการทุจริตมากมายที่หาหลักฐานไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้กระทำทุจริตมีอำนาจบารมีและอิทธิพลล้นเหลือ
O ถ้าได้อ่านคำแถลงของอดีตนายกฯ จะมองเห็นตัวตนของคนคนนี้ 2 ประการคือ หนึ่ง ไม่มีความรู้สึกเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน จริยธรรม ความเหมาะควรอยู่ในสามัญสำนึกเลย เพราะการซื้อที่ดินซึ่งเป็นสมบัติของรัฐโดยภริยาของนายกรัฐมนตรี ถ้ามองเป็นเรื่องธรรมดาก็ป่วยการที่จะอธิบายกันต่อว่ามันเป็นการขัดกัน ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างไร เพราะคงไม่มีวันเข้าใจ
O หรือ สอง ถ้าข้อสังเกตข้อหนึ่งไม่ถูกต้อง อดีตนายกฯ ผู้นี้ก็เข้าข่ายดับเบิลสแตนดาร์ดมากที่สุด เพราะเลือกพูดเฉพาะประเด็นที่เป็นประโยชน์กับตัวเองอย่างร้ายกาจ และทำลายเครดิตของระบบศาลทั้งระบบ
O กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 100 เขาเขียนไว้ทนโท่ ถ้ากฎหมายไม่ดีก็ต้องไปแก้ไข ไม่ใช่ไปด่าศาล ที่สำคัญเรื่องกล่องขนม 2 ล้าน หรือความพยายามวิ่งล็อบบี้ตุลาการผ่านรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ถึงกับพากันไปกินข้าวที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง นั่นเรียกว่ากระบวนการ "ยุติความเป็นธรรม" ด้วยหรือไม่
O นี่ยังไม่นับคดีเสนอสินบนในคดียุบพรรคที่เรื่องค้างเติ่งอยู่ในชั้นอัยการมา นานเป็นปีแล้ว เรื่องแบบนี้ทั้งแม้วทั้งอ๋อยไม่เคยพูดถึงเลย ได้แต่โวยวายเช่นเคยว่ากฎหมายไม่เป็นธรรม
O ส่วนเรื่องพันธมิตรยึดทำเนียบ ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองจากศาลอย่างที่พยายามกล่าวอ้าง การพูดเหมารวมแบบนี้มันทำลายเครดิตกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาศาลแค่ถอนข้อหากบฏ เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งก็เป็นกระบวนการรีวิวตรวจสอบกันตามปกติของศาลแต่ละชั้นที่เปิดช่องให้ ประชาชนได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น ส่วนเมื่อศาลมีคำสั่งแล้ว เจ้าหน้าที่อื่นไม่ยอมบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งศาลหรือบังคับไม่สำเร็จ อันนั้นก็ต้องไปโทษเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่าย ไม่ใช่ไปด่าศาล
O อดีตนายกฯ เอง ก็เคยได้ประโยชน์กับกระบวนการแบบนี้ เช่น การขอเดินทางไปต่างประเทศแล้ว "หนี" ไม่ยอมกลับมานี่อย่างไร ทำไมแบบนั้นไม่บอกว่าศาลไม่เป็นธรรมบ้างที่อนุญาตให้ท่านเดินทางออกนอก ประเทศ แล้วไม่ต้องกลับมารับโทษ
O พิเคราะห์จากการปลุกมวลชนเสื้อแดง ตามด้วยถ้อยคำล่อแหลมเรื่อง "พระบารมี" ก็พอมองเห็นจังหวะก้าวของ "บิ๊กแม้ว" เที่ยวนี้ว่าคงหนีไม่พ้นขอพระราชทานอภัยโทษตามที่ "สิงห์ม่วง" เคยคาดการณ์เอาไว้ สอดรับกับบทวิเคราะห์การเมืองของ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีนิด้า ที่เคยชี้ให้จับตากรณีของฟิลิปปินส์ให้ดีๆ เพราะประธานาธิบดีอาร์โรโยก็ตัดสินใจออกกฎหมายอภัยโทษให้อดีตประธานาธิบดี เอสตราดามาแล้ว
O แต่ประเด็นที่ อาจารย์สมบัติ เน้นเป็นพิเศษก็คือ จะทำเช่นนั้นได้นายกฯ ต้องเป็นคนของตัวเอง และนี่คือสาเหตุว่าทำไม "ทักษิณ" ถึงต้องดิ้นเพื่อรักษาอำนาจไว้ในหมู่พวกตัวเองให้นานที่สุด จัดตัวสำรองชุด 2 ชุด 3 มาเป็นรัฐมนตรีโดยไม่เกรงใจประชาชน คำตอบก็คือผลประโยชน์และความอยู่รอดของตนเอง หาใช่ประเทศชาติที่กำลังดำดิ่งเพราะวิกฤติทั้งภายในและภายนอกไม่!


สิงห์ม่วง kobkab034@hotmail.com


Reblog this post [with Zemanta]

Matichon today - หรือวันนี้ มติชน เป็น มติชิน (2)

วันที่่ 18 ก.พ. 2552
วันที่ 16 ก.พ. 2552
วันที่ 14 ก.พ. 2552

อาจเป็นได้ที่มติชน ยังไม่มีคลิปใหม่เข้ามา คลิปเก่าก็เลยยังแช่อยู่อย่างที่เห็น
เราก็ต้องคอยตามดูกันต่อไป ว่าจะแช่ไปถึงแค่ไหน....

Wednesday, February 18, 2009

Matichon today - หรือวันนี้ มติชน เป็น มติชิน


http://img195.imagevenue.com/aAfkjfp01fo1i-13753/loc958/75130_Matishin_1234972830640_122_958lo.jpg

ในฐานะคนเคยอ่านมติชน ขอตั้งข้อสงสัย





เส้นประน้ำเงิน ด้านล่างคือหน้าจอปกติที่จะเห็น



Reblog this post [with Zemanta]

Tuesday, February 17, 2009

Thaiinsider.info comment

ฟัง "บิ๊กแม้ว" โฟนอินเข้ามาที่ "ดีทีวี" คร่ำครวญถึง "ความไม่เป็นธรรม" ที่เจ้าตัวได้รับแล้วรู้สึกสะท้อนใจ อยากชี้แจงให้ "บิ๊กแม้ว"

O ฟัง "บิ๊กแม้ว" โฟนอินเข้ามาที่ "ดีทีวี" คร่ำครวญถึง "ความไม่เป็นธรรม" ที่เจ้าตัวได้รับแล้วรู้สึกสะท้อนใจ อยากชี้แจงให้ "บิ๊กแม้ว" เข้าใจว่า จริงๆ แล้วตัวท่านน่ะได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะในชั้นอัยการกับตำรวจ มากกว่าทุกๆ คนในประเทศนี้...

O ลองคิดดู...หากกระบวนการยุติธรรมไม่ให้ความเป็นธรรมกับท่าน คดีถุงขนมยัดเงิน "2 ล้าน" ที่ทีมทนายของท่านนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการถึงบนอาคารศาลฎีกา คงถูกอัยการสั่งฟ้องและสาวถึงที่มาของเงินสดๆ 2 ล้านบาทแล้วว่าเป็นของผู้ใดกันแน่ เพราะมันแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งว่าไม่มีทนายคนไหน "บ้า" เอาเงินตัวเองไปจ่ายให้เจ้าหน้าที่ศาล แต่คดีนี้อัยการก็ "สั่งไม่ฟ้อง"

O หากกระบวนการยุติธรรมไม่ให้ความเป็นธรรมกับท่าน ไฉนเลยคดีเสนอสินบน "30 ล้าน" ให้กับตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทยซึ่งท่านเคยเป็นหัวหน้าพรรค อัยการจึงสั่งไม่ฟ้องอีกเช่นกัน เพราะหาไม่แล้วก็จะต้องมีการสอบสวนทวนความว่า พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีตผู้กำกับการ สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม เพื่อนร่วมรุ่น "นิติ มธ.09" ของอดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของท่าน ร่ำรวยมาจากที่ไหนถึงได้เสนอเงินหลายสิบล้านให้กับตุลาการในคดี ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเลย

O ถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่ให้ความเป็นธรรมกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ไหนเลยจะตัดสินใจถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและพวก หลังจากท่านไปขอใช้พื้นที่ปราศรัยกับมวลชนของท่านก่อนสิ้นอำนาจไม่นาน ทั้งๆ ที่คดีทำกันมาจนใกล้จะตัดสินอยู่รอมร่อแล้ว หมดเปลืองงบประมาณแผ่นดินไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

O แค่คดีตัวอย่างเพียงเท่านี้ก็สรุปได้แล้วว่า "บิ๊กแม้ว" ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมมากจนเกินปกติเสียด้วยซ้ำ!

บนความเคลื่อนไหว
สิงห์ม่วง kobkab034@hotmail.com

http://thaiinsider.info/2009news/gossip/384-2009-01-31-03-32-42

Saturday, February 7, 2009

Thaksin's Network Diagram #1


Diagram of Thaksin's network and operational bodies using Poseidon.

This is a first attempt to get a glance of huge complicated Thaksin's network.

Please note: This diagram is not yet complete and all the associations might not be correct and/or proper labeled. All symbols are not necessarily represent the same designation as in UML sphere. Poseidon was used because of its ease of use to create such diagram.

Thursday, February 5, 2009

A new order

The Economist had an article in 2002

"A new order

Feb 28th 2002
From The Economist print edition

Thailand's 16th constitution provides the perfect guide to stability and
prosperity, says Edward McBride. Now all the country has to do is live up to it.

AS MURDER investigations go, the killing of Suvichai Rodwimud seemed quite straightforward. The unfortunate police sergeant-major was shot dead in full view of dozens of revellers at Club Twenty, a Bangkok nightspot. Although the bar is normally dimly lit, the manager, according to most accounts, had turned up the lights just before the shooting. That gave patrons a chance to see Duangchalerm Yubamrung, an officer in the Thai military supreme command, having
a furious row with Mr Suvichai. Allegedly he then drew a gun and shot him in the head. The police say they have plenty of witnesses.

Many Thais find this easy enough to believe. Mr Duangchalerm and his two brothers are notorious rowdies who have been accused of involvement in nine previous violent incidents in the past four years. Yet most Thais also doubt that justice will be done. In a recent poll, only 13% thought the courts would handle the case fairly. A full 62% expected political interference. To this day, the rich and well-connected, Thais seem to believe, can literally get away with
murder.

Mr Duangchalerm's father, Chalerm Yubamrung, is the political boss of Thonburi, a suburb of Bangkok, and a former police officer. At the time of the shooting, he was deputy leader of one of the parties in the present coalition government. His three sons all landed plum jobs, despite their reputation: Mr Duangchalerm, for example, had worked in the defence minister's office. Several court cases against the trio have come to nothing. No wonder so many Thais fear that this case, too, will vanish into thin air. Mr Duangchalerm did, after all, manage to flee the scene, despite the presence of many policemen; indeed, one officer was charged with accompanying him off the premises. Immediately after the murder, the local press carried reports that
both the armed forces and Mr Chalerm knew where the suspect was, but a few days later everyone suddenly denied any knowledge of his whereabouts. Military officials loudly questioned the civilian authorities' right to arrest or try Mr Duangchalerm.

Mr Chalerm announced that a member of his son's entourage, who had also vanished, was the real killer, and produced witnesses to dispute the earlier claim that the lights at the murder scene had been turned up. He also says he has misplaced two guns he owns, of the same calibre as the murder weapon. Meanwhile, reports emerged that the accused had slipped across the border to Cambodia. His family, at any rate, suddenly took to visiting Cambodia at weekends. The crime took place at the end of October, yet four months later, as this survey went to press, Mr Duangchalerm remained at large. Ordinary Thais' anger at the handling of the case is spilling out in chat shows, letters pages and online discussion forums. Several senators have demanded an
inquiry. Angry citizens handed out stickers reading "Fight for Suvichai " in central Bangkok. A public appeal quickly netted 1.15m baht on behalf of the dead policeman's widow and child. One group of protesters even held a public ceremony to curse the Yubamrung family.


Here we go again. One reason people are so upset is that Thailand is supposed to have put this sort of thing behind it. From the 1950s until a few years ago, an unaccountable and unscrupulous elite of politicians, soldiers and bureaucrats had run the country for their own benefit. They got away with it because for the better part of 50 years the economy was growing at a blistering average of over 7% a year.
But with that economic growth came an expanding middle class that began to resent the rickety coalitions, the coups and the corruption. In 1992, a military strongman's attempt to suppress student demonstrations and install himself as prime minister prompted a vigorous campaign for political reform. A new constitution was drafted in 1997, just as Thailand's economy collapsed. The baht lost half its value, half the country's loans turned sour and output plummeted.
In the wake of this disaster, politicians did not dare resist the adoption of the new constitution, even though it was designed to curb their excesses. It incorporated a battery of checks and balances to prevent those in power from abusing it. It also gave ordinary people an arsenal of new provisions to defend their rights and enforce the rule of law.

At first glance, the Duangchalerm case raises doubts about how far Thailand has travelled along the road to fair and transparent governance. Admirable as the new constitution is on paper (in this instance, a special aspen-wood parchment), it seems to make little difference in practice. Yet optimists see progress of a sort. Even five or ten years ago, they think, this kind of incident would have been hushed up; now embarrassed politicians have sworn to see justice done. According to Phongthep Thepkanjana, the minister of justice, the case will be a test of the reforms instigated by the new constitution. Naturally, he wants the system to acquit itself well.

There are other heartening signs. The high command, anxious to distance itself from the furore, quickly sacked Mr Duangchalerm for absenteeism, and conceded that the rules granting soldiers special privileges on arrest needed updating. An earlier investigation into claims that the Yubamrung brothers had dodged the draft was reopened. Mr Chalerm's wife resigned from her job as a judge. Her
husband surrendered his party posts. He retains his seat in parliament, but the pundits agree that his political career is over. The policeman accused of helping Mr Duangchalerm escape was suspended, and the suspect's two brothers are being put on trial for impeding his arrest at the scene of the crime. Prosecutors have launched a case against Mr Duangchalerm in absentia, and are putting witnesses' testimony on the record before anybody has second thoughts.

However this particular case turns out, reform-minded Thais obviously have a clear idea of how such matters should be dealt with. They argue that without the firm, efficient and impartial application of the law, Thailand will struggle to regain its earlier prosperity. Politicians will find ways to evade the new constitution's strictures; crooked bankers and businessmen will cook the books and resist restructuring; pressing problems, such as the spread of AIDS and a surge in drug abuse, will be neglected; and the frustrated citizens, aware of
their rights but unable to enforce them, will take to the streets.
Such are the risks; but they are not unavoidable. In fact, Thailand's 16th constitution offers a minutely detailed blueprint to prevent such calamities.

"
As of today, 7 years later, everything was just like every Thais expected. When Thai people says let the karma gets them, it proved that Thai justice system had fail people once more.

ผู้นำฝ่ายค้านนอกสภา ทักษิณรีเทิร์น โดย นายซื่อตรง รักเมืองไทย

ความคิดเห็นที่ 2
ผู้นำฝ่ายค้านนอกสภา ทักษิณรีเทิร์น โดย นายซื่อตรง รักเมืองไทย

...ผมพร้อม ถ้าประชาชนพร้อม ผมพร้อมจะกลับไปเป็นนายกฯให้ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ถ้าประชาชนพร้อมเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมเมื่อนั้น ถ้าประชาชนยอมพ่ายแพ้ ก็ถือว่าผมหมดหน้าที่ ถึงแม้ผมจะต้องอยู่ต่างประเทศอีกนาน แต่ผมจะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน... (วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 ,ทักษิณรีเทิร์นกล่าว)

หลายคนบอกว่านี่คืออาการดิ้นครั้งสุดท้ายของเสือลำบาก ที่แม้ไม่ตกยาก แต่หาทางออกกับระเบิดเวลาที่ผูกมัดอยู่รอบตัวตอนนี้ไม่ได้

หลายคนจึงตั้งคำถามว่า หากคุณทักษิณไม่มีคดีติดตัวท่วมหัวแล้วนั้นยังจะคิดกลับมามีอำนาจปกครอง ประเทศอีกครั้งเพื่อประชาชนจริงหรือ? หรือแม้กระทั่งจะบอกว่า จะทำเพื่ออดีตลูกพรรคที่ยังนับถือตน

แต่หากคุณทักษิณประกาศว่าตอนนี้หมดตัวไม่เหลือเงินแล้วจะยังมีคนยอมรับนับถืออุดมการณ์คุณทักษิณจริงหรือ?

คำถามที่ไม่ต้องรอคำตอบเหล่านี้ เพราะคุณทักษิณเองได้เผยความในใจ หรือเรียกว่า "ธาตุแท้" ก็ได้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง และสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น ชุดยุทธศาสตร์ที่หนักแน่น ที่จะเรียกว่า "ยุทธศาสตร์ยึดประเทศไทย" ก็ได้ (ไม่ใช่แค่การล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์)

ที่มาของปัญหาตั้งแต่ความแตกแยกภายในของพรรคเพื่อไทยที่ดูเหมือนจะยังรวมกันไม่ติดหลังการขึ้นสู่อำนาจของประชาธิปัตย์

ซึ่งอาจเป็นเพราะการหาหลักยึดที่แน่นอนไม่ได้ และการปรับตัวในฐานะฝ่ายค้านครั้งแรกในสภาที่ยังใหม่อยู่ รวมถึงหัวหน้าพรรคตัวจริงยังไม่ปรากฏ

และที่สำคัญเจ้าภาพกระเป๋าเงินใหญ่ของพรรคยังไม่รู้ว่าเจ้าเดิมจะยังคงทุ่มต่อหรือไม่

นำมาสู่การเข้าจัดการด้วยตนเองของนายใหญ่อย่างคุณทักษิณ ที่ได้ผ่านต่อสายพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในพรรคมาประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้แล้ว

เมื่อจังหวะเหมาะและทำความเข้าใจประสานผลประโยชน์กับกลุ่มก๊วนที่เหลืออยู่สำเร็จ จึงเข้าสู่กระบวนการที่สองนั่นคือ

เปิดตัวต่อสาธารณชนและกลับมายึดเก้าอี้หัวหน้าพรรคตัวจริงกับบรรดาลูกพรรคในพรรคใหม่นี้เป็นครั้งแรก

โดยคุณทักษิณได้โทรศัพท์ข้ามประเทศผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อโฟนอินกลาง เวทีสัมนาของ สส.พรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่ ที่เพิ่งจัดไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้เอง

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อคัดสรร"ผู้นำฝ่ายค้านในสภา" เป็นตัวหลักในการเล่นเกม ในฐานะบทบาทใหม่ของบรรดาลูกพรรคเพื่อไทยที่ไม่เคยเป็นฝ่ายค้านมาก่อน

นอกจากนี้การประชุมครั้งนี้ก็เพื่อวางแผนปรับโครงสร้างพรรคใหม่ทั้งใน ส่วนฝ่ายบริหารและวางกลยุทธ์ที่ต้องปรับตัวเป็นฝ่ายรุก ในฐานะฝ่ายค้านเป็นครั้งแรกของคุณทักษิณ

อันที่จริงการเป็นฝ่ายค้านของบรรดาคนรักทักษิณได้กระทำอย่างเป็นรูปธรรมมา แล้วครั้งหนึ่งในสมัยรัฐประหารซึ่งทำได้ค่อนข้างดี เป็นกระบวนการและหนักหน่วงพอสมควร

หากแต่เป็นฝ่ายค้านในสภานั้น จะยากตรงที่เล่นเกมกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีความเก๋ามากในสภา

แต่การเป็นฝ่ายโจมตีย่อมง่ายกว่าฝ่ายตั้งรับอยู่แล้ว และถ้าพลาดพลั้งก็ไม่เสียหายอะไรเหมือนกับความพลาดของซีกรัฐบาล

อย่างไรก็ตามไฮไลท์อยู่ที่การโฟนอินของคุณทักษิณ 20 นาที แต่เนื้อหาได้คัดแล้วว่า สำคัญและชัดเจนจริงๆ

การโฟนอินนอกจากเป็นการปลุกใจบรรดาสส. เคลียร์ปมที่ค้างคาใจบรรดาสส. กลุ่มก๊วนต่างๆที่อยู่ภายใต้บ้านใหม่พรรคเพื่อไทยเป็นครั้งแรก ด้วยลีลาโวหารของคุณทักษิณก็ทำให้บรรดาลูกพรรคเคลิบเคลิ้มไปตามๆกัน

นอกจากนี้คุณทักษิณยังได้มอบนโยบายทั้งเรื่องภาพรวมและยุทธศาสตร์หลักใน การโจมตีรัฐบาล นั่นคือ การพูดเป็นนัยๆ ให้มีการระดมพลชาวบ้านให้มากที่สุด

โดยพูดทำนองว่า หากมีพลังเรียกร้องของประชาชนที่มากพอ ตนเองในฐานะนายใหญ่จะได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง

ตบท้ายด้วยเรื่องเงิน

เพราะที่ผ่านมาช่วงหลังมักมีข่าวว่า นายใหญ่ตัดท่อน้ำเลี้ยง หรือแม้กระทั่งข่าวโดนอังกฤษยึดทรัพย์ซึ่งทำให้บรรดาสส.เริ่มลังเลถึง--ที่ เคยได้และอนาคตที่อาจไม่มีน้ำเลี้ยงเหมือนเคย

การโฟนอินครั้งนี้ได้ช่วยทำให้บรรดาลูกพรรคทั้งหลายมั่นใจมากขึ้น เพราะหลุดออกจากปากนายใหญ่เองว่า ตนยังมีเงินอีกมากและพร้อมให้ สส.ทุกคนโทรหาได้ทุกเมื่อ

แทบจะไม่ต้องตีความว่า ปกครองกันด้วยอะไร

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า"ธาตุแท้"ของคุณทักษิณ! ที่ออกมาในลักษณะของนักสู้หลังพิงฝา หากแต่ผลของการโฟนอินวันนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อมาในยุทธศาสตร์ของเพื่อไทย

ยุทธศาสตร์ใหม่ที่สรุปประเด็นมาได้

ประการแรกคือ ที่ประชุมพรรคเพื่อไทย ประกาศ แถลงการณ์เขาใหญ่ 9 ข้อ โดยระบุชัดว่า คุณทักษิณมีส่วนอย่างมากในการปรับปรุงแถลงการณ์ทั้ง 9 ข้อ ที่จะถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของพรรคต่อไป

เนื้อหาไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างทำเพื่อประเทศชาติ

แต่ประเด็นที่กล้าประกาศว่า

คุณทักษิณมีส่วนร่วม ทั้งที่คุณทักษิณถูกห้ามเล่นการเมือง 5 ปี และยังเป็นนักโทษคดีอาญานั่นเท่ากับคุณทักษิณไม่สนการเปลี่ยนแปลงในวิถีปกติ อีกต่อไป

และสิ่งทั่คุณทักษิณกำลังทำจะน่ากลัวและคาดเดาไม่ได้ในเส้นทางที่ควรจะเป็นอีกแล้ว

ประการต่อมาคือการปล่อยยุทธศาสตร์ในสภา ซึ่งนายปราณปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาประกาศว่า

การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลใน 2 ประเด็นหลัก คือ

1.การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เช่น มาตรการต่างๆ การสร้าง-- ความเหมาะสมในการกู้ยืมเงิน ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ดีในการตรวจสอบและดูจะเป็นเรื่องปกติ

2.ประเด็นการเมือง บอกว่าจะมีการตรวจสอบการบริหารงานของแต่ละกระทรวง โดยจะมีการแบ่งกลุ่มประชุมติดตามการทำงานแต่ละด้านของรัฐบาลทุกสัปดาห์ เพื่อนำข้อมูลไปอภิปรายในสภาฯและชี้แจงต่อสาธารณชน

หากแต่ในข้อนี้ยังบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้สำเร็จอีกด้วย

อันนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่วางไว้ก่อนหน้าที่คุณทักษิณจะต้องเล่นเกมที่อยู่นอกกติกาปกติ

การแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ต่างอะไรจากหลักการนั้น และยังถือเป็นแนวทางเดียวกับ นปช.ที่เรียกร้องตลอดมา นี่คือ

การนำนโยบายของนปช.มาใช้อย่างเปิดเผยใช่หรือไม่

ยุทธศาสตร์การเมืองโดยร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ในฐานะสส.--ส่วน ประกาศชัดถึงหลักการหลักสองข้อ คือ

1.โจมตี คมช.และ

2.ผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ยุทธศาสตร์นี้ยิ่งตอกย้ำการสู้นอกกติกาให้ชัดขึ้น และแน่นอนต้องใช้มวลชนมาจัดการ ไม่ใช่สส.ในระบบรัฐสภาอย่างแน่นอน

ยุทธศาสตร์ล้างกระดานล้างความผิด

งานนี้--านคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.--ส่วน และประธานสส.พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศว่า

การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะชูนโยบายนิรโทษกรรมคดีอาญาที่มีมูลเหตุจากการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 กับบุคคลทุกกลุ่มไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ใครมีโทษก็จะได้รับการยกโทษ และคดีไหนที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ก็จะนิรโทษกรรมเช่นกัน

การเหมารวมเช่นนี้ดูเหมือนจะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับและลดแรงกดดันจากซีกสีเหลือง

หากแต่เป้าประเด็นหลักคือ นิรโทษกรรมทักษิณ และทุกคนในตระกูลชินวัตร!ไม่ใช่หรือ?

สำหรับคำถามว่าใครจะมาเป็นนอมีนีคนต่อไปของคุณทักษิณ

งานนี้ไม่ต้องคาดเดาอีกต่อไปว่าเป็นใครเชื่อมโยงมายังไง

เพราะรุ่งขึ้นหลังวันประชุมก็มีข่าวชัดเจนว่าจะให้ ตระกูลชินวัตรกลับมายึดครองพรรคการเมืองอีกครั้ง

โดยภาคเหนือมีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นผู้ดูแล

ภาคอีสานเป็นของนายพายัพ ชินวัตร

ภาคใต้มีนางเยาวเรศ ชินวัตร เป็นผู้ดูแล

ส่วนภาคกลางและกทม.นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะเป็นผู้กำกับดูแล

ขณะที่หัวหน้าพรรคจะเป็นใครใน 4 คนนี้ หรืออาจเป็นคนนอกคนใหม่

แต่ประเด็นชัดคือ เจ้าภาพ สปอนเซอร์ นายใหญ่เหมาหมดนั่นเอง

บทบาทของคุณทักษิณครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การตั้งนอมีนีมาบริหารแทนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นเงา เป็นแขนเป็นขาของคุณทักษิณเองเลยที่จะเข้ามาจัดการ หากแต่เพียงครั้งนี้คุณทักษิณจะเข้ามาคุมพรรคในฐานะฝ่ายค้านครั้งแรกของ ชีวิต

จึงขอแต่งตั้งให้เป็น ผู้นำฝ่านค้านนอกสภา อย่างเป็นทางการ

เกร็ดเล็กน้อยจากการโฟนอินที่น่าสนใจก็ตรงที่

คุณทักษิณ พูดถึงการใช้เงินของตนเองในต่างประเทศว่า ใช้ปีละร้อยกว่าล้านบาทนั้น และที่บอกว่าค่าเช่าโรงแรมคืนละหมื่นบาท

ดังนั้นหากคิดคร่าวๆ ก็ตกปีละ 3 ล้านกว่าบาท รวมค่าใช้ชีวิต

ซึ่งหากจะคิดให้เป็นเท่าตัวของค่าเช่าห้องก็ยังไม่เกิน10ล้าน เบ็ดเสร็จยังไงก็ไม่น่าจะถึง 20 ล้าน ด้วยซ้ำไป

ดังนั้นค่าใช้จ่ายกว่าร้อยล้านนั้นนั่นคือวิถีชีวิตของมหาเศรษฐีที่ไม่รู้จักคำว่า"พอเพียง" นั่นเอง

ดังนั้นที่คุณทักษิณกล่าวต่อว่ารัฐบาลชุดนี้ มันเป็นรัฐบาลเสือหิว ยุคนี้มันกลียุค รวบรวมเอาเสือหิวเสือโหยมาอยู่ด้วยกันนั้น

ต้องถามกลับว่าที่คุณทักษิณต้องการกลับมาประเทศไทยมาบริหารประเทศนั้นต้องการอะไรกันแน่หรือ ?

"ความรวดร้าวรันทด ก็เป็นพลังชนิดหนึ่ง

สามารถบันดาลให้ผู้คนกระทำเรื่องที่ปกติไม่กล้ากระทำ"


(โกวเล้ง จาก ซาเสี่ยวเอี้ย)

------------------------------

คารวะท่าน โกวเล็ง 1 จอก

คุณ : กล้วยไม้ป่า Post : 378 ครั้ง
วันที่ 05 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 07:14:14 น. 124.120.148.XXX



source: Matichon online

Monday, February 2, 2009

Western media lie (same as everywhere else)

A Spanish’s words in anti-cnn about DemoCracy

A Spanish’s words in anti-cnn:

"I agree with everything you said. The problem is that Spanish people don’t have a real opinion about anything. They just sit in front of the TV and listen what they guy says, that’s how they “learn” about the world. If the guy says that China has killed 1 million Tibetans, they’ll believe it all. It is the same in most Western countries, but here it looks to be much worse. Western Democracy kills people’s brain.

We are supposed to live in absolute “freedom”. So… why should we doubt about our system? Isn’t it perfect freedom?? We are supposed to live in absolute “freedom of speech”. So… why should we doubt about what we read/watch on our “free media”? Etc, etc. Democracy has become a religion, and everybody must trust the democratic system, the tv and the newspapers. If you don’t… you hate freedom, lol. That’s why it is so easy to make the whole society to hate China. Fortunately, a very few of us love something out of the West too much, so that we can see that everything is a huge lie. In my case, I love China. Reading a lot about China and talking to Chinese friends made me seeing my Western world with another perspective. I realized tha the West isn’t better than China. The only difference is that we are economically developed. We are developed thanks to market economy, not thanks to democracy. Market economy makes countries rich, not democracy. After visiting China for study, I saw that people there has the same freedom as us. Maybe even more, as you can walk around at nights in China. In the West, you might be killed thanks to huge crime rates. Also, there is so few drugs in China. In the West, kills are offered all kind of drugs at school!! This is our Freedom!! In China you see so little violence on the TV. In the West, families (parents, kids, elders) enjoy their dinner while they watch terrible movies where people are raped, killed, etc with a lot of blood!! That’s why Westerners love wars and violence so much, because we are educated to accept all violence as normal on the TV every day. After China becomes a developed country, many, many Westerners will move to China, you’ll see… I’ll move to China as soon as I finish my studies if I can. After some years, I’m starting to feel something special. China is not only as good as the Western democracy, it might be even better. China is growing fast, developing fast, you have so many problems, I know. China has many huge problems, yea. But almost every big problem in China is caused by undevelopment, right? When you become a rich country almost every serious problem will be solved, true?.

Anyway, in almost every aspect China is far better than any “democratic” country with a similar level of development (India, Latin America,etc). I’m starting to believe that when China becomes a rich country it will be much better than the West in most aspects too. Listen to me, Chinese friends. Our “freedom” is a lie. In every Western country, most youngs take drugs and drink every weekend. Crime is huge. People don’t have any hope in the future. We know we are rich thanks to what we stole to the rest of the world in the last century. We know that after 50 years we will be nothing because China and other countries are growing a lot. Our system doesn’t work, it is a big lie, and nobody dares to speak and even to think about changing our beloved democracy. In Europe people don’t have kids, we wil be a continent of elders by 2050. Many foreigners are coming from everywhere, otherwise our countries would collapse. There is a lot of racism growing everywhere. When muslims want to build a temple, there are violent riots. Some European countries (including mine) want to BAN muslim clothes so that muslum girls can’t cover their hair. Is this freedom? In China nobody would ban this, never!"

source

Label Cloud