Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Friday, April 3, 2009

“องคมนตรีพิจิตร” ข้องใจทำไม ไม่จัดการ “นช.แม้ว” เด็ดขาด งง อ้างสิทธิพิเศษในเรื่องใด!

“องคมนตรี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์” ตั้งข้อสงสัยทำไมไม่มีการจัดการเด็ดขาด กับ “ทักษิณ” อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก แต่ไม่ยอมรับโทษ งง อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด ซ้ำยังจาบจ้วงเบื้องสูง และการนำเงินจำนวนมากไปฝากไว้ตามเกาะที่มีชื่อ เรื่องการฟอกเงิน แนะควรมีการติดตามเรื่องทั้งหมด เพื่อนำข้อเท็จจริงออกมาตีแผ่ให้ ปชช.รู้ ขณะเดียวกัน เผย คณะองคมนตรีประชุมทุกอังคาร ยันไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกันตามที่มีนักวิชาการบางคนออกมากล่าว และไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง
      
       วันนี้ (3 เม.ย.) พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี เปิดเผยภายหลังถูกเอ่ยชื่อถึงบนเวที นปช.ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ว่า เหตุใดการที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว แต่ไม่ยินยอมรับโทษนั้น อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด หรือการกล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่ไม่ถูกไม่ควร เหตุใดจึงไม่มีผู้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินจำนวนมากไปฝากในเกาะที่มี ชื่อเรื่องการฟอกเงิน ทำไมจึงไม่มีการติดตามเรื่องเหล่านี้เพื่อนำข้อเท็จจริงให้ปรากฏออกมาให้ ประชาชนได้รับทราบ
      
       อย่างไรก็ตาม พล.อ.พิจิตร ยืนยันว่า ในปัจจุบันนี้คณะองคมนตรีไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกันตามที่มีนักวิชาการบาง คนออกมากล่าว ซึ่งตนเองและคณะประชุมร่วมกันทุกวันอังคาร โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน อย่างสม่ำเสมอ และยืนยันด้วยว่า ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองตามที่มีผู้ถูกกล่าวอ้าง

"อำพล เสนาณรงค์"ชี้แจงบทบาท "องคมนตรี" ระบุใครทำไม่ดีกับสถาบันมักมีอันเป็นไป

"ผมเคารพในหลวงท่านเหมือนพ่อหลวง เหมือนเจ้าหลวง เหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง ผมเคยเห็นตัวอย่าง ใจผมคิดว่าถ้าใครทำอะไรไม่ดีเกี่ยวกับสถาบันมักจะมีอันเป็นไป เช่น เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน"
 
http://matichon.co.th/online/2009/04/12386760591238676085l.jpg

เนื้อหาบางส่วนที่นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อชาติและประชาชน"  เนื่องในวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2552 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)


ผมเป็นอดีตข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปัจจุบันเป็นองคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือเหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้ รายการอะไรที่เขาเรียกว่าโฟนอินอะไรต่างๆ ดังนั้นในฐานะองคมนตรีจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การจะแต่งตัว การจะพูด การจะอ้างอิง ก็คงต้องระมัดระวัง ยิ่งมีการถ่ายทอด เสื้อนี่ผมก็ต้องระวัง เหลืองก็ต้องเก็บไว้ก่อน เนคไทน์แดงก็อย่าใช้ ตอนนี้ชักห่วงมีสีอื่นอีกแล้ว คงเหลือแต่สีขาวและสีดำที่ยังใช้ได้ตลอด ทำให้ต้องระวัง บางทีได้ยินข้อมูลอะไรมาใหม่ๆ ก็ไม่กล้านำมาเล่าต่อ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะกล่าวในชุมชน ทำให้หมดสนุกไปเยอะในการมาบรรยายเช่นนี้
 

ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเอง บางคนไม่ทราบว่าองคมนตรีคือกลุ่มคนประเภทไหน ทำอะไร ก็เลยอยากเอามาสรุปให้ฟัง ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 หมวด 2 มาตรา 12 พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคน หนึ่ง และองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 18 คนประกอบเป็นคณะองคมนตรี คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวง ที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้
 

มาตรา 13 การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรี หรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานองคมนตรี หรือให้ประธานองคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรีอื่น หรือให้องคมนตรีอื่นพ้นจากตำแหน่ง
 

มาตรา 14 องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใดๆ
 

มาตรา 16 องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
 

นี่เป็นสรุปหน้าที่ขององคมนตรี ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 19 ท่าน อายุประมาณ 60-88 ปี และมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทั้ง 19 คน ประกอบด้วย ด้านนิติศาสตร์ 8 คน ด้านการทหาร 4 คน ด้านวิศวกรรม 4 คน ด้านวิทยาศาสตร์ 1 คน ด้านรัฐศาสตร์ 1 คน และด้านการเกษตร 1 คน ส่วนสถานะสมรส 14 คน และเป็นโสด หรือม่าย 5 คน
 

ผมเองได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2537 และได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนด้วยข้อความว่า " ข้าพระพุทธเจ้า (นายอำพล เสนาณรงค์) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"
 

การที่ผมได้เป็นองคมนตรีโดยไม่ได้คาดฝันมาก่อน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างตื่นเต้นมาก และนับจากวันนั้นจนถึงบัดนี้ เป็นเวลาประมาณ 15 ปี ผมได้ปฏิบัติตามคำถวายสัตย์ฯ นี้โดยเคร่งครัด และมั่นใจว่าตั้งแต่รับราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2499 ผมได้ปฏิบัติเหมือนคำปฏิญาณโดยมิคลาดเคลื่อน และจะปฏิบัติต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
 

สำหรับคุณสมบัติของข้าราชการไทยที่ดี ผมขออัญเชิญพระราชกระแสรับสั่งบางประโยคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง พระราชทานไว้มากล่าวไว้ ณ ที่นี้เพื่อความเป็นสิริมงคลคือ ข้าราชการพลเรือนต้องยึดมั่นในผลประโยชน์ของแผ่นดิน และความถูกต้องเป็นธรรม พยายามปฏิบัติตนปฏิบัติงานให้สัมพันธ์ ประสานงานกับบุคคลฝ่ายอื่นให้ได้ ปฏิบัติเพื่อส่วนรวมอยู่เสมอ อย่านึกถึงบำเหน็จ หรือผลรางวัลให้มากนัก ผมคิดว่าเราทุกคนคงได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติมาโดยตลอด
 

สำนักงานก.พ. ออกพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มา แม้จะมีการปรับปรุงระเบียบอย่างไร แต่ปัญหาข้าราชการก็ยังมีอยู่สืบเนื่องกันมา ปัญหาใหญ่คือ
 

1.ปัญหาความขัดแย้งระหว่างข้าราชการการเมืองกับข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำกับข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจำ ผมคิดว่าท่านทั้งหลายที่ติดตามข่าวมาจะเห็นความขัดแย้งเหล่านี้ บางกระทรวงในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ นายกฯ บางท่านย้ายทีเดียว 40 ตำแหน่ง พอมานายกฯ อีกท่านก็ย้ายกลับอีก 40 ตำแหน่ง เป็นระบบที่เราไม่ทราบได้ แต่สาเหตุใหญ่ๆ มาจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การฉ้อราษฎร์บังหลวง
 

2.ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่เกิดในวงราชการและเอกชนมาช้านานแล้ว ผมว่าอาจจะเป็นประเพณีไทยของเราที่มาการจิ้มกล้อง มีการมอบของ ทำให้กลายเป็นนิสัยคอร์รัปชั่น แต่ปัญหาจะมีมากน้อยต่างกันตามสมัยของฝ่ายบริหารและการเมือง โดยรูปแบบหรือวิธีการได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ มักเกิดในกระทรวงที่มีอำนาจสูงในการเมือง การเงิน มีการก่อสร้างมาก จัดซื้อจัดจ้างมาก ที่น่าเสียดายคือคนสั่งมักไม่ค่อยมีปัญหา แต่ผู้ปฏิบัติส่วนล่างมีปัญหาค้างอยู่
 

ผมทราบจากน้องๆ หลายคน เช่น เรื่องการจัดซื้อพันธุ์พืชอะไรต่างๆ ก็มีคดีค้างอยู่ อันนี้คิดว่าน่าจะเป็นบทเรียนมาก แต่คงแนะนำลำบาก ผมเองคงไม่แนะนำให้ใครปฏิบัติตัวเป็นข้าราชการที่ดี โดยยอมเป็นรองอธิบดีถึง 11 ปี ถ้าเป็นคนอื่น 2 ปีก็ได้เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกฯ ไปแล้ว เอ้ย! โทษมากไป เป็นนายกฯ ต้องปฏิวัติ
 

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหานั้น รัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 259-280 เขียนไว้ชัดเลย และจะเห็นว่าหลายคดี หลายท่านที่อยู่ที่อื่นก็มีผลจากตรงนี้ หมวด 1 มาตรา 1  ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ ผมอ่านเท่านี้ ท่านตีความหมายเองแล้วกัน มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม
 

หมวด 12 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ มีบัญญัติหลายส่วนคือ 1.การตรวจสอบทรัพย์สินก่อนและหลังรับตำแหน่ง 2. เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นข้าราชการแต่ไปมีหุ้นส่วนให้ตัวเอง อย่าพูดว่าไปให้คนใช้ เดี๋ยวยุ่งอีก 3.การถอดถอนออกจากตำแหน่ง 4.การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ้าเป็นนักการเมืองมีเงินก็อาจจะเช่าเครื่องบินหนีไป แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไปที่จ.ตราด ไปที่อ.แม่สอด อ.แม่สาย ข้ามแม่น้ำโขงหนีไป 5.จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้ดี แต่การปฏิบัติมีปัญหา
 

นอกจากนี้ในพ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ในหมวด 5-11 มาตรา 78-126 ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาในวงราชการ และอีกส่วนคือสมาคมข้าราชการพลเรือนคงต้องช่วยกัน
 

การสร้างคนให้เป็นคนดี ให้เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมมักพูดถึง 2 ส่วนใหญ่คือ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม สำหรับเรื่องการทำงานจะมีตัวอย่างที่ดีและไม่ดี พวกข้าราชการพลเรือนจะเสียเปรียบข้าราชการทหารและตำรวจ เพราะเขาจะสอนเรื่องวินัย จะเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา แม้บางครั้งจะเป็นคำสั่งที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่เขาถือว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชา ต้องปฏิบัติ ถ้ากองทัพ หรือตำรวจไม่มีวินัย อันนั้นคือกองโจร
 

แต่สำหรับข้าราชการพลเรือนเมื่อเข้าไปก็ต้องดูนาย ซึ่งมีทั้งนายดีและไม่ดี เขาเรียกว่าหัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ถ้านายดี ลูกน้องก็ค่อนข้างดี แต่ถ้านายหากิน ลูกน้องก็มักเป็นอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าเสียดาย บางคนก็ถอยอออกมา แม้จะอยู่ในสภาพพายเรือให้โจรนั่ง แต่ก็ต้องอยู่อย่างนั้น เพราะเราเป็นข้าราชการไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องทนจนกว่าเขาจะไป
 

สิ่งที่ข้าราชการยึดถือเป็นหลักได้มี 2 ส่วนคือ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่าเราคนไทยโชคดีที่มีแบบอย่างที่ดี ผมเคารพในหลวงท่านเหมือนพ่อหลวง เหมือนเจ้าหลวง เหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง ผมเคยเห็นตัวอย่าง ใจผมคิดว่าถ้าใครทำอะไรไม่ดีเกี่ยวกับสถาบันมักจะมีอันเป็นไป เช่น เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน
 

อยากเรียนว่าในองค์พระประมุขของเรา ท่านเป็นประมุขของประเทศไทย ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทยทางคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล และทรงปฏิบัติโดยเคร่งคัด  ไม่เคยล่วงละเมิดเลย แต่หลายคนพยายามอ้างว่าท่านละเมิด ไม่ได้ปฏิบัติตามนี้ ผมขอยืนยันว่าไม่จริง ท่านไม่เคยละเมิดเลย ท่านปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
 

ตามรัฐธรรมนูญ พระองค์ท่านไม่จำเป็นต้องประกอบพระราชภารกิจใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะงานวิจัย งานพัฒนา งานส่งเสริมอาชีพประชาชน แต่เนื่องจากพระองค์ทรงทราบสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน จึงทรงมีพระปณิธานตั้งแต่ทรงครองราชย์ว่าจะช่วยเหลือประชาชน แก้ไขความทุกข์ยากให้ประชาชน และทรงสละพระราชทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อดำเนินโครงการพระราชดำริต่างๆ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ไม่เคยละเมิดรัฐธรรมนูญเลย
 

สิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติคือการยึดหลักทศพิธราชธรรม ซึ่งหลักทศพิธราชธรรมไม่ใช่สิ่งหวงห้าม เป็นสิ่งที่ข้าราชการนำไปปฏิบัติได้ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงไว้ซึ่งพระราชประสบการณ์อันยาวนาน ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจยาวนานถึง 60 ปี เคยผ่านรัฐบาลอย่างน้อย 37 คณะ นายกฯถึง 18 คน นายกฯ บางคนมาแป๊บเดียว เพิ่งผ่านนโยบายก็ไปแล้ว แต่พระองค์ท่านต้องเฝ้าดู พยายามนำสิ่งต่างๆ มาแนะนำ หลายคำแนะนำที่พระราชทานให้ บางทีเขาก็ไม่เชื่อนะ แต่ก็ยังดีที่รับใส่เกล้าฯ แต่ไม่ปฏิบัติ
 

นอกจากนี้ท่านยังทรงแปรพระราชฐาน 71 จังหวัดในช่วงปี 2496-2502 การทำงานของข้าราชการก็จำเป็นต้องผ่านสัมผัส 5 ต้องเห็นด้วยตนเอง
 

ท้ายที่สุดผมรู้สึกเป็นเกียรติ และมีความสุขที่ได้รับเชิญมาบรรยายในวันนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมมีชีวิตและเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ผมเคารพบูชารัก และถวายความเคารพยิ่งกว่าชีวิตโดยมิได้เสแสร้ง หรือมีกฎเกณฑ์ใดๆ บังคับ แต่โดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น นอกจากมีความสุขกาย สบายใจ และมีชีวิตยืนยาว
 

ในโอกาสนี้ผมใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านให้เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤต และปัญหาความแตกแยกเช่นปัจจุบันนี้ ผมมั่นใจว่าหากท่านยึดแนวปฏิบัติ แม้เสี้ยวหนึ่งของพระองค์ท่าน ก็จะทำให้เจริญ สุขกาย สบายใจ ไม่เหนื่อยยาก มีชีวิตยืนยาว มีกำลังกาย กำลังใจในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ สามารถทำงานเพื่อประเทศชาติตลอดไป

มติชน

“มาร์ค” ยัน พร้อมจับเข่าคุย“เสื้อแดง” ยุติศึกขัดแย้ง แต่ย้ำ ชาติต้องได้ประโยชน์

นายกฯ ยืนยัน รบ.พร้อมเจรจาทุกฝ่ายยุติปัญหาความขัดแย้งในขณะนี้ ด้วยเหตุด้วยผล เพื่อบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่มีเงื่อนไขชาติต้องได้ประโยชน์
      
       วันนี้(3 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลว่า ตนเองและรัฐบาลพร้อมที่จะเข้าไปพูดคุยเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ในขณะนี้ด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้บ้านเมืองสามารถเดินต่อไปได้ แต่ต้องมาดูว่าอะไรเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติประกอบด้วย ซึ่งรัฐบาลชุดนี้พร้อมจะทำอยู่แล้ว
      
       นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่เดินทางกลับจากกรุงลอนดอนเร็วกว่ากำหนด เนื่องจากต้องไปเป็นประธานในการประชุมที่ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ ส่วนในการประชุม จี 20 ตนเชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ในครั้งนี้
      
       ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้เดินทางออกจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เวลาประมาณ 23.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 06.00 น.เช้านี้ ตามเวลาประเทศไทย ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจร่วมประชุมสุดยอดลอนดอน หรือการประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ G20 โดยเป็นการเลื่อนกำหนดการเดินทางกลับให้เร็วขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลาประมาณ 16.00 น. เบื้องต้นจะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนด้วย โดยต้องจับตาจุดยืนของนายกรัฐมนตรีต่อสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ประกาศเผด็จศึกในวันพุธที่ 8 เมษายนนี้

MGR

แนวหน้า ผ่าประเด็นร้อน: เจรจาแม้วยุติศึกเสื้อแดง วัฒนธรรมผิดๆฮั้วนักโทษหนีคุก

สังคมสับสนเป็นอย่างมากที่จู่ๆ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงออกมาจุดประเด็นเรื่องที่พร้อมเปิดทางเจรจากับนักโทษชายแม้ว เพื่อยุติสงครามเสื้อแดงทั้งๆ ที่สถานการณ์ขณะนี้มาถึงขั้นที่นักโทษชายแม้วและกองทัพเสื้อแดงประกาศที่จะ โค่นล้มอำนาจรัฐ และเหิมเกริมถึงกับฉุดฟ้าลงต่ำ ด้วยการเตรียมถวายฏีกากดดันให้สถาบันเบื้องสูงปลด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นองคมนตรี

ความจริงการเคลื่อนไหวของนักโทษชายแม้วและม็อบเสื้อแดงไร้ความชอบธรรม ตั้งแต่แรก แต่เพราะความหน่อมแน้มของรัฐบาลปล่อยให้ขบวนการเพื่อแม้วเปิดเกมรุกทำตัว เป็นอาญาเถื่อนอยู่เหนืออำนาจรัฐด้วยการปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล จนที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต้องหนีหัวซุกหัวซุนงดประชุม หรือแอบไปประชุมที่อื่น ซึ่งสภาพอย่างนี้จะไปเรียกความเชื่อมั่นต่อนานาชาติได้อย่างไรเพราะมีรัฐบาล ก็เหมือนกับไม่มี

การที่นักโทษชายแม้ว และกองทัพเสื้อแดงถึงขนาดประกาศโค่นล้มอำนาจรัฐ จาบจ้วงต่อสถาบันองคมนตรีโดยส่อเจตนาตีวัวกระทบคราดไปถึงสถาบันเบื้องสูง และนับวันพยายามที่จะจุดชนวนสร้างสถานการณ์ให้เกิดความระส่ำระสายในบ้าน เมืองจนไปสู่การนองเลือดโดยไม่คำนึงถึงความวิบัติหายนะของชาติบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดทำเพื่อคนคนเดียว คือ นักโทษชายแม้ว แต่รัฐบาลก็ยังหน่อมแน้มจนเหตุการณ์ลุกลามบานปลายไปเรื่อยๆ อันเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นจนส่งผลซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ

ความจริงพฤติกรรมของ นักโทษชายแม้ว และม็อบเสื้อแดงเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐชัดแจ้ง เพราะประกาศปลุกระดมให้คนเสื้อแดงลุกฮือขึ้นโค่นล้มอำนาจรัฐและยังเข้าข่าย บ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง ซึ่งมีเหตุผลเพียงพอที่รัฐบาลจะตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการดำเนินคดี นักโทษชายแม้ว และบรรดาแกนนำม็อบเสื้อแดงอย่างจริงจัง แต่รัฐบาลกลับตั้งรับเพราะกลัวว่าจะตกหลุมพราง นักโทษชายแม้ว ที่จะอ้างเหตุการณ์ถูกกระทำจากรัฐเพื่อจุดชนวนให้เกิดสงครามกลางเมือง ทั้งๆที่รัฐบาลมีความชอบธรรมและถึงอย่างไร นักโทษชายแม้ว ก็ไม่มีทางหยุดทำสงครามแตกหัก ตราบใดที่ตัวเองยังไม่บรรลุเป้าหมายสำคัญอย่างน้อย 2 ประการที่ตัวเองต้องการนั่นคือฟอกโทษความผิดของตัวเองทั้งหมด และทวงทรัพย์สินมูลค่า 76,000 ล้านบาท ของตัวเองที่ถูกฟ้องยึดคืน

นอกจาก นายสุเทพ ที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องเจรจากับ นักโทษชายแม้ว แล้วก็มีบุคคลสำคัญอีกหลายคนที่ออกมาสนับสนุนแนวคิดเรื่องเจรจาฮั้วทางการ เมืองเพื่อยุติสงครามม็อบเสื้อแดงซึ่งรวมทั้ง นายชัย ชิดชอด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ นายประสพ สุขบุญเดช ประธานวุฒิสภา ซึ่งการเปิดประเด็นแนวคิดนี้ภายใต้สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าเชยเต็มทีเหมือนฝัน ที่ไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้เลย

เพราะแค่ปัญหาเริ่มต้นก็ยากที่จะเป็นจริงแล้วนั่นคือ ใครจะเป็นผู้มีบารมีพอที่จะมาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย เพราะแม้แต่ผู้มีบารมีสูงสุดอย่างประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษยังถูกถล่มจน ยับเยิน และหากเป็นบุคคลอื่นจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

ปัญหาประการต่อมาซึ่งมีความสำคัญมากคือจะเจรจากันในประเด็นไหนโดยเฉพาะหาก เป็นประเด็นเรื่องที่จะฟอกโทษความผิดและคืนทรัพย์สินมูลค่า 76,000 ล้านบาทที่ถูกฟ้องยึด ให้กับ นักโทษชายแม้ว แทนที่จะยุติความแตกแยกกลับจะกลายเป็นชนวนไปสู่ระเบิดปรมาณูทางการเมืองลูก ใหม่เพราะจะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ลุกฮือออกมาต่อต้านอย่างแน่นอน

ในด้านกลับกันหากการเจรจาไม่มีการฟอกโทษความผิดและคืนทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาทให้ นักโทษชายแม้ว ก็อย่าหวังว่าสงครามม็อบเสื้อแดงจะยุติ

ปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือการฮั้วกันทางการเมืองแบบยื่นหมูยื่นแมวเช่นนี้จะ เป็นการสร้างวัฒนธรรมบรรทัดฐานทางสังคมที่ผิดๆ เพราะต่อไปหากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองโกงบ้านกินเมืองและประพฤติชั่วก็จะใช้ วิธีการเดียวกัน คือ ปลุกม็อบเพื่อกดดันแล้วเจรจาต่อรองเพื่อยุติศึก

ที่สำคัญความผิดของ นักโทษชายแม้ว บางคดีศาลฎีกามีคำพิพากษาลงโทษไปแล้วคือคดีซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่ศาล สั่งจำคุก 2 ปี นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคดีที่ศาลใกล้จะมีคำพิพากษา ซึ่งหากมีการเจรจาฮั้วการทางการเมืองเท่ากับเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ และความน่าเชื่อถือของระบบศาล กฎหมาย และความยุติธรรมของสังคมอย่างไม่มีชิ้นดี

เพราะฉะนั้นสังคมไทยควรเลิกเสียทีสำหรับวัฒนธรรมการแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะ จมูก โดยอ้างความปรองดอง แต่ควรจะสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแรงด้วยการยึดถือความถูกต้องและหลักแห่งกฎหมาย อย่างจริงจัง และความจริงอีกประการหนึ่งที่ต้องไม่หลงประเด็นก็คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศมีความสามัคคีและอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าไม่มี ความแตกแยกแต่อย่างใด แต่ปัญหาวิกฤติความวุ่นวายตึงเครียดทางการเมืองตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด เกิดจากคนเพียงหยิบมือเดียวที่สร้างความแตกแยกบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองโดยตัว ต้นเหตุสำคัญมาจากคนเพียงคนเดียวนั่นคือ นักโทษชายแม้ว เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องแก้ที่ต้นเหตุด้วยการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในอำนาจรัฐ และดำเนินการตามกฎหมายกับนักโทษชายแม้วอย่างจริงจังและโดยเร็ว อย่ามัวแต่กลัวว่าทำแล้วจะมีปัญหาตามมา เพราะถึงไม่ทำทุกวันนี้ก็ถูกจุดไฟเผาบ้านป่วนเมืองขณะที่นักโทษชายแม้วก็ เดินหน้าทำสงครามแตกหักอยู่วันยังค่ำ

แนวหน้า

"ฮุนเซน"พอใจหลัง"กษิต"ทำจม.ขอโทษเหตุเข้าใจผิดคำ"นักเลง" เผยเป็นมิตรกันย่อมดีกว่าเป็นศัตรู

"กษิต" ทำจดหมายขอโทษ "ฮุนเซน" อ้างเกิดความเข้าใจผิดโดยไม่ตั้งใจ แจงคำว่า "นักเลง" เป็นคนมีหัวใจกล้าหาญ-สุภาพบุรุษใจกว้าง นายกฯกัมพูชา ตอบกลับบอกพอใจที่รมว.บัวแก้วขอโทษ ระบุ "เป็นมิตรกันย่อมดีกว่าเป็นศัตรู"

เมื่อ วันที่ 2 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ทำจดหมายอธิบายความหายของคำว่า "ใจนักเลง" ที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงสมเด็จฯฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ประเทศกัมพูชา ระหว่างการชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไปยังเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยไปแล้ว

ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เมษายน นายกษิตได้ทำหนังสือขอโทษสมเด็จฯฮุนเซน อีกครั้ง โดยทางการกัมพูชานำจดหมายขอโทษของนายกษิต ไปแจกให้กับผู้สื่อข่าวนำไปเผยแพร่

ทั้งนี้ เนื้อหาที่นายกษิตทำถึงสมเด็จฯฮุนเซน ระบุว่า "ข้าพเจ้าเป็นเกียรติในการที่จะอ้างอิงถึงรายงานข่าวที่ท่านมีความกังวล เกี่ยวกับคำพูดที่ข้าพเจ้าใช้ในการอธิบายเกี่ยวกับตัวท่าน ระหว่างที่ข้าพเจ้าอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรของไทย ทั้งนี้ในภาษาไทยนั้น คำว่านักเลง ซึ่งข้าพเจ้าใช้ระหว่างการอภิปรายนั้นหมายถึงบุคคลซึ่งมีหัวใจกล้าหาญ เป็นสุภาพบุรุษผู้มีใจกว้าง นี่คือความหมายที่ข้าพเจ้าต้องการแสดงความรู้สึกและประทับใจต่อท่าน"
 
"ผมแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดที่จะมาขัดขวางความเป็นมิตรภาพและสัมพันธภาพ ความอบอุ่น และผลประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย ได้โปรดกรุณารับคำขอโทษอย่างลึกซึ้งต่อเหตุการณ์ที่โชคไม่ดีและการก่อให้ เกิดความเข้าใจผิดอย่างไม่ตั้งใจ" ด้วยความนับถือย่างยิ่ง ลงชื่อ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสมเด็จฯฮุนเซนได้รับจดหมายขอโทษจากนายกษิตแล้ว ก็ได้ทำจดหมายตอบเมื่อวันที่ 2 เมษายน โดยมีเนื้อหาระบุว่า "ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากท่านลงวันที่ 1 เมษายน 2009 ได้แสดงคำขอโทษต่อข้าพเจ้าสำหรับการใช้ถ้อยคำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของข้าพเจ้า ระหว่างการอภิปรายไม่วางใจในสภาผู้แทนราษฎรของไทย ประชาชนชาวกัมพูชา ผู้ซึ่งสนับสนุนและลงคะแนนเสียงให้ข้าพเจ้าเพื่อให้ทำหน้าที่ผู้นำประเทศ และข้าพเจ้าเองรู้สึกพอใจอย่างแท้จริง หลังจากได้เห็นจดหมายขอโทษของท่าน และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างท่านและข้าพเจ้า รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเราทั้งสอง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จะได้รับการส่งเสริมยิ่งๆ ขึ้นไป"

"จดหมายของท่านที่ส่งถึงข้าพเจ้า และจดหมายของข้าพเจ้าที่ตอบจดหมายของท่าน สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนเดียวกันที่ว่า "เป็นมิตรกันย่อมดีกว่าเป็นศัตรู" ด้วยบันทึกที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิต ข้าพเจ้าหวังว่าท่านและครอบครัวจะมีความสุขและหวังว่า เราจะได้พบและทำงานร่วมกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้าระหว่างการประชุมสุดยอดผู้ นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่พัทยา ประเทศไทย" ขอแสดงความนับถือและปรารถนาดีอย่างยิ่ง ลงชื่อสมเด็จฯฮุนเซน


"จักรภพ"เตรียมนำม็อบบุกคิงเพาเวอร์ จี้ยุติเป็นกลุ่มทุนหนุนนักการเมือง

"จักรภพ"เตรียมนำม็อบบุกคิงเพาเวอร์ จี้ยุติเป็นกลุ่มทุนหนุนนักการเมือง
(neutralized headline - original "อีเพ็ญ"เตรียมนำม็อบบุกคิงเพาเวอร์ จี้ยุติเป็นกลุ่มทุนหนุนนักการเมือง)

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ กล่าวว่า เวลา 12.00 น.วันนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จะนำกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจาก จ.นครราชสีมา ดาวกระจายวันที่สอง ไปชุมนุมหน้าอาคารบริษัท คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ ถนนพญาไท เพื่อยื่นข้อเรียกร้องผู้บริหารบริษัท คิงเพาเวอร์ ยุติบทบาทการเป็นกลุ่มทุนให้นักการเมืองในระบอบอำมาตยาธิปไตย ย้ำหากมีการนำกลุ่มผู้ชุมนุมมาขัดขวางจะหลีกเลี่ยงการปะทะ

MGR




Comment: กรณี ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ

Terminal de l'aéroport international de Bangko...Image via Wikipedia

comment

ถึงคนที่เข้าใจว่า ใครปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ผมจะพูดให้ฟังว่า ผมทำงานในสนามบินสุวรรณภูมิมาตั้งแต่เปิด ในวันที่เกิดเหตุนั้นก่อนอื่น ณบริเวณชั้นสองและชั้น 1 มีแท็กซี่ สีฟ้า และเขียว และ สีชมพู ซึ่งเป็นประจำที่เข้ามาจอดรับผู้โดยสารอยู่บริเวณขาเข้าชั้นสอง

เมื่อมี พธม ได้ทำการเคลื่อนมาสู่"บริเวณด้านนอก" ของผู้โดยสารขาออก บรรดาแท็กซี่ได้ทำการหยิบไม้หน้าสาม และ แป๊บเหล็กเดินไปมาบริเวณขาเข้าและชั้นล่าง ต่างก้อร้องตะโกนด่าว่าตีให้ตาย ตีพวก พธม ให้ตาย ทั้งที่ บริเวณชั้นขาออกมีแต่กลุ่ม พธม อยู่บริเวณนอก และอากาศก้อเริ่มร้อนมากเพราะแสงแดดจัด ผิดกับขาเข้าที่อยู่ในร่มและมือถือไม้หน้าสามพร้อมทีทาบ้าเลือดดีเดือด ทันใดนั้นกลุ่มแท็กซี่ได้เดินเข้าไปบริเวณในตัวอาคารเพื่อหาบุคคลหรือกลุ่ม เสื้อเหลืองพร้อมในมือถือไม้หน้าสามและเหล็กแป๊บ ผู้โดยสารต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทั้งภายในและภายนอกประเทศ ต่างตกใจเป็นอย่างมาก จึงเกิดไทยมุงและความสับสนวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นจากตรงนี้ครับ

ทันใดมีการเรียกประชุมจากผู้บริหารระดับสูงและภาคพื้นดิน กับหน่วยรักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อกำหนดท่าที หลังจากนั้น ได้มีการพยายามจากนายตำรวจระดับสูงและผู้บริหารระดับสูงของ ทอท ที่เรารู้จักกันดีว่าเค้าคือพี่เมียของนายวีระ มุกสิกพงค์ เพื่อกำหนดให้เป็นเรื่องของการก่อการร้ายสากลตามที่ นายสมชาย ต้องการ ซึ่งแต่เดิม ผอ คนนี้มีความต้องการที่จะเอาเสื้อแดง แปดริ้ว เข้ามาป่วน พธม โดยมีการทำให้เข้าใจผิดว่ามี พธม อีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย แต่เพื่อให้เป็นไปตามเรื่องก่อการร้ายสากลทำให้ต้องล้มเลิกการคิดแผนนี้ไป

ผมไม่เข้าใจว่า ที่พวกคุณเข้าใจกันนั้นถูกหรือผิด เพราะการตัดสินใจปิดและให้หยุดบริการนั้นเป็นการตัดสินใจจาก ทอท โดย ผอ คนนี้และพนักงานทุกคนจะต้องปฏิบัติ ทั้งที่เรายังสามารถยืดหยุ่นและระบายผู้โดยสารได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่มีความรุนแรงใดๆเหมือนต่างประเทศที่เค้าใช้อาวุธสงคราม และจับตัวประกันไว้ ผมและพรรคพวกเข้าใจแผนสกปรกทั้งหมดนี้โดยตลอด ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ คงรู้ดีว่าคุณหลอกความจริงหรือไม่ สำหรับผมทุกอย่างแล้วสัมผัสและอยู่ในเหตุการณ์ทั้งสิ้น ผมเสียใจมากที่มีบุคคลเหล่านี้อยู่ในประเทศเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น และทุกวันนี้กิจการรับเหมาใน สุวรรณภูมิ มากกว่า 50% อยู่ในความครอบครองของ น้องสาวนายทักษิณ หรือที่เราเรียกว่า คุณนายแดง ผมยืนตรงกลาง และยืนบนความจริง ไม่เป็นเครื่องมือของใคร แต่สำหรับแนวความคิดระหว่าง พธม และ นปช แล้ว ผมกล้าพูดได้เลยว่า นปช คุณคือคอมมิวนิสต์นี่เอง คุณคือคนที่สร้างความหลอกลวง เพื่อผลประโยชน์ของนายทักษิณ คนเดียว

กรุงเทพธุรกิจ

Reblog this post [with Zemanta]

Label Cloud