Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Friday, September 11, 2009

"ดีเอสไอ"บุกจับเครือญาตินักค้ายาเสพติดฟอกเงินสร้างแมนชั่น-โรงแรม

Matichon Online
"ดีเอสไอ"บุกจับเครือญาตินักค้ายาเสพติดฟอกเงินสร้างแมนชั่น-โรงแรม

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เวลา 12.30 น. พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมพนักงานสอบสวนดีเอสไอกลุ่มงานความมั่นคง กระจายกำลังนำหมายค้นของศาลอาญาเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 10 จุด ในอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อจับกุมเครือข่ายยาเสพติดของนายสุรวุฒิ ชินวุฒิวงศ์ และนายวิเชียรไตรจุฑากาญจน์ จำเลยในคดีค้ายาเสพติดต้องโทษจำคุก 15 ปี โดยผลการตรวจค้น 3 จุด ได้แก่ อาคารเอ็นเฮชแมนชั่น โรงแรมหอเจีย และห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเจริญด่านนอก และจับกุมตัวนายสนธิศักดิ์ ไตรจุฑากาญจน์ น.ส.กุลพร เลิศชโลธร และนางวนิดา ปิติเศรษฐโกศล หรือคงเศรษฐโกศล เป็นผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินและทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด

ก่อนหน้านี้ดีเอสไอจับกุมตัวนายสุรวุฒิ ชินวุฒิวงศ์ และนายวิเชียรไตรจุฑากาญจน์ ฐานร่วมกันค้ายาเสพติดและได้ขยายผลการสอบสวนพบว่าจำเลยทั้ง 2 ได้ผ่องถ่ายทรัพย์สินจากการค้ายาเสพติดไปให้เครือญาติ โดยนำเงินไปลงทุนสร้างอาคารแมนชั่น โรงแรม และบริษัท ดีเอสไอจึงประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อสนธิกำลังเข้าจับกุมและตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนี้

TDMZ - อ่านข่าวนี้แล้วก็เห็นอะไรบางอย่าง เวลามีเรื่องอะไรไม่ดีทางใต้ คนก็จะคิดว่า เกี่ยวกับ ปชป  เป็นอิทธิพลของ ปชป เหมือนกับที่ "แดงนะลูก"  comment ไว้บนมติชน อย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ
ในที่สุดก็เข้าตัวเอง เพราะนามสกุล ชินวุฒิวงศ์ นั่นน่ะ ไปค้นดูดีดี ในอดีตมีคนนามสกุลนี้ลงเลือกตั้งอยู่เขต 2 สงขลา คือ หมายเลข 9.นายสุรเชษฐ์ ชินวุฒิวงศ์ ในนามพรรค พลังประชาชน

รู้แบบนี้แล้ว ก็มอง DSI ในแง่ดีขึ้น ว่าคงไม่ใช่แดนสนธยาอีกแล้ว ยิ่งรู้ว่า DSI ลงไปจัดการพวกโกงที่ดินที่ภูเก็ต ได้ซักพักใหญ่ๆแล้ว โดยได้มือดีๆจากกรมที่ดินไปช่วยงาน ต่อไปประเทศไทยคงสะอาดขึ้นเมื่อ DSI ทำงานอย่างจริงจัง และเป็นมืออาชีพ ผิด คือผิด ไม่ว่าคนทำผิดจะเป็นใคร


เมินโดนพธม.ไล่แขวะ 'สมยศ'รับ'ตร.สีน้ำเงิน'

Thai Insider - เมินโดนพธม.ไล่แขวะ 'สมยศ'รับ'ตร.สีน้ำเงิน' 'รัก-ชอบพอ'กับ'เนวิน' แจงชัดไม่กลัว-ไม่อาย
“สมยศ” เมินพธม.วิจารณ์ “ตร.สีน้ำเงิน” แอ่นอกรับ “รักชอบพอ” กับ “เนวิน” เป็นคนประเภทเดียวกัน-นิสัยเหมือนกัน-เป็นไงเป็นกัน ลั่น “ไม่กลัว-ไม่อาย” เพราะถ้าปฏิเสธก็หมายถึงโกหก พร้อมยอมรับซี้ปึ้กกับ “วิชัย-กนกศักดิ์” แถมชอบเล่นหุ้น

วันที่ 11 ก.ย. 2552 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งเพิ่งได้รับคำสั่งจากพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ แทนพล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่ขอลาออกจากคดีนี้ กล่าวผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์” ถึงกรณีดังกล่าวว่า “ถามว่าเห็นคำสั่งหรือยัง ณ บัดนี้ยังไม่เห็นคำสั่ง ยิ่งผบ.ตร.ตั้งผม ก็ไม่ได้ศึกษาหรือถามผมก่อน แต่ทราบมาหลายวันแล้วว่า พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ได้มาขอลาออกกับพล.ต.อ.พัชรวาท การที่ผบ.ตร.สั่งผม ไม่ทราบเรื่องมาก่อน ซึ่งก็ตกใจ ว่าทำไมมาตั้งผม เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นผู้ช่วยผบ.ตร. ที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งงานเรื่องของพันธมิตรฯปิดสนามบินสุวรรณภูมิกับดอนเมือง เป็นเรื่องของผู้ช่วยผบ.ตร. ที่ดูแลกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) มันผิดฝั่งผิดฝาไปหน่อย”

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า เป็นดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา ที่มอบหมายให้ตนทำ ก็น้อมรับ แต่ถามความรู้สึกส่วนตัว มันผิดฝาผิดฝั่ง เพราะวันหนึ่งหากงานเดินไป แล้วมีปัญหา ก็อาจจะลาออกก็ได้ เพราะไม่ใช่ความรับผิดชอบของตน แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในดุลยพินิจของรักษาการผบ.ตร. (พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์) ในเวลานี้

เมื่อถามว่า นายสั่งก็ต้องทำ อะไรที่ว่าถ้ามีปัญหาจะลาออก พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “การทำงานของผมยึด 3 ประการคือ 1.ยึดหลักความยุติธรรม ทำตรงไป-ตรงมา 2.ถูกต้องตามกฎหมาย 3.จะไม่กลั่นแกล้งหรือรังแกผู้อื่น ไม่ทำแล้วดูเป็นการกลั่นแกล้งหรือช่วยเหลือใคร”

ถามต่อว่า รู้สึกอย่างไร ในทันทีที่มีข่าวเซ็นตั้ง ทางพันธมิตรฯก็เริ่มยิงปืนใหญ่ถล่ม เป็นหมู่บ้านกระสุนตก กล่าวหาเป็นตำรวจสีน้ำเงิน ทำไมจึงเกิดเช่นนี้ และสีน้ำเงินแปลว่าอะไร พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ถ้าถามว่า อะไรเป็นความรับผิดชอบหรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชา สั่งอะไรมาก็ทำ แต่ผมยึดหลัก 3 ประการ ผมทำเรื่องใหญ่คือ รีสอร์ตทองผาภูมิ ก็เป็นเป้ากระสุนตกมาแล้ว นสพ.ผู้จัดการก็เขียนถึงผมเยอะ ก็ไม่ว่ากัน เค้าบอกเป็นตำรวจติดตามนายมนตรี พงษ์พานิช จากนั้นก็บอกมาติดตามนายเนวิน ชิดชอบ ก็ขอแก้ข่าวว่า ผมไม่ได้เดินตามนายเนวิน ไม่ได้เป็นตำรวจติดตาม แต่รักนายเนวิน เพราะนิสัยเหมือนกัน เป็นไงเป็นกัน ผมเป็นตำรวจติดตามก่อนคุณเนวินเป็นส.ส.ด้วยซ้ำ เมื่อเจอกัน เป็นคนประเภทเดียวกัน ก็คบกันได้ เค้าเคารพผมเหมือนพี่ เราก็เคารพกัน เป็นเพื่อน นี่คือความผูกพัน”

เมื่อถามว่า พูดเต็มปาก ว่ารักชอบพอกับนายเนวิน ไม่กลัวหรือ ผู้ช่วยผบ.ตร.ผู้นี้ ตอบว่า “ไม่กลัวครับ นสพ.เขียน ถ้าไม่จริง ผมจะตอบโต้ แต่เค้าเขียนเรื่องจริง ผมไม่อายหรอก ถ้าผมปฏิเสธว่าไม่เคย ก็โกหก เค้าบอกว่า ผมเป็นเพื่อนคุณวิชัย (รักศรีอักษร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด) เป็นเพื่อนคุณกนกศักดิ์ (ปิ่นแสง) บอกผมชอบเล่นหุ้น เขียนไปแล้ว ผมไม่ว่า ผมเล่นหุ้นก็ใช้เงินผม ไม่ได้สนใจเงินสีดำ สีเทา หรือเงินเน่าๆ ในวงการตำรวจ ผมอยู่ได้อย่างสง่าผ่าเผย ถามเลย ใครเคยเอาเงินมาให้ผม ผมชอบเล่นหุ้นมันผิดกฎหมายหรือครับ เงินที่เข้า-ออก บัญชีผม มาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เจ๊งบ้าง-รวยบ้าง ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ผมได้ดัง”

เมื่อถามว่า พูดเต็มปาก เดินตามนายมนตรี แต่ไม่ได้เดินตามนายเนวิน แค่รักชอบพอกัน แถมรู้จักนายวิชัย-นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง และเล่นหุ้นจริง พล.ต.ท.สมยศตอบว่า “ใช่...ไม่ว่ากัน”

ถามอีกว่า ถ้าลงไปเคลื่อนสำนวนในคดีพันธมิตรฯ ไม่ยิ่งโดนหนักกว่านี้หรือ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ถ้าเป็นหน้าที่ก็ต้องทำ ถ้าไม่อยากทำ ก็ลาออก ต้องดูกันต่อไป เพราะขีดความอดทนไม่เหมือนกัน บางคนอาจโดนปั๊ง-สองปั๊งก็อถอดใจ ผมอาจโดนสักร้อยปั๊ง ถึงถอดใจ”

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวต่อว่า การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของพัชรวาท มันมีสองแง่สองง่าม บางท่านก็บอกว่า ต้องหยุดทันที บางท่านก็บอกว่า ไม่ต้องหยุด เพราะพล.ต.อ.พัชรวาทไม่ใช่ข้าราชการเมือง ตนก็เคารพภูมิปัญญาทุกท่าน คนหนึ่งเห็นอย่าง อีกคนเห็นอย่าง ก็ต้องถกเถียงกัน

เมื่อถามว่า หากทางกฎหมาย บอกว่า พล.ต.อ.พัชรวาทต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คำสั่งตั้งพล.ต.ท.สมยศ ก็หมดสภาพ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ไม่ขอวิจารณ์ ผมแค่พอรู้กฎหมาย แต่ไม่แตกฉานในเรื่องกฎหมายสำคัญ ให้ผู้รู้ว่ากันไปดีกว่า”

“ถ้ารักษาการผบ.ตร. (พล.ต.อ.ธานี) เรียกไป ก็ต้องหารือถึงแนวทางและวิธีการ แต่เท่าที่ทราบ สำนวนการสอบสวนมันจบไปแล้ว ผมมาทำอะไรไม่ได้ มันสรุปแล้วว่า ข้อหาเป็นอย่างนั้นจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ระบบยุติธรรมของไทย เป็นระบบกล่าวหา ให้ไปต่อสู้กันในศาล” ผู้ช่วยผบ.ตร.ผู้นี้ระบุ

เมื่อถามว่า สำนวนคดีปิดสนามบิน ถือว่าจบแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไปถึงขั้นตั้งข้อกล่าวหา และมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่มารับทราบข้อกล่าวหา จากพนักงานสอบสวน ตามหมายเรียก ก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน จะออกหมายเรียก หรือทำเรื่องไปถึงศาล เพื่อขออออกหมายจับ แต่ตามป.วิอาญา ไม่ได้บอกว่า จะต้องออกหมายเรียกกี่ครั้ง อยู่ที่ดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน

ถามอีกว่า แต่เค้า (แกนนำพันธมิตรฯ) ไปปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานสอบสวน แต่ไม่รับทราบข้อกล่าวหา ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ถ้าผมมารับงานในหน้าที่นี้แล้ว ก็ต้องหารือกับคณะกรรมการ ที่สอบสวนเรื่องนี้ ไม่อยากตัดสินโดยลำพัง ขอถามก่อนว่า เค้าคิดอย่างไร แต่ขั้นตอนการดำเนินการตามป.วิอาญา มันมีอยู่”

เมื่อถามต่อถึงคดีรีสอร์ตของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร. ออกหมายเรียกไปกี่ครั้ง พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “3-4 ครั้งแล้ว”

ถามต่อว่า แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ท่านไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวน แต่ทราบว่าล่าสุดไปขึ้นศาล จึงไม่ได้มา เราก็เข้าใจ ก็ต้องออกหมายเรียกซ้ำอีกที โดยกำหนดให้มาวันที่ 14 ก.ย.นี้ เวลาบ่ายโมง ให้มาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เลย”

"ธานี" ฟิตจัดเรียกประชุมคลี่คลายคดีลอบยิงสนธิ

พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. ในฐานะ รรท.ผบ.ตร. ได้เรียกรองผบ.ตร. ,จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) และตำแหน่งเทียบเท่า ประชุมภายหลังเข้ารับตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. โดยใช้เวลาการประชุมประมาณ 30 นาที พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้เชิญรองผบ.ตร. จตช. และตำแหน่งเทียบเท่า เข้าประชุม ตนไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ ได้แจ้งว่าให้ทุกท่านทำงานไปตามปกติ ส่วนกรณีที่พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มีคำสั่งเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีปิดล้อมสนามบิน จากพล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผช.ผบ.ตร. เป็นพล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผช.ผบ.ตร. ก็ให้เป็นไปตามนั้น คำสั่งที่ผบ.ตร.ลงนามไว้ ก็จะถูกแจกจ่ายไปยังผู้ปฎิบัติ ในการทำคดีก็ให้อำนาจหัวหน้าพนักงานสอบสวนไปดำเนินการได้เต็มที่

พล.ต.อ.ธานี กล่าวถึงคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพธม. ก็คืบหน้าไปทุกๆด้าน และเวลา 14.00 น.วันนี้ก็จะเรียกประชุมติดตามความคืบหน้าจากคณะทำงาน ซึ่งก็จะมารายงานในสิ่งที่ตนได้สั่งการไป

เมื่อถามว่ากดดันหรือไม่ เพราะเหลือเวลาเพียง 19 วันก็จะเกษียณอายุราชการ พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า ไม่ได้กดดันอะไร มีหน้าที่ก็ทำไป เมื่อวานที่ไปพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯก็ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่บอกว่า ให้ปฎิบัติหน้าที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สิ่งที่ท่านเป็นห่วงคือความมั่นคง การชุมนุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น


คดีสนธิ'หมิ่นภูมิธรรม' ศาลลดโทษ'คุก6เดือน' ลิ้มปากดี:กี่คดีไม่ยี่หระ ติดคุกเกียรติยศยิ่งใหญ่

Thai Insider
“ศาลอุทธรณ์” ลดโทษให้ “สนธิลิ้ม” จากคุก 2 ปี เหลือ 6 เดือน แต่ไม่รอลงอาญาเหมือนเดิม ในคดีหมิ่น “ภูมิธรรม” ด้านแกนนำพธม.ไม่ยี่หระว่าจะโดนกี่คดี ลั่นวันที่เดินเข้าคุก จะเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่

วันที่ 11 ก.ย. 2552 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่นายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตรมช.คมนาคมและอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด, นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล, นายพชร สมุทวณิช, นายขุนทอง ลอเสรีวณิช, นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท แมแนเจอร์ มีเดียร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), นายสุวัฒน์ ทองธนากุล, นายมรุชัช รัตนปรารมย์, นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์, นายวิรัตน์ แสงทองคำ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีเมื่อที่ 25 พ.ย.2548 ซึ่งนายสนธิ จำเลยที่ 5 และน.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมกันจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 10 ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ทำนองว่า เป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่เคารพสถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งเกี่ยวข้องกับการจัดทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง โดยถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ของจำเลยที่ 1 และยังบันทึกเป็นวีซีดี และดีวีดีออกเผยแพร่ รวมทั้งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับเสาร์-อาทิตย์ 26-27 และ 28 พ.ย.2548 และในเว็บไซต์ผู้จัดการ

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้จำคุกนายสนธิเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนบริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ให้ปรับเงิน 200,000 บาท และให้ทำลายวีซีดี ดีวีดี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 10 และ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 26-27 และ 28 พ.ย.2548

ต่อมานายภูมิธรรม โจทก์ และบริษัทไทยเดย์ จำเลยที่ 1 และนายสนธิ จำเลยที่ 5 ยื่นอุทธรณ์โดยจำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลลดโทษและค่าปรับด้วย

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 มีความผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 238 ฐานหมิ่นประมาท แต่เป็นการกระทำผิดในการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งเดียว จึงเห็นควรกำหนดโทษให้เหมาะสม พิพากษาให้ลดโทษจำคุก จำเลยที่ 5 นายสนธิไว้ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท คงไว้

จากนั้นนายสนธิ ให้สัมภาษณ์หลังประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาทว่า พร้อมจะยอมเข้าคุก โดยจะยื่นฎีกาตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น เกิดในช่วงที่สู้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องสู้ทุกรูปแบบ และไม่กลัวที่จะถูกฟ้อง หากกลัวก็สู้ไม่ได้ ตนสู้เพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ยี่หระ ว่าจะมีกี่คดี จะสู้ให้เห็นว่าศาลยุติธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อบ้านเมือง วันที่เดินเข้าคุกจะเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่


คน'พท.'ฟัดกันเองแล้ว เสด็จพี่กริ้วลั่นฟ้องกรุง กล่าวหาอมเงินเลือกตั้ง อัดหวังดิสเครดิตพรรค

Thai Insider
"พร้อมพงศ์" ลั่นฟ้องแพ่ง-อาญา "กรุง ศิวิไล" กล่าวหาอมเงินหาเสียงเลือกตั้งสุราษฎร์ธานี อัดกรุงต้องการดิสเครดิตพรรคและผู้ใหญ่ในเพื่อไทย

วันที่ 11 ก.ย.2552 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณีที่นายอดิสราช ธรรมพิทักษ์ อดีต ผอ.เลือกตั้ง จ.สุราษฎร์ธานี พรรคเพื่อไทย ระบุว่า นายพร้อมพงศ์เชื่อถือไม่ได้กรณีเงินหาเสียงเลือกตั้ง จ.สุราษฎร์ธานีว่า การเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยนั้นมีคณะทำงานที่คอยประสานงานเรื่องนี้อยู่แล้ว หากมีการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อการสียงเลือกตั้งจริงก็มั่นใจว่าไม่มีปัญหา หากมีบิลหรือใบเสร็จรับเงินเรียบร้อยก็นำไปแจ้งกับผู้สมัครก็สามารถเบิกเงินได้ เพราะจะมีบัญชีของพรรคที่ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะตนอยู่ในตำแหน่งของโฆษกพรรคนั้นเป็นกรรมการบริหารพรรค ไปมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบัญชีหาเสียงเลือกตั้งไม่ได้ เพราะมันเป็นบัญชีเฉพาะและเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค เนื่องจากอาจจะทำให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่ไม่รู้ว่าการมาเคลื่อนไหวของนายอดิสราชนั้น เป็นเพราะต้องการดิสเครดิตผู้ใหญ่ในพรรค สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของ นายนที สุทินเผือก หรือ กรุง ศิวิไล ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาบอกว่าตนอมเงินหาเสียงเลือกตั้ง จ.สุราษฎร์ธานี ในระยะเวลาใกล้เคียงกันพอดี

“คุณกรุงออกมาพูดเรื่องพรรคนั้นฟังดูเหมือนจะดิสเครดิตพรรคและผู้ใหญ่ในพรรค ซึ่งไม่ทราบว่ามีนัยยะการเมืองในพรรค นอกพรรคแอบแฝงหรือเป็นการรับงานมาพูดหรือไม่ เพราะถ้าไม่รู้ว่าคุณกรุง เป็นส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ใครได้ยินก็คิดว่าเป็นการโจมตีของคนนอกพรรคหรือพวกการเมืองขั้วตรงข้าม ซึ่งคุณกรุงควรมาสอบถามกันในพรรคก่อนที่จะออกมาพูดเรื่องนี้ และผมเป็นคนประสานเอาดาราลงไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งหลายคนไม่ว่าจะเป็นน.ส. ลีลาวดี วัชโรบล อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคพลังประชาชน นายฤทธิ์ ลือชา ดารานักแสดง หรือนายเจ๋ง ดอกจิก ลงไปช่วยหาเสียงไม่มีปัญหา แต่คุณกรุงไม่ได้ลงไปช่วยหาเสียงกลับมีปัญหา ซึ่งผมไม่ทราบว่า การออกมาพูดของคุณกรุงมีผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าเป็นการพูดแล้วเป็นการใส่ร้ายป้ายสี พบว่าเป็นเรื่องการเมืองจากนอกพรรค"

"ผมคงต้องฟ้องร้องคุณกรุงทั้งทางอาญาและแพ่ง เหมือนกันที่ผมกำลังจะไปฟ้องนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยหมิ่นประมาทผม เรื่องถ่ายหนังโป๊ ผมรู้จักคุณกรุงมา 20 ปี จึงอยากให้ชี้แจงว่า เอาข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน ไปฟังมาจากใคร ซึ่งผมเองก็ไม่อยากรบกับใคร แต่เพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล หากไม่มีข้อเท็จจริงแล้วมาพูดทำให้เราเสียหาย ทำให้พรรคเสียหายก็ต้องฟ้อง ซึ่งถ้ากรุง ศิวิไล อยากพิสูจน์ความจริงในศาลเหมือนศิริโชค ผมก็พร้อมจะฟ้องทั้งแพ่งและอาญาด้วย” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่าสำหรับกรณี นายเมธี อมรวุฒิกุล ดารานักแสดงที่ไปทำร้ายนายอดิศราช ที่มีข่าวออกมาว่า ตนเป็นคนให้ท้ายนายเมธี และผลักดันนายเมธีให้เข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยนั้นไม่เป็นความจริงเลย เพราะแม้ตนและนายเมธี จะเป็นดารานักแสดงมาด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะนายเมธี เป็นดารารุ่นน้องหลายปี แต่หากนายเมธี จะก้าวเข้ามาเล่นการเมืองด้วยการลงสมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยนั้นตนเห็นว่า ถ้านายเมธี มีความพร้อม เรื่องจิตอาสา มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์และเวลา ก็สามารถลงสมัครส.ส.กทม.ได้ แต่จะได้ลงหรือไม่ก็ต้องไปสอบถามกับกรรมการภาค กทม.และนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.ว่าจะส่งลงหรือไม่


เปลว สีเงิน | เครื่องมือดูข่าวในคราว"กรรมเช็กบิล"

เครื่องมือดูข่าวในคราว"กรรมเช็กบิล" | ไทยโพสต์
มีคำอยู่คำน่าสนใจคือ "สิ่งที่เห็น-หาใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป" และ "สิ่งที่เป็น-ก็หาใช่สิ่งที่เห็นเสมอไป" ฉะนั้น ทุกข่าวสาร และทุกเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นตอนนี้ เราต้องตั้ง "สติ" ให้ดีในการรับรู้-รับฟัง อย่าเชื่อทันทีที่ได้ยิน อย่าทึกทักว่าใช่ทันทีที่ได้เห็น ต้องใช้สติกรอง เมื่อกรองแล้วก็ต้องนำมาใช้ปัญญาร่อนอีกทีค่อยสรุป ในรอบของ "กรรมเช็กบิล" นี้ ผมอยากจะบอกว่าในแต่ละบท ในแต่ละตอนของเรื่องราว ถ้าเราใช้สติและปัญญาเป็นเครื่องมือในการรับรู้-รับฟังให้มากเข้าไว้

แล้วเราจะต้องบอกกับตัวเองว่า หนังท้ายม้วน...ม่วนจริงๆ ให้ดิ้นตาย!

พระท่านบอกว่า "กัมมัง สัตเต วิภัชชะติ ยะทิทัง หีนัปปะณีตัตตายะ" กรรมย่อมจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกัน คือเลวทรามหรือประณีต ณ ขณะนี้ และต่อจากนี้ไป จะเป็นอย่างนี้จริงๆ ยึดพุทธภาษิตนี้เป็นแกนในการรับรู้-รับเห็นเรื่องราวไว้ จะได้ไม่หลงทิศ-หลงทาง

อย่างเมื่อวาน ที่พวก "เฒ่าทารก" ออกมาต่อต้านการทำงานของ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในคดี ๗ ตุลา ถึงขั้นประณามหยาบช้าว่าเป็น "องค์กรเถื่อน" ตำรวจจะรวมตัวประท้วงด้วยการ "หยุดปฏิบัติหน้าที่" นั้น พูดอย่างอื่นก็ไม่เหมาะเท่ายกพุทธภาษิตให้มาตรองกันเอง

กรรม-คือการกระทำเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ว่าเลวหรือดีนั่นแหละครับ!

นี่กรรมก็จำแนกแยกสัตว์ดี-สัตว์เลวให้เห็นแล้ว สังคมก็ได้รู้ชัดไปแล้วจากการแสดงตัวของพวกเขาเองว่า ไหน..ตำรวจแดง ไหน..ตำรวจกากี?

ฉะนั้น ท่านเห็นแล้ว-ฟังแล้ว-ตรองแล้ว ก็ปล่อยผ่านไป อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลยครับ พวกเฒ่าทารกก็เป็นอย่างนี้ แก่หนักๆ เข้าก็จะกลับมาเหมือนทารกอีกครั้ง ซักวันอาจเชิญนักข่าวมา พวกเขาก็นัดกันมานั่งเรียงแถวแล้วเอาอุจจาระตักใส่จานแบ่งกันกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วบอกว่า...มากินโต๊ะแชร์โชว์!

เป็นผู้ใหญ่ที่ฝากดีไว้กับชาติไม่ได้ ก็ไม่น่าจะมาแสดงบทผู้ร้ายให้ลูกหลานเอาไปบ่น "เสียคนตอนแก่" กันเลย!

เมื่อวาน (๑๐ ก.ย.๕๒) ศาลอาญา อันเป็นศาลชั้นต้น ท่านตัดสินคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล หมิ่นประมาท ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ด้วยโทษจำคุก ๒ ปี โดยไม่มีการรอลงอาญา แต่ท่านอนุญาตให้นายสนธิได้รับการประกันตัวออกไปในระหว่างอุทธรณ์

นี่ก็เป็นไปตามกฎ "ทำกรรมใดไว้ ก็ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น" เมื่อศาลสถิตยุติธรรมตัดสินเช่นนั้น นายสนธิก็ยอมรับผลของกรรมโดยดี และต่อสู้ทางกฎหมายต่อไปตามกรอบ-ตามกระบวนการที่มีอยู่ ผิดกับทักษิณ ชินวัตร พอตัวเองถูกลงโทษก็โวยวาย อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมบ้างละ ศาลมีธงตัดสินบ้างละ ศาลสถิตไม่ยุติธรรมบ้างละ

แล้วนึกหรือว่า ที่หนีโทษไปนั้น ตัวเองจะพ้นโทษ-พ้นกฎแห่งกรรมไปได้!?

ทุกคนเห็นกันแล้วใช่ไหมครับว่าศาลของเราตัดสินอรรถคดีด้วยความเป็นธรรม ไม่เข้าใคร-ออกใคร ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกอันธพาลทักษิณจ้วงจาบหยาบช้า และทุกฝ่ายก็จงเข้าใจไว้ด้วยเถอะว่า ไม่ว่าใคร-ฝ่ายไหน ไม่ว่าจะเล็ก หรือจะใหญ่ ผิด-เข้าคุก, ไม่ผิด-ปล่อยตัว, มั่นใจได้ในดุลยธรรมตุลาการของเรา!

กลไกกฎหมายทำงานแล้ว พวกที่หวังใช้กฎหมู่ล้างกฎหมาย หรือหวังใช้อำนาจคน-อำนาจเงินเหนือกฎหมาย ไม่ว่านักการเมือง นักป่วนเมือง ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ชาวบ้าน กระทั่งสื่ออย่างผม โปรดสังวรและสำเหนียกกันไว้!

ระยะนี้มีหลายเรื่อง-หลายคดีที่ศาลตัดสินจะทยอยออกมา และนั่นก็หนีไม่พ้นที่มีการ "ปล่อยข่าว" ว่าคนนั้น-คนนี้วิ่งเต้น จะติด-จะหลุดไปต่างๆ นานา ผมเองยังพลอยฟ้าพลอยฝน ถูกคนโทร.มาถามในทำนองว่า "จริงมั้ย เขาว่า......?" อยู่เป็นประจำ

จะถามเพราะอยากทราบจริงๆ หรือจะถามด้วยเจตนา "ปล่อยข่าวต่อ" ผมก็ไม่ทราบได้ ฉะนั้น ช่วงนี้จะมีข่าวปล่อย และข่าวเมาธ์ที่ฮิตติดชาร์ตอยู่ ๒ เรื่อง

๑.เขาว่า "เนวิน" จะหลุด เพราะวิ่งสุดฤทธิ์ จริงมั้ย?

๒.เขาว่า......ดัน พล.ต.อ.จุมพล จริงมั้ย เลยตั้ง ผบ.ตร.ไม่ได้ถึงเดี๋ยวนี้?

นี่พูดกันตรงๆ ทั้ง ๒ เรื่องนั้น ใครจะไปตรัสรู้ได้ล่ะ และในแต่ละข้อที่ถาม มีการขยายความนำเป็นคุ้ง-เป็นแคว ซึ่งไม่สามารถนำมาพูดได้ตรงนี้ ผมฟังแล้วก็มึน ไม่รู้จะเอาอะไรมาเป็นฐานยึดในการเชื่อ-ไม่เชื่อ และในการวินิจฉัยเรื่องราว อย่างเรื่องเนวิน เขาหมายถึงคดีกล้ายาง ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองนัดฟังคำตัดสินในวันที่ ๒๑ กันยานี้

ผมตอบไม่ได้หรอกครับว่า จะหลุด หรือไม่หลุด พระท่านว่า "สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง" คือผิดหรือถูกเจ้าตัวนั่นแหละรู้ดี ส่วนศาลท่านเพียงทำหน้าที่ชี้ขาด-วินิจฉัยไปตามพยาน-หลักฐานที่มีอยู่ในกระบวนการพิจารณาความเท่านั้น เรื่องวิ่งเต้น หรือไม่วิ่งเต้น ก็ใครล่ะจะไปรู้ดีเท่าเจ้าตัวเขาเอง

ส่วนจะติดหรือไม่ติด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมอย่างใดไว้ ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น ปลูกข้าว-ได้ข้าว, ปลูกถั่ว-ได้ถั่ว, ทำชั่ว-เข้าคุก และต้องไม่ลืมที่ผมย้ำตลอดในระยะนี้ว่า ณ ขณะนี้ เข้าสู่เทศกาล

"กรรมเช็กบิล" แล้ว!

ถ้าพูดตามภาษาโหร ท่านว่า ในวันตัดสินเกณฑ์ชะตา "บางคน" เข้าเขตแดนประสิทธิภาพ "เสาร์ทับลัคนา" พอดี!?

สนธิยังหนาวได้ แล้วทำไมบางคนจะหนาวไม่ได้ จริงไหม แต่คนที่หนาวหนักในช่วง "เสาร์ทับลัคนา" นี้ ไม่ได้อยู่ในเมืองไทย เป็นสัมภเวสีร่อนเร่อยู่ในต่างบ้าน-ต่างเมือง

ส่วนข่าวปล่อยที่ ๒ ว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็นเด็กของคนนี้ ส่วน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย เป็นเด็กของคนโน้น นายกฯ อภิสิทธิ์เปรียบเหมือนคนขับรถที่ "คุณผู้หญิงให้เลี้ยวซ้าย คุณผู้ชายให้เลี้ยวขวา ไม่รู้จะเอาใจใคร...ก็เลยเก้ๆ กังๆ อยู่ในทางสองแพร่ง" นั้น ก็ปล่อยข่าวกันไป เพราะรู้อยู่ว่า ปล่อยแล้วใครก็ไม่สามารถไปถามจากต้นตอได้ว่า "จริงไหม?"

ผมเคยทำตัวเป็นเซียนว่า โหงวเฮ้ง พล.ต.อ.จุมพลเหนือกว่า พล.ต.อ.ปทีปแค่ขนจมูก แต่สงสัย พล.ต.อ.จุมพลคงเผลอไปให้ช่างตัดผมที่ดูไบเล็มขนจมูกทิ้งไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะตอนนี้ดู "ต้นจัด-ปลายแผ่ว" เห็นได้ชัด

ตรงข้ามกับ พล.ต.อ.ปทีป ยังครบเครื่อง "ต้นจัด ปลายแรง เด็กขี่แข็ง" แถม "ม้าน้ำ" อีกตะหาก คือยิ่งเจอฝน เจอพายุ นอกจากนิ่งคุมทางแล้ว ยังวิ่งคึกกว่าเดิม ยิ่งดูทางคนขี่ คือ "นายกฯ อภิสิทธิ์" ถึง ณ วันนี้ นอกจากไม่ว่อกแว่กเสียงพี่เลี้ยง เทรนเนอร์แก๊ง ส.น.น."สุเทพ-นิพนธ์-เสี่ยหนู" ที่สั่งให้บี้ ให้คลึง ให้ดึง ให้ควบ ขนาดไหน หรืออย่างไร

ก็ไม่สนใจ ควบม้าปทีปเตรียมเข้าป้าย "แบเบอร์" ชนิด วินเปย์ใบละ ๙ บาท!!

ครับ..ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรมท่านเช็กบิลไป ส่วนผมขอทำหน้าที่ "เช็กบิล" ในการซ่อม-สร้างโบสถ์หลวงพ่อตามใจ วัดพญาไม้ ราชบุรี ต่อไปให้จบ....


ความจริงที่คนไทยไม่อยากรู้! ชมคลิปจากผู้ร่วมพิสูจน์การสูญเสียดินแดน ณ เขาพระวิหาร

ชมคลิปวิดีโอที่ถ่ายทำจาก คุณวีรพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วัย 68 ปี ผู้ร่วมเดินทางไปกับ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ผู้สื่อข่าว และช่างภาพเอเอสทีวี รวมถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก เมื่อวันที่ 27-28 สิงหาคม 2552 เพื่อร่วมพิสูจน์ว่า พื้นที่ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารยังเป็นของประเทศไทยอยู่หรือไม่



...
คลิก เพื่อเข้าชมคลิป...

Label Cloud