Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Saturday, September 19, 2009

ศรีศักร์หนุนทวงคืน 4.6ตร.กม.ย้ำไทยเสียโง่ 3หนไม่จำ

Photograph of the Preah Vihear templeImage via Wikipedia
ศรีศักร์หนุนทวงคืน 4.6ตร.กม.ย้ำไทยเสียโง่ 3หนไม่จำ - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

นักประวัติศาสตร์ เผยไทยเสียโง่ 3หน แผนที่ฝรั่งเศส-ศาลโลก-ตีทะเบียนมรดกโลก6ชาติโผล่ยำผลประโยชน์ ย้ำอย่าหลงประเด็นต้องทิ้งปราสาท-ทวง4.6ตร.กม.
รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ ปาฐกถาพิเศษ ”ภูมิวัฒนธรรมกับการจัดการพิพิธภัณฑ์เพื่อการท่องเที่ยว” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จ.พิษณุโลก กล่าวถึงประวัติศาสตร์เขาพระวิหารว่า คนไทยพูดแต่เขาพระวิหาร แต่ไม่พูดถึงแลนด์สเคป หรืออาณาบริเวณโดยรอบ เช่น สระตาว ผามออีแดง

"ต้องบอกว่าคนไทยโง่ 3 ครั้ง ถูกฝรั่งหลอกตั้งแต่ ค.ศ.1902 ยุคฝรั่งเศสล่าอาณานิคม ช่วงนั้นบอกได้คำเดียวว่า ต้องยอมรับสภาพ เพราะคนไทยเขียนแผนที่ไม่เป็น ฝรั่งเศสเขียนมาให้และเซ็นต์รับทราบเมื่อปี ค.ศ.1907 ซึ่งในแผนที่บอกให้ใช้สันปันน้ำ หมายถึงแนวสันเขา ที่น้ำไหลลงฝั่งใดคือประเทศนั้น ซึ่งบนสันเขานั้นมีเขาพระวิหาร แต่ไม่ใช่แลนด์สเคปหรือแวดล้อมทั้งหมดของเขาพระวิหาร"

"ส่วนโง่ครั้งที่ 2 คือ คำตัดสินต่อมาของศาลโลก ตัดสินเขาพระวิหารเป็นของชาติใด สุดท้ายก็ตัดสินว่า เป็นของกัมพูชา เพราะใช้สันปันน้ำ ทำให้ยุคนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ถึงทราบว่าถูกฝรั่งหลอก เพราะมั่นใจในศาลโลก เมื่อรู้ว่าแพ้ก็ขีดเส้นส่วนที่เสียไป คือเฉพาะตัวพระวิหาร จากนั้นจอมพลสฤษดิ์ จึงได้ทำแนวกันตามแนวสันปันน้ำ หรือทางลงจากเขาพระวิหาร กระทั่งประกาศว่า สักวันจะต้องทวงคืนเขาพระวิหารกลับคืนมาก เพราะถูกฝรั่งหลอก และที่สำคัญ ไม่ยอมรับพื้นที่ซับซ้อนหรือคำว่า 4.6 ตารางกิโลเมตร"

"มาวันนี้ โง่ครั้งที่ 3 คือ คำว่า มรดกโลก กรณีนายนพดล ปัทมะ ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก บนเงื่อนไขผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วฝรั่งก็ยังหลอก นายปองพล อดิเรกสาร ให้เป็นหัวเรือหลักในการพัฒนาร่วม 6 ชาติบนที่ดินเขาพระวิหาร นี่คือ ความโง่ แต่กลับทำให้คนๆ หนึ่งเหมือนฮีโร่ ทั้งที่ คนในประเทศเสียหาย เสียแผ่นดิน ไม่จำเป็นต้องใช้ 5-6 ชาติมาทำอะไร เพราะความโง่ ไม่เข้าใจฝรั่ง ที่เขามองเขาพระวิหาร คือ เขามองทั้งแลนด์สเคป ไม่ใช่แค่เขา เพราะแค่เขาพระวิหารชูตระหง่านอยู่แห่งเดียวก็ไร้ความหมาย ไม่มีทางขึ้น"

นายศรีศักร์ กล่าวด้วยว่า หลังยุคเขมรแดง ประจวบเหมาะกับความโลภของคนไทยที่ต้องการแสวงหารายได้จากการท่องเที่ยว จึงเปิดบันได ปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่ หรือที่เรียกว่าพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ทั้งๆที่ จะมีคำว่าทับซ้อนอีกต่อไปหากไปย้อนดู ความโง่ครั้งที่ 1 และ 2 วันนี้ กัมพูชายึดครอง พื้นที่ดังกล่าวโดยปฏิบักษ์ กัมพูชาคบคิดกับต่างชาติ สั่งคนและว่าจ้างคนเข้ามาบุกยึดครอบครอง โดยมีกระทรวงต่างประเทศและกรมแผนที่ทหาร รู้เห็นเป็นใจทุกครั้ง ว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน โดยไม่รู้ว่าไทยเสียดินแดนไปแล้ว

"รัฐบาลอภิสิทธิ์ พูดถูกต้องคำเดียวคือ คัดค้านยูเนสโกประกาศเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะรู้ดีว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเป็นของกัมพูชา แต่เส้นทางขึ้นเป็นของไทย ที่สำคัญผิดหลักการขึ้นทะเบียนมรดกโลกอยู่แล้ว เพราะฝรั่งมองแลนสเคป ไม่ใช่มองเฉพาะเขาพระวิหาร กองทัพไทยนี่ถือว่า แย่ที่สุด ปล่อยให้เขมรครอบครองพื้นที่บริเวณทางขึ้นเขาพระวิหาร โดยอ้างว่า เป็นการพัฒนาร่วมทั้งสองประเทศ ทั้งๆ ที่บริเวณดังกล่าว คือของคนไทย แต่เขมรยึดครองโดยปฏิปักษ์"

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม กล่าวอีกว่า การดำเนินการของนายวีระ สมความคิด และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตนทั่วประเทศบุกทวงคืนดินแดนเขาพระวิหาร นั้นถูกต้องแล้ว จะต้องไปประชิดถึงแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สิ่งที่น่าห่วงก็คือกับระเบิด แต่ขอย้ำว่า ไม่ใช่ทวงคืนเขาพระวิหาร แต่จะต้องทวงคืนแดนดิน 4.6 ตารางกิโลเมตรกลับคืนมาเท่านั้น อย่าหลงประเด็น

บทสรุปที่สื่อและรัฐบาลควรจะทำคือ ทิ้งประสาทเขาพระวิหาร และเอาดินแดน 4.6 ตารางเมตรกลับคืนมา อย่าโง่อีกเลย คนไทยจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับมรดกโลก ปล่อยให้กัมพูชาสร้างกระเช้าขึ้น เสียดายที่พรรคประชาธิปปัตย์คิดเป็น แต่ทำไม่เป็น ควรบอกชาวโลกไปเลยว่า ถูกหลอกตั้งแต่สันปันน้ำ พูดอีกครั้งก็ได้ว่า คนไทยโง่ ถูกฝรั่งหลอกมาแล้ว 3 ครั้ง





Reblog this post [with Zemanta]

กองทุนฟื้นฟูฯฟ้องคุณหญิงพจมานคืนที่ดินรัชดาฯ

กองทุนฟื้นฟูฯฟ้องคุณหญิงพจมานคืนที่ดินรัชดาฯ - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

กองทุนฟื้นฟูฯส่งอัยการยื่นฟ้องแพ่งคุณหญิงพจมาน ส่งคืนที่ดินย่านรัชดาฯ 4 แปลง 33 ไร่เศษ มูลค่า 772 ล้าน ชี้นิติกรรมสัญญาซื้อขายปี46 เป็นโมฆะ
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายพศิน ทิพยรักษ์ พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง รับมอบอำนาจจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย เรื่องโมฆะกรรม ขอให้ศาลเพิกถอนรายการจดทะเบียนขายโฉนดที่ดินรัชดาภิเษก 4 แปลงจำนวน 33 ไร่เศษมูลค่า 772 ล้านบาท และให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน

ตามฟ้องอัยการโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 46 คุณหญิงพจมาน จำเลย เข้าร่วมยื่นซองประกวดราคาซื้อที่ดินดังกล่าวต่อมา กองทุนฯ ประกาศให้เป็นผู้ชนะในการซื้อที่ดิน 4 แปลงในราคาสูงสุดเป็นเงิน 772 ล้านบาทโดยกองทุนฯ และคุณหญิงพจมาน จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 46 และได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิที่ดินให้กับคุณหญิงพจมาน จำเลยในวันที่ 30 ธ.ค. 46 โดยสัญญาซื้อขายที่ดินมีข้อความว่า กองทุนฯ โจทก์ ผู้ขายตกลงยอมขาย และคุณหญิงพจมาน จำเลย ผู้ซื้อตกลงยอมซื้อ

แต่ต่อมาภายหลังจากทำสัญญาซื้อขาย คุณหญิงพจมาน จำเลย และ พ.ต.ท.ทักษิณ สามี ถูกอัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จากกรณีที่คุณหญิงพจมาน จำเลยคู่สมรสของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าเป็นคู่สัญญาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน 4 แปลงกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่อยู่ในอำนาจกำกับดูแลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาวันที่ 17 ก.ย. 51 ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดให้จำคุก 2 ปี

การที่คุณหญิงพจมาน จำเลยเสนอตัวเข้ายื่นซองจนชนะการประกวดและเข้าทำนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแล โดยคุณหญิงพจมาน จำเลยรู้และตระหนักดีว่าตนเองเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นการเข้าทำนิติกรรมสัญญาย่อมเป็นการทำโดยมีวัตถุประสงค์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวม และส่วนตัวซึ่งต้องห้ามตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 100

เมื่อคุณหญิงพจมาน จำเลย มีเจตนาจงใจเข้าทำนิติกรรมสัญญาทั้งที่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 4 แปลงจึงตกเป็นโมฆะทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 ซึ่งมีผลทำให้การจดทะเบียนซื้อขายที่ดินวันที่ 30 ธ.ค. 46 ระหว่างกองทุนฯ โจทก์ กับคุณหญิงพจมาน จำเลยเป็นอันสิ้นผล ไม่มีผลบังคับใช้ไปด้วย คุณหญิงพจมาน จำเลยจึงมีภาระต้องดำเนินการให้เจ้าพนักงานที่ดิน สาขาห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ทำการเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดิน และให้ส่งมอบคืนต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลงที่ดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนเรียบร้อยแล้วให้กับกองทุนฯ พร้อมทั้งต้องส่งมอบการครอบครองที่ดินในสภาพสมบูรณ์เช่นเดิมโดยปราศจากภาระผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น

กองทุนฯ โจทก์เคยมีหนังสือแจ้งให้คุณหญิงพจมาน จำเลยดำเนินการ แต่ยังไม่ดำเนินการเมื่อกองทุนฯ โจทก์ไม่มีวิธีอื่นบังคับจึงต้องนำคดีมาฟ้อง และขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินและหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน 4 แปลงระหว่างกองทุนฯ โจทก์ กับคุณหญิงพจมาน จำเลยตกเป็นโมฆะตามกฎหมาย และให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินวันที่ 30 ธ.ค. 46 พร้อมทั้งให้นำต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลงคืนให้กองทุนฯ โจทก์ โดยให้คุณหญิงพจมาน จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมและภาษีพร้อมค่าทนายความ หากไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแพ่งเป็นการแสดงแทนเจตนาคุณหญิงพจมาน จำเลยดำเนินการส่งโฉนดคืนแก่กองทุนฯ

ทั้งนี้ศาลแพ่งประทับรับฟ้องคดีไว้เป็นคดีดำที่ 5379/2552 และนัดให้ กองทุนฯ และคุณหญิงพจมานมาศาลเพื่อกำหนดประเด็นการสืบพยานต่อไป




เปลว สีเงิน | ณ ภาคพื้นดิน: ในภาพด่าวดิ้นของสรรพสัตว์

ณ ภาคพื้นดิน:ในภาพด่าวดิ้นของสรรพสัตว์ | ไทยโพสต์
วันนี้-วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ตรงกับแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู เป็นวันอมาวสีจันทร์ดับ ณ เวลา ๐๑.๔๕ น. ที่ศรีสะเกษ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกทวงพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ที่ทหารและชาวบ้านเขมรรุกล้ำเข้ามาปักหลักหวังครอง และที่กรุงเทพฯ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า เสื้อแเดง นปช.บุกทวงอำนาจกินเมืองด้วยเรื่องให้ทักษิณกลับมาครอง

แต่ดูเหมือนว่า วันนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ไม่อยู่ ท่านไปแล้ว เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศบนเวทีโลกที่สหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา อยู่ทางนี้ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" ทำหน้าที่รักษาประเทศ-รักษารัฐบาล โดยมี พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็นเครื่องมือสำคัญในเขตดุสิต!

ก่อนอื่น ขอคลี่คลายข้อกังวลให้แจ้งก่อนว่า จากวันนี้ไป จนถึงวันที่นายกฯ เดินทางกลับ ๒๗ ก.ย.

๑.จะไม่มีการปฏิวัติ (แน่นอน)

๒.อภิสิทธิ์ไปดี กลับมามีโชคชัย

๓.การชุมนุมของ พธม.ที่ศรีสะเกษ และการชุมนุมของ นปช.ที่กรุงเทพฯ "ไม่รับประกัน" อุบัติเหตุฉับพลัน

อุบัติเหตุมาจากไหน?

อุบัติเหตุมาได้หลายทาง แต่ทางที่ควรระมัดระวัง คือ

ก..อย่าไปยั่วยุ หรือกระทำการท้าทายบุคคลในเครื่องแบบ ทั้งโดยคำพูด โดยการสื่อสาร และโดยการกระทำ

ข.ระวังมือที่สาม จะเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน เป้าหมายเพื่อให้ฝ่ายตำรวจ-ทหารออกอาวุธ

ค.ระวังข่าวสารที่มาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ จากทางไกลๆ รวมทั้งข่าวลือ ข่าวปล่อย อันหาต้นตอ ที่มา-ที่ไปไม่ได้ จะเป็นไม้ขีดก้านเดียวในน้ำมันที่หกเรี่ยราด ถ้าเกิด-จะระเบิดแบบฉับพลัน และรุนแรง

สรุปแล้ว ๑๙ กันยานี้ ต้องระวังการสื่อสาร คำพูด-คำจา ข่าวทางไกล การก่อเหตุจากมือลึกลับอันหาตัวตนไม่ได้ มวลชนที่ตกเป็นเหยื่อจะคุคลั่งเหมือนสะเก็ดไฟ "บังเอิญ" กระเด็นไปสปาร์กกับ "บุคคลในเครื่องแบบ"

แล้วมันจะ "พรึ่บบบบบ" อย่างที่ไม่มีใครต้องการ และคาดฝันมาก่อน!?

เรียกว่า เหตุการณ์ใดๆ ในช่วงวันที่ ๑๙-๓๐ กันยานี้ มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ Smooth as silk เหมือนทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้อควรระวังเพื่อการหลีกเลี่ยง คือช่วงนี้

อย่าาาาา....อย่าไปแหย่มัน!

อย่าไปแหย่ อย่าไปยั่ว อย่าไปยุ "บุคคลในเครื่องแบบ" โดยเฉพาะทหาร มีบุคคลในเครื่องแบบชนิดเดียวที่พอจะยั่วได้ ยุได้ แหย่ได้โดยไม่เป็นภัยในระยะนี้ คือ

บุคคลในเครื่องแบบ รปภ.!

บุคคลที่ราศียังเด่น โหงวเฮ้งยังแจ๋ว ยังคงเป็นนายกฯ อภิสิทธิ์ แต่บุคคลที่ระยะนี้โหงวเฮ้งปรับเปลี่ยนมีรังสี "สมรูป-สมลักษณ์" เตะตาเป็นพิเศษ แถมเป็นรังสีไม่ขัดแย้งกับอภิสิทธิ์ ผมบอกไปท่านอาจจะไม่เชื่อ

พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.นั่นไงครับ!

โหงวเฮ้งเริ่มเดินสู่ตำแหน่งตามจักรราศีแห่งวัย เหมือนผลไม้ที่เริ่มจากเกสร เกสรผสมติดเป็นตุ่ม จากตุ่ม-โตเป็นรูปลักษณ์ จากรูปลักษณ์เข้าสู่ภาวะแห่งรูปทรง จะเข้าสู่ระยะกาลบ่มเพาะตัวเองจนถึงระดับ โต-เต่งตึง-สมบูรณ์ หรือว่าจะมีอันต้องสลัดหลุดขั้วหล่นลงไปเสียก่อน นั่น...คงไม่ต้องดูกันถึงขนาด "หนังชีวิต" หรอกครับ

ประมาณว่าระดับซีรีส์เท่านั้น!

นี่ผมมองบ้านเมืองในภาพรวมๆ ดิบๆ นะครับ ไม่ได้มองโดยใช้ "ตัวช่วย" ใดๆ มาบวก มาลบ แต่ต้องไม่ลืมกันว่า "รากเหง้า" ก่อกำเนิดของแผ่นดินไทย-คนไทย นั้น-มี และเป็นการมี "ทรงเอกลักษณ์" เข้าสู่มิติพลูโตแนบแน่น ชาติอื่น-บ้านอื่น-เมืองอื่น เขาก็มีแบบของเขา

แต่ของเรา "ราก" นั้น เป็นรากแห่งจิตวิญญาณ เป็นบ้านเมืองที่มีบรรพบุรุษดูแล ดูเหมือนห่างไกล ยากจะสัมผัสถึงได้ แต่เบื้องลึก หยั่งรากฝากติดไว้กับพระพุทธศาสนา ฉะนั้น ต้นไม้ที่มีดอกติดผล และผลที่ติดนั้น จะเติบโตติดขั้วจนสู่ขั้นเป็นผลใช้เพาะขยายพืชพันธุ์สมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยความหอมหวานได้หรือไม่?

นั่นต้องเข้าใจคำว่า กรรมล้างไม่ได้ แต่ใช้ "ปัจจุบันกรรม" ปรับแต่งได้!

นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่า "เจ้าตัว" ใดๆ จะเข้าใจขนาดไหน และจะทำหรือไม่ทำตามความเข้าใจนั้นอย่างใด ก็สุดแต่บุญแต่กรรม ณ ปางนี้ และปางบรรพ์ ทั้งของแต่ละบุคคล และทั้งของ "ประเทศชาติ-บ้านเมือง" เถอะ!

ทุกอย่าง มันมีตัวเกิด ในตัวเกิดก็มีตัวทำลาย และในตัวทำลายก็มีตัวเกิด อย่างในการเกิดของระบบคอมพิวเตอร์ มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า "ไวรัส" มาเป็นตัวทำลาย ถ้าใครเก่งเหนือไวรัสตัวนั้นก็ "กู้" ได้ จากตายให้ฟื้น

สถานการณ์บ้านเมืองเราที่ถามกันว่า......

"แล้วมันจะไปอย่างไรกัน?

แล้วมันจะไปจบกันตรงไหน เมื่อไหร่?"

คำตอบมันก็อยู่ที่แต่ละคนถามนั่นแหละ มันจะไปอย่างไรกัน...มันจะจบกันตรงไหน...มันก็อยู่ที่ว่า "พวกคุณ-พวกท่าน" จะเลิกกัดกันเมื่อไหร่

จุดที่ทำให้เปลี่ยนจาก "กัดกัน" ไปเป็น "กอดกัน" มีมั้ย?

มี....ใครว่าไม่มีล่ะ!

สนิมนั้น เกิดแต่เนื้อในตน, มะเดื่อนั้น หนอนเกิดแต่เนื้อในตน, มอดนั้น กัดกินเนื้อไม้หุ้มในตน บ้านเมืองของเราเหมือนกัน อ่านประวัติศาสตร์จะพบว่า แต่ละยุคที่เป็นไปสาเหตุ "เกิดแต่เนื้อในตน" เกือบทั้งนั้น

จะว่าเป็นกรรม ก็ไม่เถียง กรรมจากสร้างในชาติ กรรมจากสร้างในพระศาสนา กรรมจากสร้างในสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนใครจะเป็นผู้สร้างที่ไหน-อย่างไร

ใคร-ไหนเล่า จะรู้เท่าตัวเอง?!

ก็กรรมเหล่านั้นแหละสั่งสมเป็น "มรดกรรม" ร่วมชาติ พวกเราทุกคน ไม่ว่าสีไหนทั้งนั้น ต้องรับสภาพ "กรรมทายาโท" คือเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นเฉลี่ยกันไปในฐานะเกิดร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน

บางที-พวกเราชาวบ้าน "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง" แต่ต้องยอมให้กระดูกแขวนคอ!

คิดแล้วมันก็น่าอนาถใจ แล้วเราเหลือง-แดง "ชาวบ้านด้วยกัน" จะถูกกรรมแผ่นดินที่ไม่รู้ "ใครสร้าง" มอมหน้าให้ต้องมาฆ่าแกงกันเองไปทำไม คิดแล้วหดหู่ สังเวชใจจริงๆ

พวกเรารักบ้านเมืองบริสุทธิ์ใจ แล้วก็ทำตามที่คิดด้วยวิธีและแนวทางผิดบ้าง-ถูกบ้างแตกต่างกันไป โดยมีเป้าหมายรวมอยู่ที่เดียวกัน คือ ต้องการให้บ้านเมืองไร้ทุกข์ ชาวบ้านอยู่สุขตามฐานานุรูป

แต่ในขณะที่เราเกือบต้องฆ่ากันบนเป้าหมาย "เพื่อบ้านเมือง" เดียวกัน ปรากฏว่า มีบางคน บางส่วน ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว ไม่รู้ว่ากูมีภาวะอะไร กำลังประพฤติตนเหมือนด้วงในคอมะพร้าว กำลังมัวเมาสร้างกรรมให้ชาติ เสาประเทศขณะนี้เหมือนปักอยู่บนหน้าผาเทลาด แล้วพวกเราส่วนหนึ่งก็ขึ้นไปขย่ม ถล่มทะเลาะตบตีกัน และอีกส่วนหนึ่งก็ ก้มหน้าก้มตาชอนไช กัดเซาะรากเสา!

พี่น้องเอ๋ย เราเป็นลูกหลานรากเหง้าบรรพบุรุษไทยเดียวกัน พวกเราไม่ใช่ควายที่เพียงเขาเอาผ้าต่างสีมาคลุมก็ไล่ขวิดกันเอง เราจะยอมให้เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปได้อย่างไร ใครจะล้างแค้นใคร นั่นก็ค่อยเช็กบิลกันเป็นรายๆ ไป แต่การล้างแค้นโดยเอาความสงบสุข และอนาคตชาติบ้านเมืองเป็นเดิมพัน เป็นลานแห่งงานสัประยุทธ์ล้างแค้นเช่นนี้

ไม่ถูกต้อง พี่เอ๋ย..น้องเอ๋ย ไม่ควรทำเลย บ้านเมืองเจ็บ พวกเราเจ็บทุกคนใช่ไหม เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จะทำตามที่เขาหลอกไปทำไม ไอ้พวกข้างบนนั้น เขาสมประโยชน์ในโพดผลนั่งอยู่บนหัวเราอยู่ตลอด พวกเราไปรู้เรื่องอะไรกะเขาซักเท่าไหร่ วันไหนเขาหมดธุระที่จะใช้พวกเรา เขาก็มองพวกเราแค่ "หมาขี้เรื้อน" ที่เลิกเลี้ยงตัวหนึ่งเท่านั้น!

เชื่อผมเถอะ นี่คือความจริง ประชาชนนั้น ไม่ได้มีไว้หลอก แต่ทุกยุค-ทุกสมัย ประชาชน "ถูกหลอกใช้" ตลอดกาล!?

.....
.....

     อย่าลืมนะครับ  บ้านเมืองไทยเป็นของเราทุกคน  ไม่ใช่ของคนเสื้อสีไหนๆ  ไม่ใช่ของฝ่ายรัฐบาล  ไม่ใช่ของฝ่ายค้าน  ไม่ใช่ของรัฐสภา  ไม่ใช่ของตำรวจ-ทหาร  ไม่ใช่ของใครฝ่ายเดียว-คนเดียวทั้งนั้น  เรา-คนไทยเป็นเจ้าของกันทุกคน  เพราะสุดท้ายแล้ว  คนที่  "แบกชาติ"  ให้อยู่ได้  ก็ไม่ใช่ใคร  คือพวกเราที่ฟัดกันเองนี่ไง

     ชาติเจ็บ-ไม่มีใครเจ็บ  พวกเราทุกคนนี่แหละ  "เจ็บ"

     โปรดจำ.


Label Cloud