Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Sunday, May 31, 2009

พท.อัด นายกฯปากพาจน

โพสต์ ทูเดย์ - พท.อัด นายกฯปากพาจน
พรรคเพื่อไทย อัด "มาร์ค" ปากพาจน ปูดเดือนหน้ามีขบวนการป่วนเมือง ทำนักลงทุนตื่น! "ประชา" ชี้รัฐบาล ถูกปัญหารุม

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุในระหว่างกล่าวปาฐกถาพิเศษให้สมาคมนักธุรกิจฟังเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ว่า ในเดือนมิถุนายนจะมีความเคลื่อนไหวจากบางกลุ่มที่เคยเผาเมือง ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ว่า นายอภิสิทธิ์ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องใหญ่กว่า ซึ่งการออกมาพูดครั้งนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่นักลงทุน และทำให้ประชาชนวิตกกังวลจนไม่กล้าไปจับจ่ายใช้สอย ถือว่านายกฯ เป็นพวกปากพาจน

เมื่อถามว่า หากกลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ในเดือนมิถุนายน ส.ส.เพื่อไทย จะไม่เข้าร่วมใช่หรือไม่ นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เราเน้นระบบรัฐสภา แต่ส.ส. มีสิทธิไปร่วมชุมนุมในนามส่วนตัว แต่ต้องมีความเหมาะสม และไม่โยงว่าพรรคกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้าไปชุมนุมแล้วไปสร้างความเสียหาย ผิดกฎหมาย ก็ต้องรับผิดชอบเอง ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ถูกดำเนินการหลายคดี แต่ถ้าใช้สิทธิส่วนตัวไปร่วมชุมนุม ก็ห้ามไม่ได้

ด้นานนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุเดือนมิถุนายนนี้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น ว่า นายกรัฐมนตรีพยากรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพราะรู้ว่าขณะนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ทำให้มีม็อบออกมาเคลื่อนไหวจำนวนมาก ประกอบกับพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ ไม่สามารถตกลงเรื่องผลประโยชน์กันได้ มีความขัดแย้งกับพรรคภูมิใจไทย ทั้งเรื่องระบายสินค้าการเกษตร การเช่าที่ดินราคาถูกของพรรคประชาธิปัตย์ ที่พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วย และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเตรียมตั้งพรรคการเมือง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เจอปัญหารุมเร้าหลายด้าน ซึ่งจะทำให้เกิดความวุ่นวายตามคาด

ส.ส.สมุทรปราการ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แม้จะมีข่าวว่า วันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จะมี ส.ส.เดินทางไปพบ แต่ตนไม่รู้ว่าใครไปบ้าง แต่ที่รู้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ที่เมืองดูไบแล้ว และหลังสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีความชัดเจนเรื่องหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างแน่นอน

Saturday, May 30, 2009

ปปช.ภาคปชช.เล็งเข้าชื่อถอดครม.

โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - ปปช.ภาคปชช.เล็งเข้าชื่อถอดครม.
สว.สมชาย จี้ กทม.อาสาแก้ปัญหาเมล์สาธารณะ รับปปช.ภาคประชาชนเตรียมเข้าชื่อถอด ครม.หากยังคิดอนุมัติโครงการจัดซื้อรถเมล์ 4,000 คัน

นายสมชาย แสวงการ ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้ออกมาเรียกร้องให้สส.กทม.ทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 30 คน และพรรคเพื่อไทยอีก 6 คน ร่วมตรวจสอบโครงการกรณีที่นายโสภณ ซารัมย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการขออนุมัติจัดซื้อรถเมล์ 4,000 คันจากคณะรัฐมนตรี โดยเห็นว่าหากปล่อยให้โครงการนี้ได้รับการพิจารณาอนุมัติ ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับประชาชนชาวกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ใช้บริการขนส่งรถเมล์สาธารณะโดยเฉพาะงบประมาณของประเทศจำนวนมหาศาล ที่จะต้องจ่าย เฉพาะข่าวทุจริตการจัดซื้อนับหมื่นล้านบาท

ทั้งนี้เห็นว่าทางออกการแก้ไขปัญหาการขนส่งมวลชนสาธารณะน่าที่จะต้องให้หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบและรู้ปัญหาการแก้ไขปัญหาจราจรอย่างกรุงเทพมหานครรับไปดำเนินการเหมือนกับโอนย้ายตำรวจดับเพลิงมาสังกัด เพราะจะได้สะดวกต่อการบริหารแบบองค์รวมโดยขณะที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งผู้ว่ากทม.ก็เคยมีแนวคิดที่จะโอนย้ายองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.เข้าสังกัด แต่ติดอยู่ที่มีหนึ้ผูกพันจำนวนมหาศาล ซึ่งหากหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่ากทม.คนบัจจุบัน มีความจริงใจแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร ที่จะใช้รถเมล์สาธารณะและแก้ปัญหาจราจรไปพร้อมกัน ก็จะต้องรับอาสาไปดำเนินการ และหากจะจัดซื้อรถเมล์เพิ่มแทนรถเก่าที่ชำรุด ก็ต้องดำเนินการจัดซื้อเฉพาะที่จำเป็น และเป็นรถที่ประกอบในประเทศไทยเท่านั้น เพราะจะเป็นการช่วยเหลือแรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อมกันด้วย

นายสมชาย กล่าวว่า ขณะนี้ทราบมาว่า ปปช.ภาคประชาชน กำลังเคลื่อนไหวที่จะเป็นผู้ยื่นแสดงเจตจำนงรวบรวมประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 เพื่อถอดถอนรัฐมนตรีและครม. ออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ต่อประธานวุฒิสภา หาก ครม.ยังจะคิดอนุมัติ ทั้งๆที่รู้ว่ามีข่าวการทุจริตเกิดขึ้นกับการจัดซื้อของโครงการนี้อยู่

Wednesday, May 27, 2009

‘ทักษิณ’ชนเนวินวัดบารมีอีสาน


โพสต์ ทูเดย์ - การเมือง - ‘ทักษิณ’ชนเนวินวัดบารมีอีสาน
ทักษิณ “สั่งจัดทัพหลวงชน” เนวิน ห้ามแพ้เลือกตั้งซ่อม สส.สกลนคร-ศรีสะเกษ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นายพายัพ ชินวัตร ประธานสส.อีสาน พรรคเพื่อไทย (พท.) เตรียมการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.สกลนครและ ศรีสะเกษ ให้ดี เพื่อเอาชนะพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่จะส่งผู้สมัครลงครั้งแรก

“ท่านย้ำว่างานนี้แพ้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าแพ้หมายถึงเสียศักดิ์ศรีอย่างมาก เพราะการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะชนกับพรรคภูมิใจไทย” แหล่งข่าวอ้างคำพูดนายพายัพ ซึ่งได้กล่าวในระหว่างเรียกประชุมสส. และแกนนำภาคอีสานของพรรคเพื่อไทยเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง วานนี้

นอกจากนี้ นายพายัพยังได้กล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้สั่งให้จัดทัพหลวงชุดใหญ่ลงพื้นที่ก่อนวันเลือกตั้ง คือวันที่ 21 มิ.ย. นำทีมโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาว นายพานทองแท้ บุตรชาย และแกนนำอีสานทุกคน โดยให้ใช้วิธีการเน้นการปราศรัยใหญ่ในพื้นที่

แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า ก่อนเลิกประชุม นายพายัพได้ขอร้องให้สส.อีสานลงไปช่วยหาเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน และได้ย้ำหลายครั้งว่าครั้งนี้แพ้ไม่ได้

ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ บุญศล อดีตสส.พรรคเพื่อไทยที่ได้ใบแดง กล่าวว่า นายเนวินจะส่งนายพิทักษ์ จันทะศร ซึ่งเป็นสจ.แข่งกับนางอนุรักษ์ บุญศล ภรรยาตัวเอง และทราบว่าภท. ได้เตรียมการเลือกตั้งไว้พร้อมแล้ว

ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกภท. กล่าวว่า พรรคจะส่งนายพิทักษ์ลงเลือกตั้งซ่อมสส.สกลนคร เขต 3 ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรต้องไปดูกันตอนนับคะแนน ส่วนที่ จ.ศรีสะเกษ พรรคไม่ส่งผู้สมัคร เพราะยังไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสม

นายศุภชัย กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 5–7 มิ.ย. พรรคได้จัดสัมมนาสส.ที่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร มีผู้เข้าร่วมกว่า 80 คน โดยจะใช้รูปแบบจัดกลุ่มย่อย พบปะประชาชนเพื่อนำมาสรุปร่วมกันจัดทำเป็นนโยบาย

“สส.ของพรรคทั้งหมดจะแยกย้ายไปนอน อยู่กินกับชาวบ้านเป็นเวลา 2 คืน 3 วัน ถือว่าเป็นการสร้างความใกล้ชิดกับประชาชน จากนั้นในวันสุดท้ายชาวบ้านจะได้ร่วมทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับสส. และจะทำพิธีมอบสนามกีฬาหมู่บ้าน ชื่อลานกีฬาภูมิใจไทย และในวันเดียวกันนั้นก็จะจัดงานฉลองวันเกิดให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคด้วย” นายศุภชัย กล่าว

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการตั้งชื่อพรรคว่า ยังอยู่ระหว่างการออกแบบโครงสร้างพรรค การวางนโยบาย เดินสายรับฟังความเห็น คาดว่าจะใช้เวลา 3 เดือน ส่วนหัวหน้าพรรคหรือชื่อพรรคนั้นยังไม่ได้ข้อยุติ

ด้านนายอนันต์ วงศ์ประภารัตน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลาง กล่าวว่า ยังไม่ได้เห็นคำพิพากษาคดีล้มละลายนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพธม. จึงยังไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่เท่าที่ทราบจากข่าวนาย สนธิได้รับการปลดจากเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อพ้นเวลา 3 ปี ซึ่งถ้าเป็นจริงก็เป็นไปได้ว่าคดีนายสนธิอาจไม่ใช่ล้มละลายเพราะทุจริต

ตั้งบอร์ดสกัดถลุงเงิน


โพสต์ ทูเดย์ - การเงิน - ตั้งบอร์ดสกัดถลุงเงิน
ครม.ไฟเขียวตั้ง “พนัส” นั่งหัวโต๊ะกรรมการเร่งรัดโครงการเอสพี 2 คุมจ่ายเงิน 1.43 ล้านล้านบาท

นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งนายพนัส สิมะเสถียร เป็นประธานคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินการโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี 2) วงเงินลงทุน 1.43 ล้านล้านบาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) เสนอ โดยมีโครงการที่มีความพร้อมในปีงบ ประมาณ 2553 จำนวน 1.063 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดนี้มีกรรมการ ประกอบด้วย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ นายพิสิฐ ลี้อาธรรม นายอัชพร จารุจินดา นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นายสันติ วิลาสศักดานนท์ นายดุสิต นนทะนาคร ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขา ธิการสศช. เป็นเลขานุการ

สำหรับอำนาจของคณะกรรม การชุดนี้จะติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการตามกำหนดระยะเวลา เพื่อกระจายเม็ดเงินออกสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ โดยให้รายงานตรงต่อครม. เป็นประจำทุกเดือน

รวมถึงให้คำแนะนำในการดำเนินโครงการของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ และสามารถเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูล

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า การรายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสแรกของสศช. ที่ติดลบถึง 7.1% สะท้อนให้เห็นว่า การออกพ.ร.ก. 4 แสนล้านบาท เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา หากดำเนินตามโครงการไทยเข้มแข็งได้ จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง

“หากฝ่ายค้านต้องการเสนอแนวคิดในการช่วยแก้ปัญหาก็สามารถเสนอได้ แต่ไม่ควรปัดแข้งปัดขาเพราะคนที่ได้รับผลกระทบ คือประชาชน” นายกรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ จะรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 3 มิ.ย. และจะเริ่มเดินหน้าโครงการทันที เพราะเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าใจถึงความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาล

แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม. เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือครม. งดเว้นการเดินทางไปดูงานในต่างประเทศในช่วงที่มีการเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 15-23 มิ.ย.นี้ เนื่องจากจะมีกฎหมายที่สำคัญหลายเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ได้แก่ พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท และเรื่องของการเงินการคลังอีก 2-3 เรื่อง


Monday, May 25, 2009

ผู้พิพากษาฟันธง"สนธิ"นั่งหน.พรรคไม่ได้

http://img507.imageshack.us/img507/6348/kom.jpg
ผู้พิพากษาฟันธง"สนธิ"นั่งหน.พรรคไม่ได้
คมชัดลึก :“ผู้พิพากษา” ยกข้อกฎหมายล้มละลาย ฟังธง “สนธิ” ขาดคุณสมบัตินั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค ชี้ต้องให้ศาลมีคำสั่งปลดจากการล้มละลายก่อน ขณะที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ต้องลงประกาศราชกิจจาฯ – นสพ.รายวัน อีกอย่างน้อย 1 ฉบับ ขณะที่ รธน. - พ.ร.บ.พรรคการเมือง บัญญัติ บุคคลล้มละลายต้องห้ามนั่ง หน.พรรค

จากกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)โดยแกนนำฯ จะขอฉันทามติของกลุ่มในการประชุมสภาพันธมิตรครั้งที่ 1 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ค่ำวันนี้ (25 พ.ค.) เพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง แล้วความเป็นไปได้ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พธม.จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคได้หรือไม่ เนื่องจากนายสนธิ เป็นบุคคลล้มละลายนั้น

แหล่งข่าวผู้พิพากษารายหนึ่ง กล่าวว่า บุคคลใดจะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองได้หรือไม่ ก็ต้องมีคุณสมบัติที่ไม่ขัดที่ พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 บัญญัติไว้ ซึ่งหากกฎหมายบัญญัติห้ามบุคคลซึ่งศาลมีคำสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง บุคคลนั้นก็ไม่สามารถดำเนินการใด

ขณะที่การจะสิ้นสุดสภาพล้มละลายนั้นไม่มีการกำหนดระยะเวลาว่าจะกี่ปี แต่ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2547 มาตรา 135 บัญญัติเกี่ยวกับการยกเลิกล้มละลายไว้ว่า ให้ศาลเป็นผู้มีอำนาจสั่งยกเลิกล้มละลายได้ โดยที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งหมายถึงตัวความก็ได้ หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (จพท.) ยื่นคำขอต่อศาลให้มีคำสั่งปลดบุคคลล้มละลายจากการล้มละลาย ซึ่งเหตุที่จะขอยกเลิกการล้มลาย ก็ต้องเป็นไปตามที่มาตรา 135 บัญญัติไว้ใน (1) ว่า เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจดำเนินการให้ได้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ (2) ลูกหนี้ไม่ควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย (3) หนี้สินของบุคคลล้มละลายได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว (4) เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีทรัพย์สินจะแบ่งให้กับเจ้าหนี้แล้ว โดยเมื่อศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ยังมีหน้าที่ต้องโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา และในหนังสือพิมพ์รายวันอีกไม่น้อยกว่า 1 ฉบับ ตามที่บัญญัติใน มาตรา 138

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 11 บัญญัติว่า คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ประกอบด้วย หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รองเลขาธิการพรรค เหรัญญิก นายทะเบียนสมาชิกพรรค โฆษกพรรค และกรรมการบริหารอื่น ซึ่งต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102 (1) – (7) และ (13) – (14) ซึ่ง รธน. ปี 2550 มาตรา 102 บัญญัติว่า บุคคลที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส. (1) ติดยาเสพติด (2) เป็นบุคคลล้มละลาย หรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (3) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. (4) ต้องคำพิพากษาจำคุก หรือถูกคุมขังโดยหมายของศาล (5) เคยต้องพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง (6) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (7) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ (13) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ (14) เคยถูกวุฒิสภา มีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับลักษณะบุคคลล้มละลายทุจริต ตาม รธน. มาตรา 102 (2) บัญญัติต้องห้ามนั้น ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 6 นิยามความหมายไว้ว่าคือบุคคลล้มละลายที่ศาลมีคำพิพากษาว่ามีความผิดตามมาตรา 163 -170 ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย (ความผิดเกี่ยวกับละเว้นการแจ้งข้อความเกี่ยวกับทรัพย์สินต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และการฉ้อฉลเสนอให้ผลประโยชน์ให้เจ้าหนี้ เพื่อประโยชน์ขอประนอมหนี้ และคัดค้านการปลดจากการล้มละลาย) หรือเป็นบุคคลล้มละลายเนื่องจากการกระทำผิดฐานยักยอก หรือฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดลักษณะการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน

"ธานี"ย้ำคดียิง"สนธิ"เสร็จก่อนเกษียณ4เดือน


"ธานี"ย้ำคดียิง"สนธิ"เสร็จก่อนเกษียณ4เดือน
คมชัดลึก : "ธานี"ย้ำคดียิง"สนธิ"เสร็จก่อนเกษียณราชการ 4 เดือนแน่นอน ยันยังไม่ออกหมายจับใคร รอหลักฐานหนาแน่นก่อน พร้อมเรียกประชุมสอบคดี"7ต.ค."

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. และพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิไตย ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีโดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง

พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังประชุมว่า การประชุมในวันนี้เป็นการให้ชุดทำงานรายงานผลการสืบสวนสอบสวนว่าดำเนินไปได้แค่ไหน เนื่องจากขณะนี้ยังรวบรวมพยานหลักฐานได้ไม่ครบก็ได้สั่งการให้ไปดำเนินการต่อและรายงานผลในอีก 7 วัน และยืนยันว่ายังไม่มีการออกหมายจับใคร ต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้แน่นอนจริงๆ ก่อน ส่วนที่ขาดคือหลักฐานในที่เกิดเหตุ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวชุดทำงานไม่สามารถทำคดีให้คืบหน้าได้เนื่องจากเจอตอ พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า อะไรคือตอ การประชุมวันนี้ก็เน้นย้ำชุดทำงานว่าอย่าไปฟังข่าวลือ เพราะมีทั้งจริงและไม่จริง ตำรวจต้องทำงานแม้มีอุปสรรคอะไรก็ตาม

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับคนมีสีหรือไม่ พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า เวลาคนธรรมดาลงมือ ตำรวจทำงานไม่ยาก แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าแสดงว่าคดีเกี่ยวข้องกับคนมีสี พล.ต.อ.ธานี ก็ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

“เร็วๆ นี้คดีคงไม่ยังไม่เสร็จ แต่ตำรวจก็พยายามอย่างเต็มที่ในการทำงาน เนื่องจากเวลานับตั้งแต่เกิดคดีประมาณ 1 เดือนก็ถือว่านานแล้ว ส่วนเบาะแสกลุ่มมือปืนต้องดูชัดเจนก่อนว่าเป็นกลุ่มใด การขออนุมัติหมายจับต้องดำเนินการอย่างรัดกุม ถ้ามีพยานหลักฐานเพียงพอก็จะจับกุม พร้อมยืนยันเหมือนเดิมว่าจะทำคดีให้เสร็จภายใน 4 เดือนก่อนเกษียณแน่นอน” พล.ต.อ.ธานี กล่าว

"ธานี"เรียกประชุมสอบคดี"7ต.ค."

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 25 พฤษภาคม พล.ต.อ.ธานี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มีคำสั่งให้เปลี่ยนหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จาก พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นพล.ต.อ.ธานี ว่า คดีนี้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสืบสวนจนมาถึงตนเป็นคนที่ 4 แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็มีคดีสำคัญๆ ที่รับผิดชอบอยู่หลายคดี แต่เมื่อมีคำสั่งมาต้องต้องทำตาม

พล.ต.อ.ธานี กล่าวอีกว่า ส่วนรายละเอียดของคดีขณะนี้ยังไม่ทราบ เนื่องจากยังไม่ได้เรียกประชุมพนักงานสืบสวนสอบสวน เพราะเพิ่งได้รับคำสั่งเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แต่ก็เรียกประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีในวันพุธที่ 27 พฤษภาคม นี้


นายกอภิสิทธิ์ - การ์ตูน ขาประจำ - โดยขวด เดลินิวส์

การ์ตูน - ขาประจำ - โดยขวด เดลินิวส์

การ์ตูน - ขาประจำ

การ์ตูน - ขาประจำ

พรรคพันธมิตรฯตั้งง่ายแล้วยังไงต่อ

Daily News Online : Variety
พรรคพันธมิตรฯตั้งง่ายแล้วยังไงต่อ
เชื่อเหลือเกินว่าหลังการประชุมสภาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันที่ 24-25 พ.ค.ผ่านไป การเมืองไทยจะมีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่ 1 พรรค ส่วนจะใช้ชื่อว่าพรรคพันธมิตรฯ พรรคเทียนแห่งธรรม หรือพรรคการเมืองใหม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากันในอนาคต

ช่วงหนึ่งในการประชุมสภาพันธ มิตรฯ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีว่า “193 วันคือประวัติศาสตร์ของเรา พรรคอื่นมีประวัติศาสตร์หรือไม่ ประชาธิปัตย์เป็นที่รวมกลุ่มอำมาตยกิจที่จะปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง ส่วนพรรคอื่นก็รวมตัวกันของนักเลือกตั้ง ซื้อ ส.ส. กันคนละ 50 ล้าน ส่วน นายบรรหาร ศิลปอาชา มีประวัติตรงไหน พรรคเพื่อไทย มีประวัติศาสตร์ตรงไหน ของเรา มีครบทุกรูปแบบทั้งอุปสรรค อุดมการณ์ ซึ่งพี่น้องต้องรู้ว่าเรากำลังเดินก้าวแรก และต้องผ่านภูเขา แม่น้ำ หุบเหว เราต้องไม่ท้อที่สำคัญต้องมีศรัทธาว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง โดยมีธรรมะและพุทโธนำหน้า”

ขณะที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรฯ สรุปผลการหารือที่นำไปขอมติใน 3 เรื่องคือ 1.จะร่วมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190, 237 และมาตรา 309 และมาตราใด ๆ ที่กระทบต่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ 2.จะสร้างการเมืองใหม่ ด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาต่อสู้ไปพร้อม ๆ กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในฐานะการเมืองภาคประชาชน 3.จะมอบหมายให้ 5 แกนนำ รับเอาเจตนารมณ์ของที่ประชุมพันธมิตรฯ ไปพิจารณาออกแบบและจัดโครงสร้างของพรรคแล้วนำมาขอความเห็นชอบจากพี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่ง

จริงอยู่การตั้งพรรคการเมืองนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การดำรงอยู่ไม่ให้เป็นพรรคเฉพาะกิจนั้นเป็นเรื่อง “ยาก” ในบรรดาทั้ง 6 คนรวมถึงนายสุริยะใส ดูเหมือนจะมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เท่านั้นที่เคยผ่านเวทีการเลือกตั้งในนามพรรคพลังธรรมมาก่อน

พรรคพลังธรรมเคยขึ้นจุดสูงสุดและลงต่ำสุดเช่นกัน ถ้าจำได้ “จุดที่แข็ง” ที่สุดของพรรคพลังธรรม คือ “ความสะอาด” และตัว พล.ต.จำลอง เจ้าของฉายา “มหา 5 ขัน” ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรค

จึงเชื่อว่า “ประสบการณ์” ของ พล.ต. จำลอง จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพรรคพันธมิตรฯ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ แล้วบทบาทของ “เอเอสทีวี” จะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นส่วนหนึ่งของพรรคพันธมิตรฯ เหมือนอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่

ยังอีกไกลที่จะประเมินว่าพรรคพันธมิตรฯ จะมีใครเป็นหัวหน้าพรรค จะเป็น นายสนธิ หรือ พล.ต.จำลอง จะประสบความสำเร็จคือสามารถเปลี่ยนการเมืองไทยให้เป็นการเมืองใหม่ได้หรือไม่

แต่แค่การ “กล้า” ที่จะตั้งพรรคการเมืองเพื่อให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในสังคมประชาธิปไตยก็ถือเป็นเรื่องที่ต้อง “ชื่นชม”

เป็น “ก้าวใหม่” ที่คงยืดเยื้อยาวนานกว่า 193 วันเป็นแน่.

Thursday, May 21, 2009

Flash Back - Thai Troops Arrest The Driver Of The Bus Battering Ram



YouTube - Thai Troops Arrest The Driver Of The Bus Battering Ram

YT - Reds riots Songkran Day | คำสั่งก่อจลาจลคนเสื้อแดง

โปรดใช้วิจารณญานในการชม

รับเว็บหมิ่น-นมรร.-โกงข้าว เป็นคดีพิเศษ


โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - รับเว็บหมิ่น-นมรร.-โกงข้าว"คดีพิเศษ
มติ กคพ.รับ 8 เรื่อง เป็นคดีพิเศษ "เว็บหมิ่น-โรฮิงญา-นมโรงเรียน-โกงข้าว"

วันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยมีหน่วยงานจากกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีฯยุติธรรม , นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย , พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. , พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดี ดีเอสไอ

โดยที่ประชุมได้รับทราบการติดตามการดำเนินงานคดีพิเศษ จนถึงวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ดังนี้ 1. คดีพิเศษที่รับดำเนินการ จำนวน 517 คดี 2. คดีพิเศษที่ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 373 คดี และ 3. คดีพิเศษที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 144 คดี

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้รับคดีความผิดทางอาญาไว้เป็นคดีพิเศษที่จะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อีก 8 กรณี คือ

1. เรื่องการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามมาตรา 122 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซด์และการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ

2. คดีความผิดเกี่ยวกับการปลอมและใช้เอกสารสัญญาการค้าข้าวระหว่างประเทศปลอม เพื่อฉ้อโกงสถาบันการเงินในการขอวงเงินสินเชื่อเพื่อการส่งออก

3. กรณีนายการิม (ปกปิดนามสกุล) กับพวก เป็นนายหน้าหรือตัวกลางร่วมกันจัดทำบัตรบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนโดยมิชอบด้วยกฎหมายให้กับชนเผ่าโรฮิงญาและคนต่างด้าวอื่น ในเขตพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์

4. การพิจารณาคดีความผิดทางอาญาอื่นเรื่องการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐของสำนักงานชลประทาน จ.สุพรรณบุรี

5. การทุจริตนมโรงเรียน ตามโครงการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน

6. การทุจริตในการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี พ.ศ. 2551/2552

7. กรณีกรมสรรพากรร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญากับบริษัมรอยัล คาร์โก เอ็กซ์เพรส จำกัด กรณีมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรเพื่อจัดเก็บเป็นรายได้ของรัฐ อันเป็นความผิดตามมาตรา 37 และ มาตรา 90/4 ( 6 ) แห่งประมวลรัษฎากร และ

8. กรณีการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนที่ อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ

สส.ศรีสะเกษ ปชร. ยื่นลาออก


โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - งง!สส.ศรีสะเกษ ปชร. ยื่นลาออก
สส.ศรีสะเกษ ประชาราช ทำงง!ทั้งสภา ยื่นหนังสือลาออก อ้าง ดูแลพื้นที่ไม่ทั่วถึง มีผลทันทีวันนี้

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้ายก่อนปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม โดยนายชัย แจ้งว่า นายสุตา พรหมดวง ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคประชาราช ได้ยื่นใบลาออกจาก ส.ส.เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นี้ ส่งผลให้หมดสมาชิกภาพทันที และยังแจ้งว่า ขณะนี้มี ส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งสิ้น 470 คน

ทั้งนี้ ในหนังสือที่นายสุตา แจ้งลาออกจากการเป็นส.ส.นั้น ระบุเพียงว่า ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ได้ครอบคลุมพื้นที่ของตนเองได้

Wednesday, May 20, 2009

5 เดือนฝนสะสม 500 มม. กทม.รับมากสุดรอบ 30 ปี


หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหาร กทม.ไปแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการรับมือน้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร กับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงพื้นที่ฝั่งตะวันตก (ฝั่งธนบุรี) ซึ่งมีเพียงคลองสนามไชย-มหาชัย เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นพื้นที่รับน้ำ (แก้มลิง) ขณะที่พื้นที่ฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่เป็นคลองที่ขวางทางน้ำไหล จึงอาจต้องมีการปรับปรุงการระบายน้ำทั้งระบบ แต่ต้องหารือร่วมกับ จ.สมุทรปราการ และ จ.สมุทรสาคร

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ จะมีฝนตกหนัก ขณะนี้ กทม.ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกรมชลประทาน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯด้วย ทั้งนี้ กทม.ได้รับรายงานปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 500 มิลลิเมตร ขณะที่ในรอบ 30 ปีของช่วงเดียวกัน มีปริมาณฝนสะสมเพียง 200 มิลลิเมตร เท่านั้น ส่วนตลอดทั้งปีมีฝนเฉลี่ย 1,100-1,200 มิลลิเมตร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ตรวจสอบเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการชำรุดหรือไม่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการทรุดพังประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณคลองบางกอกน้อย ซึ่งได้ส่งผลกระทบให้น้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึมเข้าบ้านเรือนประชาชน จึงสั่งการให้แก้ไขไปพร้อมกับเร่งก่อสร้างเขื่อนอีก 7 กิโลเมตรที่เหลือ คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2553

ครม.ตีกลับ"รถเมล์เช่า4พันคัน ให้ปรับลด"ค่าซ่อม-ดอกเบี้ย" กำหนดประกอบในไทยอย่างน้อย70%


หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ : หนังสือพิมพ์คุณภาพ เพื่อคุณภาพของประเทศ
ครม.ตีกลับ"รถเมล์เช่า4พันคัน ให้ปรับลด"ค่าซ่อม-ดอกเบี้ย" กำหนดประกอบในไทยอย่างน้อย70%

คณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อเสนอเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน โดยให้กลับไปพิจารณาปรับลด "ค่าซ่อม-ดอกเบี้ย" แล้วนำเสนอครม.อีกครั้ง พร้อมกำหนดต้องประกอบในไทยอย่างน้อย 70 %

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. ที่อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ว่า ครม.ได้พิจารณาโครงการจัดหารถเมล์เช่าเอ็นจีวี 4,000 คันของกระทรวงคมนาคม ซึ่งรัฐบาลมีหลักการที่สามารถดำเนินการได้คือ 1.จะต้องมีการประกอบในประเทศไทย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 2.ให้พิจารณาเรื่องการปรับลดตัวเลขต่างๆ ตามที่คณะทำงานของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการเอาไว้ก่อนหน้านี้ หากเห็นว่าตัวเลขมีปัญหาในเรื่องใดก็ตาม กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนที่จะเสนอกลับเข้ามาให้ ครม.พิจารณาอีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าวันนี้เป็นเรื่องที่ให้ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปพิจารณาในเรื่องของตัวเลข เพราะกระทรรวงคมนาคมยังมีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกับคณะทำงานของพล.ต.สนั่น ในตัวเขบางส่วนซึ่งครม.ได้ให้นำกลับไปดูให้เรียบร้อย เช่น ตัวเลขการคำนวนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าซ่อมรถ เมื่อถามว่า เกี่ยวกับราคาเช่ารถหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ราคาเช่ารถได้ปรับลงมา ขณะนี้ทุกอย่างปรับลงมาหมดมี 2 รายการ คือค่าซ่อมรถกับดอกเบี้ยที่ครม.ขอให้กลับไปทบทวน และเป็นหน้าที่ของ ครม. ในการพิจารณาทุกเรื่องที่เข้ามาเพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุม ก็เป็นธรรมดาไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีครม.

เมื่อถามว่า นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม มีความเห็นใน ครม.อย่างไรที่ให้นำกลับไปทบทวน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็เข้าใจดี เพราะท่านก็บอกว่าเรื่องนี้มันมีเรื่องที่ส่งไปที่รองนายกฯสนั่นและก็มีการปรับลดตัวเลข ในการปรับลดตัวเลขนั้นท่านก็บอกว่าทางขสมก.ติดใจมาตั้งแต่ต้นว่ามันปรับได้ตามนั้นจริงหรือไม่ เมื่อเสนอมาครม.ก็บอกเมื่อไม่สามารถทำได้และไม่มีความชัดเจนก็ให้กลับไปดูร่วมกันทางกระทรวงก็ไม่ติดใจอะไร”

ทางด้านนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ครม.ได้ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อไปพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับค่าซ่อมโดยตนเองจะเรียกประชุมหารือกับกรรมการภายในวันพฤหัสบดีที่ 21พฤษภาคม

“เราใส่ตัวเลขรายละเอียดไปค่อนข้างเยอะ เพื่อให้มีความโปร่งใสมากที่สุด แต่ครม.ชุดนี้ไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน เลยมีการสอบถามและต้องอธิบายกันค่อนข้างมาก ซึ่งบางครั้งการอธิบายก็ไม่ครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมด และยินดีให้ทุกฝ่ายตรวจสอบว่ามีการดำเนินการอย่างโปร่งใสจริง ๆ”

นายโสภณกล่าวว่า สำหรับตัวเลขค่าซ่อมที่มีการนำเสนอนั้นอยู่ที่ประมาณ 7.50 บาทต่อกิโลเมตรต่อคัน และเมื่อนำมารวมระยะทางแล้วทำให้ตัวเลขค่าซ่อมอยู่ที่ 2,250 บาทต่อคันต่อวัน สูงกว่าค่าเช่าตัวรถ ค่าเช่าอยู่ที่ 2,195 บาท ทำให้ค่าเช่าและค่าซ่อมโดยรวมอยู่ที่ 4,445 บาทต่อคันต่อวันทำให้มีการสงสัย

“มีการนำตัวเลขการศึกษาเก่าของสถาบนพระปกเกล้าที่เคยศึกษาว่าค่าซ่อมจะอยู่ที่ 4.50 บาทต่อคันต่อกิโลเมตร ทำให้มีการสอบถามเรื่องนี้ แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ค่าซ่อมเฉลี่ยของขสมก.ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.60 บาทต่อกิโลเมตรต่อคัน”

ขรก.รับใช้การเมือง-บทเรียนที่ต้องจดจำ !!


Politics - Manager Online

ขรก.รับใช้การเมือง-บทเรียนที่ต้องจดจำ !!
มติล่าสุดของคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงการคลังที่ไล่ออก ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล จากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง เนื่องจากกระทำผิดวินัยร้ายแรง ทำให้ต้องปิดฉากชีวิตราชการอย่างเจ็บปวดที่สุด

จากบทลงโทษดังกล่าวยังส่งผลให้ไม่ได้รับบำนาญอีกด้วย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเป็น “ตราบาป” ที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตสำหรับอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ไต่เต้ามาจนถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง มีเส้นทางที่เคยรุ่งโรจน์แล้วพลิกผันหักมุมอย่างน่าเศร้า

หากสอบถามจากทุกวงการไม่มีใครไม่ยอมรับ ปลัดกระทรวงการคลังคนนี้ เพราะเมื่อพลิกดูประวัติการเรียน การทำงาน ถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ในระดับเกรดเอหาคนมาเทียบเทียมยาก

เริ่มจากประวัติการศึกษา แม้ว่าเรียนหนังสือชั้นประถมโรงเรียนวัดธรรมดาในจังหวัดอุทัยธานี เป็นเด็กบ้านนอกที่น่าภาคภูมิใจ เป็นลูกชาวบ้านคนหนึ่งที่หัวดี จากนั้นก็ได้รับทุน ก.พ. ไปศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เมื่อกลับมาก็เข้ารับราชการและไต่เต้าก้าวหน้ามาเรื่อยๆ อาทิ ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กรมสรรพากรในปี 2532 จนกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมสรรพากรในปี 2543 และปี 2547 เป็นปลัดกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ดีการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญของ ศุภรัตน์ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขามีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอำนาจการเมือง โดยเฉพาะอำนาจของ “ระบอบทักษิณ” ซึ่งแม้ว่าหากจะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ดังกล่าวจะออกมาในลักษณะ “รับใช้” มากกว่า

หากจะชี้ให้เห็นก็จะเริ่มตั้งแต่ในยุคที่ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสรรพากรเรื่อยมา ซึ่งความผิดที่ถูกระบุเอาไว้ก็เป็นความผิดจากการแต่งตั้งระดับรองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คน และเกี่ยวโยงกับกรณีความผิดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีของครอบครัว ชินวัตร-ดามาพงษ์ ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร และ พจมาน ณ ป้อมเพชร(ดามาพงษ์)

ขณะเดียวกันถ้ามองอีกมุมหนึ่งจะสังเกตเห็นว่าในยุคนั้นซึ่งเป็นยุคที่ นช.ทักษิณ เรืองอำนาจ ใหญ่คับฟ้า “ชี้นกเป็นไม้” คงไม่มีใครคิดว่าจะมีชะตากรรมเช่นวันนี้ ต้องถูกศาลตัดสินจำคุก ต้องหลบหนีหมายจับ ระเหเร่ร่อนในต่างแดน

นอกจากนี้เมื่อกล่าวถึงข้าราชการที่รับใช้อำนาจการเมืองอย่างสุดลิ่ม เพื่อแลกกับตำแหน่งแห่งที่แล้วในที่สุดก็มีชะตากรรมที่น่ารัดทด ยังมีปรากฏให้เห็นตัวอย่างรายอื่น เช่น กรณีของ “3 หนา” กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในยุค พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ปริญญา นาคฉัตรีย์ และวีระชัย แนวบุญเนียน ที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนสั่งจำคุก คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ยอมรับใช้ถวายชีวิตกับอำนาจการเมืองในยุคนั้นที่คิดว่าจะไม่มีวันล่มสลาย ยอมแม้กระทั่งช่วยกันปกปิดและทุจริตการเลือกตั้งเพื่อช่วยเหลือให้พรรคไทยรักไทยในอดีตได้รับชัยชนะ

ทำทุกทางโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และที่สำคัญตัวเองยังถือว่าเป็นผู้รักษากฎหมายต้องดำรงความยุติธรรมอย่างเคร่งครัด แต่มาทำผิดเสียเอง

และกรณีล่าสุดจะเป็นเพราะเห็นบทเรียนในอดีตหรือกรรมเก่ากำลังตามมาทันบรรดาข้าราชการที่รับใช้การเมืองหรือเปล่าหรือไม่ หรือบังเอิญมาสอดคล้องต้องกัน อย่างกรณีของ ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) พิเณศวร์ พัวพัฒนกุล ที่ได้ยื่นหนังสือลาป่วยยาว เป็นเวลาถึง 1 เดือนเต็ม

บังเอิญว่าการลาป่วยของผู้อำนวยการ ขสมก.ครั้งนี้เป็นช่วงที่โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน มูลค่าร่วม 7 หมื่นล้านบาท กำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอยู่พอดี และในฐานะผู้บริหารองค์กรต้องมีหน้าที่ชี้แจงและต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย

ซึ่งโครงการดังกล่าวในวงการรู้กันทั่วว่าเป็นการผลักดันจากฝ่ายการเมือง และมีข้อพิรุธในเรื่องผลประโยชน์อย่างมาหาศาล มีเสียงคัดค้านกันดังระงม

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากกรณีของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่องค์กรอิสระอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างของ “สามหนา” หรือ ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ที่ต้องปิดฉากอย่างน่าเศร้า ขณะเดียวกันยังเป็นบทเรียนสอนใจให้กับบรรดาข้าราชการในยุคปัจจุบันและอนาคตให้ยับยั้งชั่งใจได้ว่า การรับใช้อำนาจการเมืองโดยมิชอบ ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ผิด จะต้องประสบกับชะตากรรมเยี่ยงไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะโฟกัสไปยังหน่วยงานสำคัญ อย่างเช่น ตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ที่กำลังวิ่งเต้นฝ่ายการเมืองกันอย่างฝุ่นตลบอยู่ในเวลานี้ ก็น่าจะตั้งสติหยุดคิดได้บ้างว่าควรจะวางตัวให้เหมาะสมอย่างไร

เพราะเชื่อว่ากรณีของ ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ไม่น่าจะเป็นรายสุดท้าย !!

กทม.ทุ่ม 700 ล้านบาท ติดลิฟต์ BTS ทุกสถานี ช่วยคนพิการ


กทม.ลงทุนกว่า 700 ล้าน ทำลิฟต์ติดบีทีเอสครบทุกสถานีอำนวยความสะดวกให้คนพิการ “สุขุมพันธุ์” ยอมรับนโยบายคนพิการไม่คืบ ติดเรื่องงบประมาณ

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการด้านการเดินทาง ว่า ตนได้มีนโยบายไปยังสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) ให้มีโครงการร่วมกับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในการติดตั้งลิฟต์โดยสารสำหรับบริการคนพิการที่มีความประสงค์จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส เบื้องต้นให้ติดตั้งลิฟต์เพิ่มเติมให้ครบทุกสถานีจากเดิมที่มีลิฟต์โดยสารไว้ให้บริการแล้ว 7 สถานี ได้แก่ สถานีหมอชิต สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีนานา สถานีอ่อนนุช สถานีช่องนนทรี สถานีกรุงธนบุรี และสถานีวงเวียนใหญ่

เบื้องต้นนั้นสรุปว่า จะติดตั้งลิฟต์โดยสารทั้งหมด 56 ตัว งบประมาณกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของงบประมาณนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา กทม.ในสัปดาห์นี้เพื่อให้ความเห็นชอบและอนุมัติ จากนั้นทาง สจส.ก็จะมีการออกแบบรายละเอียด ซึ่งคาดว่า ภายในปี 2554 นั้น จะติดตั้งให้ครบทุกสถานี โดยปี 2552 จะดำเนินงานติดตั้งในสถานีที่คาดว่ามีพื้นที่และทำได้ง่ายก่อน 10 ตัว ปี 2553 ติดตั้ง 20 ตัว และปี 2554 ติดตั้ง 26 ตัว ส่วนการดำเนินสร้างอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการ ตนยืนยันว่าอยู่ในการพิจารณา อาทิ การติดตั้งสัญญาณไฟพูดได้ ไว้ตามทางแยก ทางข้าม เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาสามารถใช้บริการได้, การทำทางเท้าพื้นลาดสำหรับคนพิการ

ม.ร.ว.สขุมพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ในการดำเนินการนโยบายที่เกี่ยวกับคนพิการยอมรับว่าไม่ใช่งานที่ง่าย ส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องของงบประมาณ ซึ่งการที่จะกำหนดโครงการและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อขอความร่วมมือ หรือของบประมาณนั้นคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นกทม.ต้องหาจังหวะที่เหมาะสมดำเนินโครงการด้วยตัวเอง อาทิ การปรับปรุงทางเท้า หากพื้นที่ใดที่ต้องซ่อมแซมก็จะคำนึงการอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ ด้วย

บทเรียนการใช้ชาติ"ภักดีนักการเมือง" - เปลว สีเงิน




บทเรียนการใช้ชาติ"ภักดีนักการเมือง" | ไทยโพสต์
นี่ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่า "นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล" เป็นปลัดกระทรวงการคลัง และใครบอกว่าเป็นน้องชาย "นายธนินท์ เจียรวนนท์" เจ้าสัวซีพี ผมก็ต้องเชื่อสนิท เพราะท่านทั้ง ๒ หน้าตาประพิมพ์ประพายกันมากเหลือเกิน เพียงแต่คิ้ว-โหนกแก้ม-ประกายตา และสีผิวของใบหน้าคนละราศีกันเท่านั้น แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้วิถีและเส้นทางเดินชีวิตของคนทั้งสองเข้าลักษณะ "คนละฝั่งถนน" ได้แล้ว!

แต่ถนนหนทางเดี๋ยวนี้เอาแน่ไม่ได้ เห็นคนละสาย คนละทิศอย่างนั้นเถอะ ตัดไป-ตัดมา อ้าว...ไปเชื่อมเป็นทางร่วมกันเสียแล้ว อย่างวันก่อนผมไปบางใหญ่ จะไปสุพรรณฯ ขับไป-ขับมา...หลง คนอื่นขับน่ะครับ ผมขับเป็นแต่เครื่องบิน จึงนั่งเฉยๆ แต่ดันไปโผล่เอาเพชรเกษมโน่น

นี่ก็เหมือนกัน เผลอๆ นายธนินท์กับนายศุภรัตน์อาจเป็นอย่างนั้นบ้างก็ได้ เพราะตอนนี้นายศุภรัตน์ก็ถือว่าเป็น "อดีตข้าราชการตกงาน" หลังจากที่ อ.ก.พ.กระทรวงคลังมีมติ "ไล่ออก" ไปแล้ววานนี้ (๑๘ พ.ค.๕๒)

ก็เป็นการไล่ออกตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดร้ายแรงทั้งทางวินัยและอาญา ฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร ๔ คน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อหลายปีก่อนโน้น นอกจากถูกไล่ออกแล้ว ยังจะไม่ได้รับบำเหน็จ-บำนาญใดๆ อีกด้วย!

ผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตานายศุภรัตน์ในสภาพ "ตัวเป็นๆ" มาก่อน เห็นแต่ทางโทรทัศน์ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่พูดจากใจจริง ก็ไม่รู้ซีนะ....เห็นหน้านายศุภรัตน์ทีไร วูบแรกของความรู้สึกที่บอกกับตัวเองคือ..

คนคนนี้น่าสงซ้าน..น่าสงสาร!?

ไม่ใช่เพิ่งมาสงสารเอาตอนนี้นะครับ สงสารตั้งแต่รัศมีความรุ่งโรจน์จับ คือเมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นรัฐมนตรีคลัง ในปี ๒๕๔๔ อธิบดีกรมสรรพากรที่ชื่อ "ศุภรัตน์" คนนี้ ฝีมือและความสามารถก็ "เข้าตา" ทั้งทักษิณและสมคิดทันที

ถึงขนาดนายสมคิดเจอหน้าใครที่ไหนเป็นต้องออกปากว่า "มีศุภรัตน์ช่วยทำงานซะคน ผมนอนตาหลับ ไม่ห่วงงานอะไรอีกแล้วในกระทรวงคลัง"!?

แรกๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า "ศุภรัตน์" ที่รัฐมนตรีสมคิดพูดถึงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่หลังจากเป็นอธิบดีกรมสรรพากรขวัญใจของ "ทักษิณ-สมคิด" นายศุภรัตน์ก็มีบทบาทเป็น "พระเอกหนังข่าว" เผยโฉมทางโทรทัศน์จนเป็นที่คุ้นหน้า-คุ้นตาชาวบ้านทั่วไป

และก็ตั้งแต่นั้นแหละ ผมเห็นหน้าขาวอมซีด ตาซ่อนแววเศร้าซับซ้อนของท่านทางโทรทัศน์ทีไร ความสงสารก็เกิดขึ้นเองบนฐานความรู้สึกที่ผุดขึ้นว่า

"อืมมมม...หน้าตาคนนี้ โดดเดี่ยว-อมทุกข์" จริงหนอ ทำงานอาสาจนตัวตาย "ขายชีวิต" ให้เขาได้ แต่ถึงคราวตัวเองต้องตายจริงๆ จะเหลียวไปทางไหน ก็หาใครช่วยได้ยาก"!

ก็อย่าไปคิดน้อยใจใครเลยครับ ทั้งกรรมที่เราสร้างลิขิต และทั้งวาสนาแต่ปางบรรพ์ มันถูกกำหนดเป็น "ชะตาหักเห-ด้วยอาภัพ" ขีดไว้เป็นลายแทงบนใบหน้ามาแต่กำเนิดแล้ว ถึงรู้-ไม่รู้ เราก็ต้องเดินไป ทำไงได้ล่ะ...เนอะ!

ก็ขอเอาใจช่วยครับ ปลัดศุภรัตน์...ท่านเป็นอันที่รักของข้าราชการกระทรวงคลังและผู้ได้สัมผัสการทำงานร่วมกันกับท่านทุกคน ครอบครัวท่าน ตระกูลท่าน จงภูมิใจเถิดว่า "ท่านปลัดศุภรัตน์ผู้นี้ สว่างมา-สว่างไป" มิได้มืดมนในบั้นปลายตามนิยามความหมายแห่งการถูกไล่ออกจากราชการ

นั่นเป็นวิบากแห่งกรรม ซึ่งแต่ละคนก็มีแตกต่างกันไป ทั้งโลก และมนุษย์ต่างรู้เต็มหัวใจว่า ครั้งนี้ ท่าน "ปลัดศุภรัตน์" ใช้กรรมที่ตัวเองถูกคนอื่นยืมมือก่อโดยแท้!

ขอให้คุณงามความดีที่ท่านขยันหมั่นเพียร ตั้งอก-ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองด้วยสุจริตเป็นที่ตั้งมาช้านาน จนทุกคนออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่า "เสียดายท่านปลัดศุภรัตน์" ที่ต้องมาพลาดพลั้งเพราะ "ทำตามใบสั่งการเมือง" ด้วยซื่อเพียงครั้งเดียว โดยที่ตัวเองเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่สุดท้ายแล้วต้องเอา "กระดูกมาแขวนคอ" เช่นนี้

ก็ขอให้คำอุทธรณ์ต่อ "คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม" จงมีผล ผ่อนหนัก-เป็นเบาเถิด เพราะคนอย่างท่านยังมีคุณค่าและความหมาย และทั้งชีวิตบั้นปลาย ท่านยังต้องนำ "ความหมาย" ในชีวิตท่านมาทำงานรับใช้ให้เป็นประโยชน์บ้านเมืองอันเป็นส่วนรวมอีก!

เอาเถอะ ใครจะคิดอย่างไรต่อท่านในกรณีนี้ก็ช่าง แต่ท่านโปรดทราบเถอะว่า อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งละที่เข้าใจ คนชื่อศุภรัตน์ ควัฒน์กุล "ไม่เป็นอย่างที่บางคนคิดว่าเป็น"

อืมมมม...พูดถึง "ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล" ปลัดกระทรวงการคลังแล้ว อดนึกถึงอีกปลัดหนึ่งไม่ได้ คือ "ปลัดกระทรวงสาธารณสุข" นามว่า "ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์"

อนาคตของท่านจะมีจุดจบทางราชการ "ก่อนเกษียณ" เหมือนปลัดศุภรัตน์ หรือจะอยู่ไปจนมีจุดจบทางราชการ "หลังเกษียณ" เหมือนคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ยากบอกได้?

ก็ขึ้นอยู่กับมิติของเจ้ากระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบัน "นายวิทยา แก้วภราดัย" ว่าจะบริหารเรื่องราวที่เป็นคดีความทุจริตคอรัปชั่นในกระทรวงด้วยมาตรฐานแบบไหน เพราะผมจำได้ว่า เมื่อต้นปี "สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน" ทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีอาญากับ "นายปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์" ปลัดสาธารณสุข และคนอื่นๆ อีกหลายคน

ในข้อหา "จัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินโดยวิธีพิเศษ" จนเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๔๒!

โน่นแน่ะ เรื่องตั้งแต่ปี ๔๗-๔๘ เริ่มในยุคเจ้ากระทรวงนายหญิงส่งมา ทั้งล็อก ทั้งรื้อสเปก ทั้งประมูล ทั้งล้มประมูล นัวเนียกันถึง ๘-๙ ครั้ง จนครั้งสุดท้าย คงด้วยปาฏิหาริย์แห่งนายหญิงนั่นแหละ ข้าราชการประจำพร้อมคณะกรรมการจัดซื้อจึงทำให้เสร็จสมอารมณ์หมายด้วยคำว่า "จัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินด้วยวิธีพิเศษ"

ฉุกเฉินไปด้วยวงเงินตั้ง ๓๐๐-๔๐๐ ล้าน สำหรับรถพยาบาลฉุกเฉิน ๒๐๐ กว่าคัน ที่ สตง.ตรวจแล้วชี้มูลความผิดว่า

"มีความพยายามในการปรับปรุงคุณลักษณะเฉพาะเพื่อให้เอื้อต่อบริษัทที่เข้าประกวดราคาได้เพียงบริษัทเดียว ถือเป็นการไม่เปิดให้มีการแข่งขันอย่างป็นธรรม และการปรับลดคุณลักษณะเฉพาะ จนถึงลงมติให้มีการจัดซื้อนั้น มีการดำเนินการอย่างรีบร้อนและรวบรัด โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๓ วันเท่านั้น"

ท่านปลัดปราชญ์นี่แหละ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง หรือพูดตรงๆ ก็คือ เป็นหัวหน้าทำงานทุกสิ่งทุกอย่างนำไปสู่การจัดซื้อพิเศษนี้ และขณะนี้ทาง สตง.ทำหนังสือแจ้งให้ดำเนินคดีอาญาปลัดปราชญ์กับคณะไปแล้วตั้งแต่เดือนกุมภา แต่ก็เห็นเงียบจ๋อย ไม่เห็นนายวิทยา หรือนายกฯ จะเดินตามมาตรฐานที่เคยปฏิบัติต่อข้าราชการที่ถูกชี้มูลความผิดอาญาร้ายแรงแต่อย่างใด?

ผมเห็นไล่ออกนายศุภรัตน์ ก็เลยนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จะต่างกันตรงที่คดีนายศุภรัตน์ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีแล้วแจ้งมติให้เจ้ากระทรวงทราบ และ อ.ก.พ.ลงมติให้ไล่ออกตามมติ ป.ป.ช. ส่วนรายของปลัดปราชญ์ เรื่องยังอยู่ในขั้นตอน ป.ป.ช. โดย สตง.ตรวจสอบ พบความผิดจึงแจ้งให้ตำรวจดำเนินคดีอาญาด้วย

ตามมาตรฐานระเบียบปฏิบัติ ในขั้นแรก เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ในระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น จะต้องย้ายปลัดฯ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้มายุ่งเหยิงพยาน-หลักฐาน เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วตามกำหนด ถ้าพบว่ามีมูลตามที่ สตง.แจ้ง ก็เข้าสู่กระบวนการกฎหมายขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าพบว่าไม่มีมูล ก็ย้ายเขากลับมาเป็นปลัดเหมือนเดิม

แต่นี่...รัฐมนตรีสาธารณสุข "นายวิทยา" ไม่ทำอะไรให้ปรากฏว่าเป็นการเอื้อเฟื้อต่อกฎระเบียบบ้านเมืองซักอย่าง และทั้งไม่ทำให้ปรากฏด้วยว่า เอาจริงเอาจังต่อการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการ การทำเป็นไม่รู้-ไม่ชี้อย่างนี้ ระวัง...จะเป็นบรรทัดฐานเลวทางบริหารที่รัฐมนตรีประชาธิปัตย์สร้างไว้ให้เป็นตัวอย่าง

หรือจะคิดว่า อีกไม่กี่เดือนปลัดปราชญ์ก็เกษียณแล้ว ทำเป็น (แกล้ง) ลืมๆ แล้วก็เลือนหายไปเอง ผมจะบอกให้ นอกจาก "ของหลวง" จะตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้แล้ว คดีความก็เหมือนกัน ใช่ว่าเกษียณแล้ว เรื่องคดีจะเกษียณตามไปด้วย ดูอย่างคุณหญิงทิพาวดีเห็นมั้ยล่ะ?

เรื่องก็ค้างคา มาตั้งแต่สมัยที่เป็นเลขาฯ ก.พ.จนกระทั่งไปเป็นรัฐมนตรีใหญ่โต ออกจากรัฐมนตรีไปเที่ยวรอบโลกสบายใจเฉิบ แล้วเมื่อตอนต้นปีนี้ กรรมเพิ่งมาส่งผล ป.ป.ช.มีมติให้พิจารณาโทษทางวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบทางราชการ

จะถูกเรียกเงินเดือน บำเหน็จ-บำนาญคืนย้อนหลังก็ยังพอทำเนา แต่ที่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา มีคุก-ตะรางเป็นเดิมพันนี่ซี กินทิฟฟี่ทั้งแผงก็ไม่หายปวดหัว!

นี่...ปลัดปราชญ์ดูไว้เป็นมรณานุสติ นึกว่าจะหนีคดีความทางราชการพ้นหรือ ไม่ถูกวันนี้ เกษียณไปแล้ว นอนกระสับกระส่ายรอว่าเรื่องจะย้อนกลับมาหาตัววันไหน มันทรมานใจมิใช่เล่นนะ

รวบมือทุบรถใน มท. อีก 1

red destroyer


โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - รวบมือทุบรถใน มท. อีก 1
ตำรวจลุมพินี รวบ "อรุณ ฉายาจันทร์" มือทุบรถนายกฯที่ มท. คาสนามมวย เตรียมแถลงบ่าย 2 เจ้าตัวปัดไม่ได้ทำ

เมื่อเวลา 21.30 น.วานนี้( 19พ.ค.) พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะศิริ สว.สส.สน.ลุมพีนี พร้อมด้วยตำรวจฝ่ายสืบสวน นำหมายจับศาลแขวงดุสิต เลขที่ 1274/2552 ลงวันที่ 9 พ.ค.2552 เข้าจับกุมตัวนายอรุณ ฉายาจันทร์ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุบุกรุกกระทรวงมหาดไทย และทุบรถยนต์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าสนามมวยลุมพินี ถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. จากนั้นจึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สน.ลุมพินี

โดย พ.ต.ท.ปิโยรส กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบผู้ต้องหาตามหมายจับ ขณะกำลังเข้าไปชมการแข่งขันชกมวย ที่สนามมวยลุมพินี จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนฯ เข้าจับกุม และนำตัวมาสอบสวนที่ สน. ซึ่งเบื้องต้น ตำรวจได้แจ้ง 4 ข้อหา ประกอบด้วย ชิงทรัพย์ , ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ , หน่วงเหนี่ยวกักขัง และร่วมกันมีและพกพาอาวุธปืน

อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวน นายอรุณยังให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่า อยู่ในเหตุการณ์จริง และเป็นผู้ยึดปืนชุดรักษาความปลอดภัย ของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ไม่ได้ทุบรถนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากเสร็จสิ้นการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวนายอรุณ ไปยัง สน.สำราญราษฎร์ เพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ ในการเปิดแถลงข่าวเวลา 14.00 น. วันนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะมอบรางวัลนำจับ 50,000 บาท ให้กับผู้แจ้งเบาะแสด้วย
Reblog this post [with Zemanta]

กก.สอบสลายม็อบเปิดศึกวิวาทะกับ “ตู่-ณัฐวุฒิ” ซัดกันนัว


Politics - Manager Online
ที่ประชุมคณะกรรมการสลายม็อบ เชิญ “2 หัวโจกเสื้อแดง” ให้ข้อมูลจนเกิดวิวาทะกับกรรมการฝ่าย ปชป. พูดจาบิดเบือนไปมาไม่ยอมรับก่อเหตุรุนแรง ทั้งอ้างคำพูดปลุกระดมก่อเหตุบนเวทีแค่สีสัน ขณะที่ “ตู่” ยังไม่จบ อ้างนายกฯ ไม่ได้อยู่ในรถ บอกมีหลักฐานจะสกรีนภาพให้ดู จน “นพ.วรงค์” ทนไม่ไหวบอกหากนายกฯ อยู่ในรถจะลาออกหรือไม่ แต่ “ตู่” หัวหมออ้างจะพนันกับนายกฯ ให้ลาออกเท่านั้น ปัด “แม้ว” ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แค่แนวร่วมคนหนึ่ง จนเกิดเหตุ “ตู่” โต้แย้งกับ “ศิริโชค” อีก ด่าเป็นวอลเปเปอร์นายกฯ เลยเจอสวนกลับบอกรู้ข้อมูลเรื่องรามคำแหง ทำชะงักจ๋อยสนิท ขณะที่ “เจิมมาศ” แนะตั้ง กก.สอบเหตุยิงกันที่นางเลิ้งด้วย

วันนี้ (19 พ.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการชุมนุมทางการเมือง ที่มีนายสมศักดิ์ บุญทอง เป็นประธาน ได้เชิญนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 2 แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ มาให้ข้อมูล โดยขณะที่นายจตุพรกำลังเดินเข้าห้องประชุม เป็นเวลาเดียวกับที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฯ เดินเข้ามาพอดี นายจตุพรหันไปทักว่า “เป็นอย่างไรบ้างครับท่านวอลเปเปอร์ ภาพผนังของนายกฯ” ทำให้นายศิริโชค ก็ทักตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เพิ่งอ่านภาษาอังกฤษออกหรือครับ ว่าวอลเปเปอร์แปลว่าภาพฝาผนัง” แล้วทั้งคู่ก็เดินกอดคอกันเข้าห้องประชุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชี้แจงดุเดือดตั้งแต่เริ่มต้น มีการเปิดศึกวิวาทะกันระหว่างแกนนำ นปช.ทั้งสองคน กับ ส.ส.ในฟากพรรคประชาธิปัตย์เป็นระยะ โดยที่นายณัฐวุฒิชี้แจงว่า การชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีและอำมาตย์ของกลุ่มเสื้อแดงนั้นเป็นไปตามความเชื่อว่ากลุ่มอำมาตย์อยู่เบื้องหลังขับเคลื่อนกลไกทางการเมืองทำให้การเมืองไทยไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และแม้แต่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังเคยพูดเองว่าถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนไหวจนเกิดการรัฐประหารพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีทางได้เป็นรัฐบาล ทำให้นายศิริโชคถามสวนขึ้นว่า ในเมื่อที่ผ่านมา นปช.เคยโจมตีว่านายสนธิเชื่อไม่ได้ แต่เหตุใดคราวนี้จึงเชื่อ หรือว่าเลือกเชื่อในสิ่งที่ตรงกับความคิดของตัวเอง นายณัฐวุฒิตอบกลับไปว่าการที่คนที่เป็นพวกเดียวกันพูดกันเองย่อมน่าเชื่อถือกว่าคนที่ฝ่ายตรงข้ามกันพูดถึงกัน เช่น ถ้านายจตุพรบอกว่าตนเป็นคนอย่างไร จะทำให้นายศิริโชคเชื่อมากกว่าคนอื่นพูด แต่นายศิริโชคย้อนไปว่า “ผมไม่เชื่อคุณจตุพรอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะพูดเรื่องไหน” ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้นายณัฐวุฒินำหลักฐานมาแสดงว่ามี ส.ส.คนไหนถูกทหารบังคับให้ต้องเปลี่ยนขั้วทางการเมือง



จากนั้นนายจตุพรได้ชี้แจงว่าในเหตุการณ์ชุมนุมนั้นมีคนเสื้อแดงที่เป็นทหารปลอมตัวมาสร้างสถานการณ์ ตั้งแต่การล้อมรถถ่ายทอดของสถานีโทรทัศน์ หรือการจัดฉากทุบรถนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนยืนยันว่าในวันนั้นนายกรัฐมนตรีไม่อยู่ในรถ โดยได้มีการเปลี่ยนรถก่อนเหมือนที่เคยทำที่ อ.พัทยา รวมทั้งระหว่างเกิดเหตุชุลมุนนั้น รปภ.ยังสามารถเปิดประตูที่นั่งนายกฯ แล้วขว้างของไปตรงที่นั่งนายกฯ ได้อย่างไร ขณะที่ รปภ.บางคนคุยโทรศัพท์ไปพร้อมกับอารักขานายกฯ ซึ่งถือว่าผิดวิสัย

ทั้งนี้ ทางกลุ่ม นปช.จะทำภาพสแกนที่สามารถมองทะลุกระจกด้านหน้ารถเพื่อพิสูจน์ชัดเจนว่านายกฯ ไม่อยู่ในรถ เมื่ออภิปรายถึงตรงนี้ นพ.วรงค์ ท้าทายว่า หากนายกฯ อยู่ในรถ นายจตุพรจะกล้าลาออกหรือไม่ นายจตุพรโต้ทันควันว่า ตนกล้าแน่นอน แต่ถ้านายกฯ ไม่อยู่ในรถ นายอภิสิทธิ์จะกล้าลาออกจาก ส.ส.สัดส่วนอันดับ 1 ของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ขณะที่ นพ.วรงค์ แย้งว่า อย่าพาดพิงถึงนายกฯ ซึ่งไม่อยู่ในที่ประชุม ตนขอรับคำท้าเอง แต่นายจตุพรเลี่ยงว่าตนไม่ได้มีเรื่องกับ นพ.วรงค์ แต่กำลังมีปัญหากับนายกฯ ดังนั้นต้องเดิมพันกับนายกฯ เท่านั้น

นอกจากนี้ คณะกรรมการซีกพรรคประชาธิปัตย์ได้ยกคำปราศรัยในเชิงยั่วยุของแกนนำ นปช.บนเวทีปราศรัยตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. อาทิ “ประชาชนมีสิทธิจับอาวุธ ทั้งปืน หรือมีด ทำลายรัฐบาลโจรได้ โดยไม่มีความผิด” หรือ “ให้ผู้ชุมนุมขับรถพุ่งเข้าชนรถของทหารได้เลย เพราะจะมีความผิดแค่กฎหมายจราจรเท่านั้น” โดยระบุว่าคำปราศรัยเหล่านี้เป็นต้นเหตุของปฏิบัติการที่รุนแรงตามมา นายณัฐวุฒิอ้างว่า คำพูดบนเวทีปราศรัยนั้นไม่ใช่จะเป็นคำสั่งที่ให้มวลชนปฏิบัติตามทั้งหมด แต่มันมีทั้งเรื่องจริง ความเห็น และเรื่องที่เป็นสีสัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุมร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีกรรมการซีกรัฐบาล ถามถึงบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้สอบถามว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศผ่านวิดีโอลิงก์ว่าการชุมนุมของ นปช.มีใครเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่าย และกรณีที่อดีตนายกฯ บอกว่าถ้ามีคนตายจะกลับประเทศมานำมวลชนด้วยตัวเอง หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสนับสนุนม็อบหลักใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิตอบว่า ถ้านายอาคมกล่าวเช่นนี้แสดงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนตายใช่หรือไม่ พร้อมทั้งยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงแนวร่วมคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นได้รับมาจากการบริจาคของประชาชน ทำให้นายศิริโชคได้ยกคำปราศรัยของนายจตุพร ที่เคยบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สนับสนุนเงินทองอยู่หรือไม่ นายจตุพรตอบคำถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนเสื้อแดงที่อยากจะช่วยคนที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่ใช่ให้เงินมาใช้ในการจัดการชุมนุม นายศิริโชคไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำให้นายศิริโชคสวนโพล่งทันทีว่า “จนมุมแล้วบิดไปบิดมา” นายจตุพร โต้ว่า “คุณก็ดีแต่ไปเป็นวอลเปอร์ซะจนเคยตัว” ทำให้นายศิริโชคโต้กลับไปว่า “ผมรู้เรื่องรามคำแหงของคุณนะ” ทำให้นายจตุพรชะงักทันที

อย่างไรก็ตาม นายจตุพรได้ยืนยันว่า ถ้าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลต่อผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตนขอเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายทุกกรณี

นายณัฐวุฒิชี้แจงอีกว่า จากการสลายการชุมนุมของรัฐบาล ตำรวจ และทหารนั้น โดยเฉพาะที่บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดงไม่เป็นไปตามหลักสากลในเบื้องต้นที่ต้องมีการเจรจาและต้องฉีดน้ำดับเพลิง แต่กลับไม่มีการดำเนินการตามขั้นตอนจนเป็นเหตุให้มีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต ดังนั้น ในส่วนนี้ตนต้องการทราบว่าบุคคลใดที่ต้องรับผิดชอบบ้าง ซึ่งตนมองว่าคนที่ต้องรับผิดชอบคือตัวนายกรัฐมนตรีหยุดผลักภาระให้คนอื่นเสียที คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะพูดเท็จต่อสังคมได้อย่างไร

ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ได้กล่าวว่าประเด็นทั้งหมดที่ผู้มาชี้แจงให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการจะมีการตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างแท้จริง

ด้าน นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสนอแนะต่อที่ประชุมว่าขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีชาวบ้านย่านตลาดนางเลิ้งถูกยิงเสียชีวิตจำนวน 2 รายด้วย จึงถามว่ากรณีการยิงชาวบ้านดังกล่าวในฐานะแกนนำ นปช.จะมีส่วนในการติดตามอย่างไร

นายจตุพรกล่าวว่า ตนในฐานะแกนนำได้มีการตั้งรางวัลนำจับคดีละ 5 แสนบาท จำนวน 2 คดี เพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริงว่าใครกันแน่ที่ลงมือทำ อย่างไรก็ตาม ขอให้รัฐบาลอย่านำประเด็นเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง


Reblog this post [with Zemanta]

ฮั้วข้าวโพด 2 พันล้าน วงจรอุบาทว์ธุรกิจการเมือง!?

Corn kernelsImage via Wikipedia

Politics - Manager Online
อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่งก็มีเสียงนินทาเข้าหูเช่นเดียวกันว่า งานนี้มีการวิ่งเต้นกันทั้งสองทาง นั่นคือฝ่ายหนึ่งวิ่งเต้นทางคณะกรรมการกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่พ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ในประเทศวิ่งเต้นในคณะกรรมการอีกชุด มันจึงเกิดปัญหางัดข้อกันชุลมุนวุ่นวายหรือเปล่า

กลายเป็นประเด็นฮือฮาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ กับการออกมา “โดดขวางลำ” เต็มตัวของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ยอมให้โครงการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประจำปี 2551/52 จำนวน 4.4 แสนตัน จากพรรคภูมิใจไทย

ชนิดที่เรียกว่าไม่ยอมให้ผ่านไปได้ง่ายๆ หรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะไม่ยอมเป็น “ตรายาง” นั่นแหละ

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ก็ต้องบอกว่าโครงการในลักษณะแบบนี้มักมีแต่เรื่องอื้อฉาว มีข้อกล่าวหาในเรื่องทุจริต ความไม่โปร่งใส ประเภทที่มีพ่อค้าร่วมมือกับนักการเมือง หรือบริษัทของนักการเมืองคว้าชิ้นปลามันไปกินอยู่เสมอ

ส่วนวิธีการก็มักจะให้ข้าราชการประจำออกหน้า และสอบสวนหาความผิดสุดท้ายก็ต้องรับกรรมกันไปแบบโดดๆ

เป็นการทำมาหากินกับงบประมาณของทางการ ซึ่งเป็นวงจรอุบาทว์เกิดมาทุกยุคสมัย จนแทบกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วว่าถ้าใครเข้ามามีอำนาจก็จะเสนอโครงการหรือนำบริษัทที่ตัวเองเกี่ยวข้องเข้ามารับงานเพื่อประโยชน์เข้าพกเข้าห่ออยู่เป็นประจำ

ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆก็เกิดขึ้นกับโครงการประมูลซื้อในสต็อกของรัฐบาลจำนวน 2.6 ล้านตัน ดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ ก็เกิดปัญหาลักษณะ “ฮั้ว” เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี หากว่ากันเฉพาะข้าวโพด ก็ต้องอธิบายที่มาที่ไปพอคร่าวๆก็คือ เจตนาเพื่อต้องการระบายในสต๊อกออกไป โดยวิธีการจะให้บริษัทเอกชนมาประมูลซื้อไปแล้วส่งออก อีกทั้งยังเป็นการนำเม็ดเงินมาใช้เพื่อการแทรกแซงผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในแต่ละปีด้วย

และรู้กันอยู่ว่า ที่ผ่านมาส่วนใหญ่รัฐต้องขาดทุนอยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือจะต้องไม่ใช่ลักษณะขาดทุน “บักโกรก” หรือมีการฮั้วกันหาประโยชน์ระหว่างนักการเมืองกับเอกชนแบบน่าเกลียด

หากจะกล่าวกันแบบตรงไปตรงมามันก็หนีไม่พ้นนักการเมืองได้ประโยชน์อีกเช่นเคย ส่วนใครจะได้ไปเท่าไรนั้นเป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด

ที่ผ่านมาคณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการประมูลขายข้าวโพดให้กับพ่อค้าส่งออกไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ซึ่งก็มีเสียงนินทาว่าทำให้รัฐขาดทุนสูงผิดปกติ และเคยถูก กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แห่งชาติ เบรกจนหัวทิ่มไม่ให้ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง และให้นำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ชี้ขาด

ซึ่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธาน ก็มีการสอบถามถึงเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการประมูลที่ออกมาในลักษณะเหมือนเป็นการ “ฮั้ว” กัน เพราะมีบางบริษัทได้โควตาไปถึง 4 แสนตัน ขณะที่บริษัทอื่นๆได้ไปเพียงไม่กี่หมื่นตัน ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจน

และการประมูลดังกล่าวว่ากันว่ามีการฟันกำไรส่วนต่างกันอู้ฟู่ เล่นกันเป็นพันล้าน นักการเมืองกับพ่อค้าล่อกันพุงกาง

นอกจากนี้ยังมีปัญหาถึงเรื่องของขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ที่แต่งตั้งมาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว กับคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน

มีการถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดว่า ชุดไหนจะมีอำนาจโดยให้เหตุผลว่า เมื่อรัฐบาลชุดก่อนพ้นไป และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาก็ต้องหมายความว่าชุดปัจจุบันมีอำนาจในการดำเนินการ

อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่งก็มีเสียงนินทาเข้าหูเช่นเดียวกันว่า งานนี้มีการวิ่งเต้นกันทั้งสองทาง นั่นคือฝ่ายหนึ่งวิ่งเต้นทางคณะกรรมการกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่พ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ในประเทศวิ่งเต้นในคณะกรรมการอีกชุด มันจึงเกิดปัญหางัดข้อกันชุลมุนวุ่นวาย หรือเปล่า

ดังนั้น ไม่ว่ามองในมุมไหนก็พอจะเดาออกว่าโครงการประมูลข้าวโพดครั้งนี้มีพิรุธแน่นอน ส่วนจะมีนักการเมืองจะได้ประโยชน์หรือไม่จะต้องมีการติดตามตรวจสอบกันต่อไป เพราะเชื่อว่าความจริงจะต้องปรากฏออกมา และที่สำคัญรัฐต้องไม่เสียประโยชน์

แต่ขณะเดียวกันการตรวจสอบครั้งนี้จะต้องดำเนินการไปอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ออกมาในลักษณะต่อรองผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองสองกลุ่ม หรือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร

เพราะหนีไม่พ้นธุรกิจการเมือง เป็นวงจรอุบาทว์อยู่ดี !!
Reblog this post [with Zemanta]

Thai army songkran party after victory over redshirts riot in bangkok, thailand

ทหารไทย เล่นสงกรานต์หลังสลายจลาจลเสื้อแดง

Monday, May 18, 2009

"จตุพร"มอบตัวบช.น.แล้ว เสื้อแดง300ให้กำลังใจ


"จตุพร"มอบตัวบช.น.แล้ว เสื้อแดง300ให้กำลังใจ
นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มนปช. เข้ามอบตัวกับตำรวจนครบาลตามหมายจับ ข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายกับในบ้านเมืองโดยเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ และข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ฝ่าฝืนข้อกำหนด พรก.ฉุกเฉิน ตามมาตรา 9 และมาตรา 18 ซึ่งนายจตุพร เป็นหนึ่งใน 27 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับจากเหตุการณ์สงกรานต์เดือด โดยมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงประมาณ 300 คน มาร่วมให้กำลังใจและปิดล้อมประตูด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา

นร.-ผู้ปกครองฝั่งธนฯขึ้นBTSรับเปิดเทอม


นร.-ผู้ปกครองฝั่งธนฯขึ้นBTSรับเปิดเทอม
โรงเรียนส่วนใหญ่ในกรุงเทพมหานคร ได้เปิดภาคเรียนวันนี้เป็นวันแรก ทำให้การจราจรบนถนหลายสายหนาแน่นตั้งแต่ช่วงเช้า โดยเฉพาะย่านสาทร บางรัก เจริญกรุง ที่มีสถานศึกษาตั้งอยู่หลายแห่ง การจราจรบนสะพานตากสินขาเข้าติดขัด ท้ายแถวยาวข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งนี้ นักเรียนและผู้ปกครองที่อาศัยอยู่ฝั่งธนบุรีบางส่วน เริ่มเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีลม ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าช่วยลดเวลาการเดินทาง จากเดิมต้องเผชิญกับรถติดบนสะพานตากสินนานนับชั่วโมง

สำหรับบรรยากาศบริเวณฝั่งถนนสามเสน ซึ่งมีโรงเรียนชื่อดังหลายแห่งตั้งอยู่ราว 10 แห่ง พบว่า การจราจรเริ่มหนาแน่นตั้งแต่ 06.30 น. ซึ่งกองบังคับการตำรวจจราจร ได้จัดเจ้าหน้าที่ทั้งจาก สน.สามเสน กองบังคับการตำรวจจราจร รวมทั้งเจ้าหน้าที่เทศกิจ มาอำนวยความสะดวกด้านจราจรทั้งเช้าและเย็น พร้อมขอให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร ทั้งหลีกเลี่ยงเส้นทางถนนสุขุมวิท สามเสนและสาทร เนื่องจากการจราจติดขัด

รัฐบาลถอนพ.ร.ก.เงินกู้ รอศาลรัฐธรรมนูญ

โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - รบ.ถอนพ.ร.ก.เงินกู้
รบ.ยอมถอนพ.ร.ก.กู้เงินรอศาลรธน.ชี้ขาดชินวรณ์ขอพิจารณากม.อีก3ฉบับในสภา
นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมวิปรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการประชุมสภาวันนี้ว่า วิปรัฐบาลจะชะลอการพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน วงเงิน 4 แสนล้านบาท และจะนำมาพิจารณาอีกครั้ง หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเสร็จสิ้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ปิดประชุมสมัยสามัญแล้ว ทั้งนี้รัฐบาลยืนยันว่าการออกพ.ร.ก.เงินกู้ครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเพราะประชาชนทั่วไปก็เห็นแล้วว่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้หนักหนา จนรัฐบาลต้องวางแผนระยะยาว ซึ่งก่อนหน้านี้ในสมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยออกพ.ร.ก.ในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ศาลรัฐธรรมนูญเองก็เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าสามารถทำได้

“แม้ว่าการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ.ร.ก.จะถือเป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้าน แต่ขอเรียกร้องว่า อย่านำเรื่องปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของประชาชนมาใช้เป็นเกมการเมือง และยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีพฤติกรรมที่ป่วนงานสภา เพื่อไม่ให้การทำงานของสภาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเห็นว่าการเคลื่อนไหวนอกสภา และการใช้ความรุนแรงไม่ได้รับความยอมรับจากประชาชน อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องให้คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาประชาชนด้วย”นายชินวรณ์ กล่าว และว่า สำหรับปัญหาเรื่ององค์ประชุม วิปรัฐบาลได้กำชับพรรคร่วมให้มาประชุมโดยพร้อมเพรียงจึงเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเรื่ององค์ประชุมอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมประชุมส.ส.ของพรรค ที่ห้องสารนิเทศ อาคารรัฐสภา โดยคาดว่าในการประชุมจะมีการขอความร่วมมือจากสมาชิกในการเข้าร่วมประชุมสภา เพื่อให้การประชุมและการพิจารณากฎหมายต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี รวมถึงการหารือเกี่ยวกับพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 โดยมีแกนนำพรรคเดินทางทยอยเข้าร่วมประชุมอย่างต่อเนื่อง อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ ทยอยเดินทางเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ไล่ออกปลัดคลังศุภรัตน์

โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - ไล่ออกศุภรัตน์ปลัดคลัง
อกพ.มีมติไล่ออกศุภรัตน์ปลัดคลังหลังป.ป.ช.ชี้ผิดตั้ง4รองอธิบดีสรรพากร
ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ(อกพ.) มีมติให้ไล่นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง หลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยืนยันความผิดของนายศุภรัตน์ ว่ามีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงจากการแต่งตั้งตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากรทั้ง 4 คน
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง เรียกประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน หรืออกพ.คลัง วันนี้ เพื่อพิจารณาโทษของนายศุภรัตน์ ซึ่งการไล่ออก ซึ่งถือเป็นโทษสถานเบาที่สุด และยังได้รับเงินบำนาญต่อไป เนื่องจากยังเห็นว่านายศุภรัตน์เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง ยังทำประโยชน์ให้กับประเทศได้อีกมาก ก่อนหน้านี้ รมว.คลังเคยกล่าวไว้ว่าจะแต่งตั้งให้นายศุภรัตน์เป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังต่อไปเพราะเสียดายความรู้ความสามารถ และถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของกระทรวงการคลัง

อ่านต่อด้านล่าง
มติชนเสนอข่าวขัดแย้ง ว่าไม่มีบำเน็จบำนาญ
เนชั่นแชนแนลรายงานว่าโทษไล่ออก เป็นโทษสถานหนักที่สุด

(วันนี้คุณอ่านสื่อไหน??)


มติชนออนไลน์

อ.ก.พ.มีมติไล่ออก"ศุภรัตน์"พ้นปลัดคลัง ไม่มีบำเหน็จบำนาญ เผยยังมีสิทธิอุทธรณ์ กก.พิทักษ์คุณธรรม

อ.ก.พ.กระทรวงคลัง มีมติไล่ออก"ศุภรัตน์"พ้นปลัดคลังหลังตามมติป.ป.ช. ผิดอาญา-วินัยร้ายแรงง 4 รองอธิบดีกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชี้ยังมีทางรรอด อุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. กรณ์เผยแต่งตั้งคนดำรงตำแหน่งแทนเร็วที่สุด

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมภายหลังการประชุมอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน(อ.ก.พ.)คลังว่า ที่ประชุมมีมติให้ไล่นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังออกจากราชการตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลว่า นายศุภรัตน์กระทำผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการแต่ง ตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คนไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่ อ.ก.พ.มีมติไล่นายศุภรัตน์ออก จะทำให้นายศุภรัตน์ไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญ อย่างไรก็ตามนาย ศุภรัตน์ยังมีสิทธอุทรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณ(ก.พ.ค.)ซึ่งเพิ่งแต่งตั้ง ขึ้นตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551จึงยังไม่มีบรรทัดฐานว่า สามารถกลับความเห็นของป.ป.ช.หรือไม่

ก่อนหน้านี้ นายกรณ์กล่าวว่า ทางกระทรวงการคลังจะส่งเรื่องการพิจารณาโทษนายศุภรัตน์ให้ที่ประชุมคณะ รัฐมนตรีพิจารณาภายใน 15 วัน ซึ่งเป็นไปตามกรอบที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

"หลังจากนายศุภรัตน์พ้นจากตำแหน่งแล้ว จะพิจารณาแต่งตั้งปลัดกระทรวงคนใหม่โดยเร็ว โดยจะคัดเลือกบุคคลที่เป็นคนดี มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นผู้ที่รู้งาน มีบารมีในการทำงานเพียงพอจะรับผิดชอบหน้าที่ในฐานะปลัดกระทรวงที่เป็นผู้ บริหารสูงสุดได้ เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีผลต่อการทำงานโดยรวม"นายกรณ์กล่าว

นายกรณ์กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ขอพูดว่าจะให้นายศุภรัตน์เข้ามาช่วยงานหรือไม่หลังพ้นตำแหน่ง ซึ่งไม่ยุติธรรมหากจะพูดตอนนี้ แต่ตั้งแต่มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับความร่วมมือด้วยดีมาตลอด แต่เมื่อมีคำสั่งจาก ป.ป.ช.ก็ต้องยึดตามกฎหมาย หลังพ้นตำแหน่งแล้ว ตามระเบียบหากยังไม่มีการแต่งตั้งปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ ก็สามารถให้รองปลัดกระทรวงที่อาวุโสสูงสุดรักษาการแทน

แหล่งข่าวกล่าวว่า หลังจากจะมีการแต่งตั้งปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ ซึ่งผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มด้านภารกิจด้านรายได้ และยังมีอายุราชการเหลืออีก 2 ปี และอีกแนวทางหนึ่งอาจแต่งตั้งนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ให้รักษาการปลัดกระทรวงการคลังก่อนจนเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ จึงตั้งนายสถิตย์เป็นปลัดกระทรวงการคลังต่อไป

"สำหรับตำแหน่งที่ว่างลงนั้น จะมีการโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังอีกครั้ง เพื่อให้ภารกิจของกระทรวงการคลังในการขับเคลื่อนประเทศเดินหน้าได้ต่อไปโดย เฉพาะตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตที่นางสิรินุช พิศลยบุตร ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกรณีไม่เก็บภาษีซานติก้าผับ ซึ่งอาจถูกโยกย้ายกลับมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลังเช่นเดิมและแต่ง ตั้งบุคคลที่มีความเหมาะสมไปรับตำแหน่งแทน ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า จะมีการเสนอวาระการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับของกระทรวงการคลังเข้าสู่ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวาระเดียวกัน" แหล่งข่าวกล่าว


เนชั่นแชนแนล

อกพ.ไล่ออก ศุภรัตน์ปลัดคลัง ตั้งบิ๊กสรรพากรมิชอบ

ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อกพ.) มีมติให้ไล่ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง หลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยืนยันว่า มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงจากการแต่งตั้งตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คน พร้อมให้นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นรักษาการปลัดกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เรียกประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ อ.ก.พ.คลัง ในวันนี้ เพื่อพิจารณาโทษของนายศุภรัตน์การไล่ออก ถือเป็นโทษสถานหนักที่สุด เนื่องจากยังเห็นว่า นายศุภรัตน์ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูงยังทำประโยชน์ให้กับประเทศได้อีกมาก

คำทำนาย หมอนิด ใน mornid.com

.'*'.++ หมอนิด ตรวจดวงด้วยญาณ ++.'*'.
แต่ในเร็วๆนี้อยากจะให้ระวัง.. “สีเขียวเสียดสี”...กันอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและผลจากการเสียดสีกันในครั้งนี้จะเกิด “ประกายไฟ” ขึ้นอย่างน่ากลัว...บ้านเมืองคงต้องบอบช้ำที่เกิดจากการ “เสียดสี” กันของ “สีเขียว”...เศรษฐกิจช้ำหนักขึ้น...ตลาดหุ้นสะเทือนอย่างรุนแรง... “คนเป็นใหญ่”จะเสียชีวิต... “ตะขาบเหล็ก”จะวิ่งพล่านทั่วเมือง...เสียงปืนดังไปทั่ว...เสียงระเบิดเกิดขึ้นเป็นแห่งๆ กองกำลังไม่ปรากฏสัญชาติจะร่วมกับแดงไม่ธรรมดา...ผู้คนจะล้มตาย...บุคคลระดับ VIP จะบินออกนอกประเทศ...ความชุลมุนวุ่นวานจะเกิดไปทั่ว...มองหาคน “รูปหล่อ” ไม่เห็นไม่รู้ใครเป็นใคร...หากมัวแต่ทะเล่อทะร่าก็จบสิ้นทั้งอินทรีย์...ตาอินกะตานา...มัวแต่ทะเลาะกัน...ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้าพุงปลาไปกิน

Thai delegation attend Geneva meeting

The Nation: National

Thai delegation attend Geneva meeting - Nationmultimedia.com
The 62nd session of the WHO's World Health Assembly, beginning today and running for five days, will also discuss the sharing of influenza virus specimens, an essential ingredient in the development of vaccines. It will also consider the thorny issue of access to any vaccines that are developed.

Thai Public Health Minister Witthaya Kaewparadai said other topics to be covered at the assembly were the impact of the economic crisis on global health, the implementation of International Health Regulations, primary healthcare - including the strengthening of health systems, social determinants of health, the monitoring of healthrelated achievements listed in the Millennium Development Goals, the spread of counterfeit medicines and drug resistance.

As the head of Thailand's delegation to the world assembly, he said Thailand would introduce a decision made by Asean health ministers, and their dialogue partners from China, Japan and South Korea, agreeing to boost regional stockpiles of antiviral medicines.

The Thai Public Health Ministry will also present its achievements in the development of national healthcare security.

Moreover, Witthaya will lead senior health officers in a discussion concerning preventive measures among youth groups in the fight against HIV/AIDS infection with officials of the Joint United Nations Programme on HIV/AIDS.

Yesterday, the World Health Organisation said 8480 cases of influenza A (H1N1) infection had been reported in 39 countries around the world, including 72 deaths in Mexico, the United States, Canada and Costa Rica.

Thailand recently confirmed the first two cases of influenza A (H1N1) infection in this country. The Public Health Ministry has had no reports of any further cases. Laboratory tests have shown that two suspected cases in Kanchanaburi province and a nineyearold boy in Chiang Mai province were not infected with influenza A (H1N1), but were suffering from seasonal flu.

No attempt to lift containers

The Nation: National
No attempt to lift containers - Nationmultimedia.com
Mysterious containers on the seabed off Chon Buri's Sattahip district will remain sunk during the ongoing efforts to find out where they came from, Central Institute of Forensic Science director Khunying Porntip Rojanasunan said yesterday.

"Lifting the containers from the sea is ruled out because it will cost a lot of money," Porntip said, "But we will be looking for the safest way to cut open the containers underwater".

She was speaking after she reported the latest progress on the mysteriouscontainer case to Prime Minister Abhisit Vejjajiva.

Porntip has been assigned to look into the containers after they caught the media spotlight and rumours spread that the bodies of those who died in the Black May incident were inside.

The Black May incident referred to a bloody crackdown on prodemocracy protesters in Bangkok 17 years ago. After the turmoil ended, dozens of protesters never returned home and were feared dead.

Speaking in his weekly television programme, Abhisit said a scientific test now suggested the mysterious containers may have rested on the seabed for more than 20 years.

"So, it's highly unlikely they could be related to the Black May incident," he said.

However, the premier assured the government would get to the bottom of the mystery to clear any lingering doubts in the hearts of people, especially relatives of the missing protesters.

Defence Minister Prawit Wongsuwan said the armed forces had conducted their activities transparently and would support government policies.

Army spokesman Colonel Sansern Kaewkamnerd said the Royal Thai Navy had already been looking into the mysterious containers.

"Forensic science tests will give answers to the society," he said.

Meanwhile, Fine Arts Department director general Grienggrai Sampatchalit said his department was ready to provide assistance if requested.

"Marine archaeologists could be of help," the department's senior official Tharapong Srisuchart said.

นายกฯสั่งยุติยก"คอนเทนเนอร์ปริศนา" พิสูจน์ กลัวสารพิษรั่ว "ประวิตร"ย้ำเกิน 20ปีไม่น่าเกี่ยวพฤษภาทมิฬ


หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์
นายกฯสั่งยุติยก"คอนเทนเนอร์ปริศนา" พิสูจน์ กลัวสารพิษรั่ว "ประวิตร"ย้ำเกิน 20ปีไม่น่าเกี่ยวพฤษภาทมิฬ

นายกฯ เชื่อ "ตู้คอนเทนเนอร์ปริศนา" อายุน่าจะเกิน 20 ปีมาแล้ว อาจจะไม่เกี่ยวเหตุการณ์พฤษภา ′35 ตัดสินใจไม่ยกตู้ขึ้นพิสูจน์ เหตุต้องใช้งบฯ สูง และหวั่นมีสารพิษแพร่ "ประวิตร" ย้ำไม่เกี่ยวเหตุพฤษภาทมิฬ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 17 พฤษภาคม ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องการค้นหาศพของประชาชนที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 และยังหาไม่พบในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา มีข่าวว่าอาจอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ในทะเลที่ อ.แสมสาร จ.ชลบุรี เพื่อให้เกิดความโปร่งใส จึงได้มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องไปพิสูจน์เบื้องต้น จากการตรวจสอบพบว่า ตู้น่าจะอายุมากกว่า 20 ปี ถ้าเป็นเช่นจริง คงไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พฤษภา

เวลา 10.30 น. ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รายงานความคืบหน้าการตรวจสอบตู้ที่ จ.ชลบุรี ให้นายกฯรับทราบ ระหว่างร่วมงานประกาศเจตนารมณ์การเป็นอาสาสมัครพิทักษ์ยุติธรรม

จากนั้นนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า ตู้ดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เมื่อ 20 ก่อนที่มีการนำตู้เข้ามาแล้วไม่มีคนรับ กรมศุลกากรจึงให้นำกลับออกไป มีความเป็นได้ที่จะหย่อนทิ้งลงไปในทะเล รัฐบาลต้องยืนยันตรงนี้ให้ได้ เพราะตัวตู้ผ่านการบันทึกรายละเอียดของกรมศุลกากร นอกจากนั้นอาจตรวจสอบอายุปะการังที่เกาะอยู่อีกทางหนึ่ง เท่าที่ทราบมีเพียง 1 ตู้ถูกทิ้งลงไป และอยู่ในลักษณะเอียง มีปะการังอยู่รอบๆ

"การนำตู้ขึ้นมามีค่าใช้จ่ายสูงมาก หรือถ้าจะเจาะตู้ก็อาจจะมีสารพิษ รัฐบาลห่วงเรื่องสารพิษอย่างมาก เราคงจะไม่ยกขึ้นมาแล้ว แต่จะมอบหมายให้กองทัพเรือ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญที่จะพิสูจน์เรื่องอายุดำเนินการก่อน" นายอภิสิทธิ์กล่าว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกันพฤษภาทมิฬ และมั่นใจว่าทหารไม่ทำอะไรนอกลู่ ตู้มีอายุกว่า 20 ปีมาแล้ว ส่วนพฤษภาทมิฬเกิดไม่ถึงแค่ 10 กว่าปีเท่านั้น คงไม่น่าจะเชื่อมโยงกันได้

เด็กจบใหม่ตกงาน 1.5 แสนคน


Daily News Online : Economics
เด็กจบใหม่ตกงาน 1.5 แสนคน

สาเหตุปลดคนแย่งงานหมด ชี้รัฐช่วยปล่อยกู้รง.เดินเครื่อง

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า เป็นห่วงแรงงานกลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ 1.5 แสนคนอาจว่างงานไปจนถึงปี 53 เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับแรงงานที่ถูกปลดไปก่อนหน้านี้เป็นอันดับแรกในกรณีเปิดรับสมัครพนักงานเพิ่มเพราะต้องการผู้มีประสบการณ์ทำงานได้ทันที เพื่อรองรับเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นในไตรมาสที่ 3-4 ของปี 52 ดังนั้นรัฐบาลควรช่วยเหลือสภาพคล่องแก่ธุรกิจโดยด่วน เพื่อรักษาแรงงานกลุ่มเสี่ยงไม่ให้ถูกเลิกจ้างเพิ่มอีก 1.8 แสนคนมาแย่งงานกับผู้จบใหม่

ทั้งนี้รัฐบาลควรให้สถาบันการเงินของรัฐบาลแยกบัญชีปล่อยสินเชื่อ พร้อมทั้งอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยส่วนหนึ่ง แก่โรงงานโดยรัฐบาลรับภาระหากเป็นหนี้เอ็นพีแอลจนล้มละลาย แต่มั่นใจว่าหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวผู้ประกอบการสามารถชำระหนี้ได้ภายใน 2-3 ปี เพราะไม่มีรายใดกล้าเบี้ยวหนี้รัฐบาลแน่นอน

“เด็กจบใหม่จำนวนมากกลับต่างจังหวัดเพื่อไปช่วยงานพ่อแม่ในภาคเกษตรกรรม ขณะที่ส่วนหนึ่งคงได้งานตามความสามารถแต่ที่น่าห่วงคืออีก 1.5 แสนคนคงต้องรอถึงปีหน้า เพราะผู้ประกอบการอยากรับคนที่มีประสบการณ์เป็นหลักก่อน เพื่อเดินเครื่องการผลิตได้ทันที”

รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม แจ้งว่า ไตรมาสแรกของปี 52 (ม.ค.-มี.ค.) มี โรงงานขออนุญาตเปิดกิจการ 778 แห่ง วงเงิน ลงทุน 2.3 หมื่นล้านบาทต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ ปีก่อน 1,579 ล้านบาท มีการจ้างงาน 2 หมื่นคนลดลง 4,000 ราย เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ที่ชะลอตัวส่งผลให้ผู้ประกอบการระมัดระวังการ ลงทุน อย่างมาก โดยอุตสาหกรรมที่เปิดกิจการมาก เช่น ขุดตักดิน ทำมันเส้น เฟอร์ นิเจอร์ ส่วนปริมาณโรงงานปิดกิจการมี 379 แห่ง ลดลง 110 แห่ง ส่งผลให้ลูกจ้างต้องว่างงานทันที 13,105 ราย เพิ่ม 1,436 ราย

“ตัวเลขการเปิดปิดโรงงาน รวมถึงปริมาณการจ้างและปลดคนออกไม่ได้ส่งสัญญาณที่อันตรายมากนักในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่โรงงานที่ปิดในปีนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าปีก่อน แต่โรงงานที่เปิดจะมีขนาดเล็กกว่าปีก่อน เพราะนักลงทุนยังระวังอยู่”

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล นายกสมาคมสิ่งทอแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาวิกฤติเศรษฐ กิจทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอช่วงครึ่งแรกของปี 52 ได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าปี 40 เนื่องจากตลาดหลักอย่าง สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นต่างหยุดซื้อสินค้าใหม่ตั้งแต่ช่วงคริสต์มาส เพื่อเคลียร์สินค้าเก่าในสต๊อกให้หมดก่อน จากนั้นจึงทยอยซื้อลอตใหม่ช่วงไตรมาส 3 และต่างเน้นซื้อสินค้าราคาถูกมากกว่าสินค้าคุณภาพราคาแพง

“ตลาดญี่ปุ่นแม้จะมีปัญหาแต่ก็ถือว่ายังน่าสนใจ โดยเฉพาะภายหลังการเซ็นสัญญาข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือเจเทปป้าก็จะทำให้ไทยได้เปรียบประเทศอื่นในการเจาะตลาด ซึ่งหวังว่า นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะวางกลยุทธ์สนับสนุนสินค้ากลุ่มนี้อย่างจริงจัง”

ก่อนหน้านี้ รมว.อุตสาหกรรม ต้องการให้สถาบันการเงินของรัฐบาลขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของผู้ประกอบการจากเดิมสูงสุดไม่เกิน 15 ปี เป็นไม่เกิน 25 ปี เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจไม่ให้เป็นหนี้เอ็นพีแอล และไม่ให้ขาดสภาพคล่อง เนื่องจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจทำให้หลายรายประสบปัญหาจำหน่ายสินค้าลำบาก จนต้องลดกำลังการผลิตลงอีก 25-30% ส่งผลให้ไม่มีเงินเพียงพอในการชำระหนี้แก่สถาบันการเงิน เพราะหากรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมเชื่อว่าภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีคงอยู่ลำบาก

Sunday, May 17, 2009

"ชัย"ขอ 1 ชม.ก่อนประชุม ตัดสินใจส่งศาล รธน.วินิจฉัยพ.ร.ก.เงินกู้


Manager Online
นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ในวันที่ 18 พฤษภาคม หลังฝ่ายค้านยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า ยังมีการประชุมร่วมรัฐสภาเช่นเดิม เพราะ พ.ร.ก.ดังกล่าวบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ โดยจะขอเวลาช่วงเช้าเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวประมาณ 1 ชั่วโมง ว่าคำร้องของพรรคเพื่อไทยที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 หรือไม่ พร้อมตรวจสอบว่า การออก พ.ร.ก.ของรัฐบาลถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 หรือไม่ เท่าที่ทราบขณะนี้พรรคฝ่ายค้านยื่นเฉพาะกรณีที่การออก พ.ร.ก.ต้องมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น หากพิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวไม่เข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 ก็จะนำเข้าที่ประชุมรัฐสภา

อย่างไรก็ตาม ประธานรัฐสภา ยืนยันว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ขัดข้อง หากเห็นว่าเข้าข่ายตามมาตรา 184 ก็ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ เพื่อให้ชะลอร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวไว้ก่อน

สวนดุสิตโพลระบุ ปชช.กว่า 70% มองว่าการเมืองไทยพึ่งไม่ได้


Manager Online
สวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจเรื่อง "ทำอย่างไรการเมืองไทยจึงจะเป็นที่พึ่งของคนไทย" โดยประชาชนร้อยละ 39.98 ห่วงเรื่องความแตกแยก แบ่งฝ่าย ทะเลาะ โจมตีใส่ร้าย รองลงมา คือ การแก่งแย่งอำนาจ และความไม่มั่นคงของรัฐบาล ประชาชนอยากให้การเมืองไทยเป็นที่พึ่งในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากที่สุด ร้อยละ 37.31 รองลงมา ศูนย์กลางของความสมานฉันท์ การแก้ปัญหาสังคม ยาเสพติด และเห็นว่าการเมืองไทยเป็นที่พึ่งไม่ได้ ถึงร้อยละ 70.82 เพราะการเมืองไทยที่มีความขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท โจมตีซึ่งกันและกัน โดยวิธีการที่ต้องทำ คือ ต้องกำจัดนักการเมืองที่ไม่ดี โกงกินบ้านเมือง ใช้อำนาจเล่นพรรคเล่นพวก

จำลองปัดตั้งพรรคพธม.


โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - จำลองปัดตั้งพรรคพธม.
จำลองปัดตั้งพรรคพันธมิตรรอถามความเห็นประชาชน 25พ.ค.นี้ก่อน
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปฏิเสธเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมืองในชื่อ พรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ไม่ทราบว่าเป็นคนกลุ่มใดไปจดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะพันธมิตรฯ ยังไม่มีการลงมติเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมือง จะมีความชัดเจนในวันที่ 25 พฤษภาคม ซึ่งนัดรวมตัวกันที่เมืองทองธานี โดยจะขอถามความเห็นประชาชน และขอมติจากแกนนำพันธมิตรฯ ด้วยว่าจะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ และหากจะจัดตั้งพรรคฯ คงจะไม่ใช้ชื่อพันธมิตรฯ แน่นอน เพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะสม หากจัดตั้งจะใช้โมเดลของพรรคพลังธรรมจัดตั้ง

พท.ขวางพ.ร.ก.กู้เงิน4แสนล.


โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - พท.ขวางพ.ร.ก.กู้เงิน4แสนล.
เพื่อไทยขวางพ.ร.ก.กู้เงิน4แสนล้านส่งศาลรธน.ตีความ

นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การประชุมร่วมกันของรัฐสภาพรุ่งนี้ คงไม่มีการพิจารณาเรื่อง พระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาทเนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้ยื่นเรื่องเสนอความเห็นให้ประธานสภาฯ ว่าพระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา 184 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งจะต้องส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญใน 3 วันเพื่อให้มีคำวินิจฉัย ดังนั้นระหว่างนี้ต้องรอการพิจารณาพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวไว้ก่อน

นายคณวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนพระราชบัญญัติกู้เงิน 4 แสนล้านบาทมีเนื้อหาเหมือนพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาทแต่ไม่มีรายละเอียดของแผนการใช้เงิน ซึ่งพรรคเพื่อไทยเตรียมข้อมูลเพื่ออภิปรายให้เห็นช่องโหว่ของพรบ.ฉบับนี้ ที่ทำให้เสียวินัยในการบริหารงบประมาณแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และขัดกับหลักการเรื่องธรรมภิบาล ที่สำคัญคือ ทำให้สถานะทางการคลังอ่อนแอ เสียวินัยการคลังอย่างร้ายแรง เพราะสร้างภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมหาศาล แม้ว่าที่สุดแล้วรัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากจะสามารถลากจนกฎหมายฉบับนี้ผ่าน แต่พรรคเพื่อไทยก็เตรียมที่จะผลักดันให้มีการแปรญัตติให้กำหนดกลไกการตรวจสอบการใช้เงินในรูปคณะกรรมการติดตามตรวจสอบการใช้เงินตามพรบ.นี้ต่อไป

นายคณวัฒน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับพระราชกำหนดขึ้นภาษีสรรพสามิตสุรา บุหรี่ และน้ำมัน จะมีการพิจารณาและอภิปรายกันในประเด็นความเหมาะสม และผลกระทบต่อค่าครองชีพ และปัญหาปากท้องของประชาชน เพราะการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในภาวะที่เศรษฐกิจทรุดตัวอย่างรุนแรงขณะนี้ ส่งผกระทบถึงประชาชนเป็นวงกว้าง ขณะเดียวกันเท่ากับว่ารัฐบาลเปิดช่องทางให้กระบวนการค้าน้ำมันเถื่อนและบุหรี่ สุราหนีภาษี ลักลอบกระทำการผิดกฎหมายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต สุดท้ายจะส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย ดังนั้น ขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับปากกับประชาชนว่าจะไม่ขึ้นราคาน้ำมันเป็นเวลานานกี่เดือน เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันแพง.

อภิสิทธิ์ ยืนยันปัญหาสตอกข้าวโพดจบแล้ว

http://news.mcot.net/images/head_tna.jpg
MCOT News : อภิสิทธิ์ ยืนยันปัญหาสตอกข้าวโพดจบแล้ว
อภิสิทธิ์ ยืนยันปัญหาสตอกข้าวโพดจบแล้ว

กรุงเทพฯ 17 พ.ค.- นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ถึงข่าวความขัดแย้งกับ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/52 ว่า เป็นเรื่องปกติในการทำงานที่อาจมีความเข้าใจไม่ตรงกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน โดยทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติบ้านเมือง ตนไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งได้ทำความเข้าใจกับผู้ร่วมงานทุกคนไปแล้ว

ทางกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องการเร่งระบายสินค้า แต่ทางคณะรัฐมนตรีก็ประสงค์ทำให้เกิดความรอบคอบ โดยต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการระบายสินค้าต่าง ๆ จากภาครัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และไม่กระทบกับราคาพืชผลในอนาคต คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้เสนอหลักเกณฑ์เข้ามา” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย

นายกอภิสิทธิ์ ขอความร่วมมือผู้นำชุมชนลดความแตกแยกในสังคม

http://news.mcot.net/images/head_tna.jpg
MCOT News : นายกอภิสิทธิ์ ขอความร่วมมือผู้นำชุมชนลดความแตกแยกในสังคม
นายกอภิสิทธิ์ ขอความร่วมมือผู้นำชุมชนลดความแตกแยกในสังคม
รัฐสภา 16 พ.ค.-นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลดความแตกแยกในสังคม ชี้การเมืองเห็นต่างได้แต่ไม่ควรแตกแยก

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกว่า 700 คน ในการสัมมนา “บทบาทรัฐสภาในการสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ” วันนี้ (16 พ.ค.) ตอนหนึ่งว่าการสัมมนาครั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ในผู้นำชุมชนและประชาชน เพื่อให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติและสงบสุข

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าระบอบประชาธิปไตยน่าจะเดินหน้าและพัฒนาไปได้มากกว่านี้ แต่บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ส่วนตัวทำงานในสภาผู้แทนราษฎรมา 18 ปี ไม่เคยพบสถานการณ์ทางการเมืองแบบนี้มาก่อน การเมืองเห็นต่างกันได้เพราะมีประชาธิปไตย แต่จะทำอย่างไรให้ความคิดเห็นขัดแย้งกันยุติลง ผมอยากให้ทุกฝ่ายเข้ามาใช้ระบบรัฐสภา

“ในช่วงการทำงานอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ฝ่ายค้านหรือผู้นำชุมชนอื่น ๆ จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือด่าทอผมอย่างไรผมก็ต้องทำใจ แต่ทั้งหมดต้องอยู่ในกติกา และอยู่ในกรอบกติกา ไม่ใช่ใช้ความรุนแรง หรือส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง ถ้าทำเช่นนั้นถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่พูดเช่นนี้ เพราะเห็นว่ายังมีความเคลื่อนไหวที่จะสร้างความแตกแยกอยู่ ดังนั้น จึงต้องการขอร้องให้ผู้นำชุมชนว่า ถ้าเห็นมีคนใดไปยุยง ต้องช่วยกันจัดการให้อยู่ตามกรอบของกฎหมาย แต่หากเห็นว่าใครแสดงออกทางความเห็นที่อยู่ในกรอบกติกา ก็ไม่ควรไปปิดกั้น และว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อประเทศชาติ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังต้องการให้ผู้นำชุมชนไปดูว่า ประชาชนต้องการแสดงความคิดเห็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร และให้เสนอมาที่คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งขึ้น เพื่อให้มีเวทีในการรับฟังความเห็น

“ผมเพิ่งกลับจากการเยือนเขตปกครองพิเศษฮ่องกง นักลงทุนชาวฮ่องกงบอกว่ารักเมืองไทย และต้องการมาลงทุนที่เมืองไทย แต่ทุกคนถามว่าเมื่อไรเมืองไทยจะสงบ เรามีประเทศที่เป็นมิตรแบบนี้จำนวนมาก เขาก็ต้องการให้บ้านเมืองเราสงบ ดังนั้น จึงอยากให้ผู้นำชุมชนช่วยกันนำความสงบกลับคืนมา” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเลื่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาออกไป ว่าขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ จ.ภูเก็ต เข้าใจเหตุผลของการเลื่อนการประชุม เพราะผู้นำ 16 ประเทศมีเวลาไม่ตรงกัน แต่ขอยืนยันว่าการจัดการประชุมในเดือนตุลาคมจะยังคงจัดที่ จ.ภูเก็ต

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนการกระจายอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจะเร่งแก้ไขกฎหมายที่มีผลกระทบต่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงเงินค่าตอบแทนที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะได้รับเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลยอมรับว่าต้องจ่ายเงิน 2 งวด เพราะการเพิ่มเงินดังกล่าวมีผลกระทบเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณอยู่บ้าง และจะแก้ไขกฎหมายให้ประชาชนมีสิทธิเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้านโดยตรงด้วย.-สำนักข่าวไทย

"จตุพร"ย้ำนปช.เตรียมจัดชุมนุมใหญ่เดือนมิ.ย.นี้แน่


"จตุพร"ย้ำนปช.เตรียมจัดชุมนุมใหญ่เดือนมิ.ย.นี้แน่
บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่จะมีการนัดรวมพลคนเสื้อแดงที่ท้องสนามหลวงในเดือนมิ.ย.นี้อีกครั้งว่า ขณะนี้แกนนำกำลังอยู่ระหว่างการเลือกวันที่เหมาะสม ซึ่งเดิมตั้งใจจะจัดขึ้นในวันที่ 24 มิ.ย. แต่เนื่องจากไม่ตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้นจึงจะหารือกันอีกครั้ง โดยอาจจะเลือกวันก่อนวันที่ 24 มิ.ย.นี้ สำหรับคอนเซ็ปต์ของการนัดชุมนุมครั้งใหม่นี้จะยังคงคอนเซ็ปต์ทำความจริงให้ปรากฏ เพราะขณะนี้มีรายละเอียดภาพเพิ่มเติมจำนวนมาก เชื่อว่าจะมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมจำนวนมากจนเต็มท้องสนามหลวง ซึ่งตนหวังจะให้แดงทั้งแผ่นดินอีกรอบ และการจัดการชุมนุมครั้งนี้เราจะตั้งเวทีติดด้านวัดพระแก้ว ซึ่งเรื่องนี้ตนจะประสานไปยังกทม.ขอไม่ให้มีการจอดรถในสนามหลวง อีกทั้งยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปไหนทั้งสิ้น

"จตุพร"ระบุพรุ่งนี้ดีสเตชั่นดีเดย์ออกอากาศแน่


"จตุพร"ระบุพรุ่งนี้ดีสเตชั่นดีเดย์ออกอากาศแน่
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สำหรับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์ นิวส์ดีสเตชั่น ว่าม เท่าที่ทราบในพรุ่งนี้(18พ.ค.) น่าจะออกอากาศได้ แต่ยังไม่ 100 % เต็ม โดยการถ่ายทอดศัญญาณจะใช้ผ่านดาวเทียม nss ส่วนดาวเทียมไทยคมในขณะนี้ยังมีปัญหาถูกข่มขู่อยู่ ซึ่งในการออกอากาศที่จะมีขึ้นนี้จะมีการตีแผ่ความจริงของเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์ทมิฬ เช่น เหตุการณ์ที่หน้าตลาดนางเลิ้ง เพชรบุรี ซ.5 , 7 และที่กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งรถแก๊สที่แยกดินแดง เป็นต้น

นายกฯเผยผลตรวจตู้คอนเทนเนอร์


Breaking News - นายกฯเผยผลตรวจตู้คอนเทนเนอร์
นายกฯเผยผลตรวจตู้คอนเทนเนอร์อายุกว่า20ปีไม่น่าเกี่ยวศพพฤษภาทมิฬ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีทีว่า ในวันนี้เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน หรือที่เรียกว่า เหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม ซึ่งโดยปกติเป็นประจำทุกปี ตนจะเดินทางไปร่วมงาน แต่ในปีนี้ไม่ได้ไป เพราะติดภาระกิจจัดรายการนี้ สำหรับความคืบหน้าในการจัดทำอนุสรณ์สถานขณะนี้แบบก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกประมาณครึ่งปีจะมีการปรับสภาพพื้นที่และเร่งดำเนินการก่อสร้าง

นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยถึงข่าวเรื่องการค้นหาศพผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์พ.ค.35 โดยค้นพบตู้คอนเทนเนอร์ที่ทะเลอ่าวไทยจ.ระยองว่า ได้ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น ตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวมีอายุกว่า 20ปี ขณะที่เหตุการณ์พฤษภาทิฬเกิดขึ้นเมื่อ17ปีที่แล้ว จึงไม่น่าเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายอาจต้องใช้งบประมาณมากพอสมควรเพื่อยกตู้คอนเนอร์ขึ้นมาเพื่อเจาะดูข้างใน ขณะเดียวกันผู้เสนอแนะให้เอาประการังมาตรวจพิศูจน์

ชัยสิทธิ์พร้อมนั่งหัวหน้าเพื่อไท


Breaking News - ชัยสิทธิ์พร้อมหัวหน้าเพื่อไทย
ชัยสิทธิ์พร้อมนั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแต่เชื่อคนไกลบ้านไม่เอาด้วย
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ออกมายืนยันว่าเตรียมยื่นใบลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในสัปดาห์หน้า ว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อใดๆ จากพรรคเพื่อไทยเพื่อทาบทามให้ตนเองเข้าไปรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่โดยส่วนตัวแล้วตนเองเชื่อว่าการเลือกตัวหัวหน้าพรรค น่าจะขึ้นอยู่กับคนที่อยู่ต่างประเทศมากกว่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่มีชื่อของตนเองในการพิจารณารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคในที่ประชุม เนื่องจากที่ผ่านมาก็เคยเสนอตัวเข้าช่วยงานแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับกลับมาทั้งนี้ ตนเองไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆกับคนที่อยู่ต่างประเทศ และหากตนเองได้รับการติดต่อจริงก็พร้อมเพราะโดยสายเลือดนั้นอย่างไรก็ต้องช่วยเหลือกัน

ด้านนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตัวหัวหน้าพรรคใหม่นั้น อาจจะเป็นได้ทั้งคนที่เป็น ส.ส.อยู่แล้ว และที่ไม่ได้เป็น ส.ส. เช่น นายทหาร หรือนักธุรกิจบางท่าน เนื่องจากการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคครั้งนี้ อาจเป็นการเตรียมการเลือกตั้งใหม่เลยก็เป็นได้ เพราะการเมืองเข้าสู่ช่วงปิดสมัยประชุมสภา 4 เดือนแล้ว

'ชัย' มั่นใจสภาฯ แก้ปัญหาการเมืองได้


Daily News Online : Politics
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.20 น. วันนี้ (16 พ.ค.) นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานสภาสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธานเปิดอบรมและปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ 'บทบาทรัฐสภาในการสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ปกครองท้องที่ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ' ซึ่งเป็นความร่วมมือของรัฐสภา กระทรวงมหาดไทย และสถาบันพระปกเกล้า จัดโครงการสัมมนาเรื่อง 'การเสริมสร้างและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจทางการเมือง การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ปกครองท้องที่' ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เริ่มวันที่ 16 พ.ค.-8 ส.ค.2552 รวม 25 รุ่น

โดย นายชัย กล่าวว่า รัฐสภาถือเป็นสภาอันทรงเกียรติ เพื่อหาทางออกให้บ้านเมือง โดยเฉพาะขณะนี้มีปัญหาทั้งวิกฤติการเมืองและเศรษฐกิจ เชื่อมั่นว่า รัฐสภาจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ นอกเหนือจากนโยบายการบริหารของรัฐบาลแล้ว รากเหง้าของปัญหาที่สำคัญคือ การส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำท้องถิ่น จึงมีบทบาทสำคัญ ปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนทั่วประเทศ เข้าใจถึงครรลองประชาธิปไตย ควบคู่กับการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน

“จากนี้ไปขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และทุกภาคส่วน ร่วมมือกันทั่วประเทศ สร้างความสมานฉันท์ ไม่มีสีเหลือง สีแดง หรือสีต่าง ๆ ขอให้ทุกคนอยู่ใต้สีเดียวกันคือ สีของธงไตรรงค์ เพราะปัญหาต่าง ๆ ทำให้ประเทศล้าหลังมามากแล้ว ทั้งนี้ พร้อมรับฟังความเห็นทุกเรื่อง จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” นายชัย กล่าว.


Label Cloud