Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Wednesday, September 30, 2009

SCENARIOS: Key terrorism risks to economies in Southeast Asia

SCENARIOS: Key terrorism risks to economies in Southeast Asia | ABS-CBN News Online Beta
SINGAPORE - The killing of Indonesia's most-wanted militant Noordin Mohammad Top has reduced the immediate threat from terrorism in southeast Asia, but analysts say the danger is far from over. A key issue for investors is the extent to which further militant violence could undermine regional markets.

The evidence from decades of militant attacks in southeast Asia and beyond is that aside from short-term selling pressure, the damage tends to be limited. Yet terrorism can have a major impact if it fundamentally alters a country's risk profile.

Following is a round-up of key risk scenarios in which militants could significantly damage regional economies.

* ESCALATION AND INTERNATIONALISATION OF THAI INSURGENCY

In the past 5 years, the long-running Muslim insurgency in Thailand has escalated. Counterterrorism expert David Kilcullen notes that in terms of the casualty toll as a proportion of local population, "the level of violence makes southern Thailand's ethnoreligious insurgency one of the most intense in the world, second only to those in Iraq and Afghanistan."

But because violence has been confined to the south, and militants have shown no inclination to strike economic targets in Bangkok or key tourist areas, the market impact has been minimal.

The risk is that this changes. If southern insurgents widen their conflict, or if al Qaeda-linked militants are able to infiltrate and internationalize the conflict, the impact on the economies of Thailand and its neighbors could be severe.

So far, the prospect of this happening appears remote.

"It is certainly reasonable to speculate that at least some outside Islamist entity has attempted to exploit the ongoing unrest in southern Thailand for its own purposes," said RAND counterterrorism Peter Chalk. "That said, there is (as yet) no concrete evidence to suggest that the region has been transformed into a new beachhead for panregional jihadism."...>>


ป.ป.ช.มีมติเชือด'สมัคร-นพดล' หนุนเขมรขึ้นทะเบียนพระวิหาร

ป.ป.ช.มีมติเชือด'สมัคร-นพดล' หนุนเขมรขึ้นทะเบียนพระวิหาร - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

ปปช.สั่งเชือด'สมัคร-นพดล'หนุนเขมรขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร เตรียมส่งอัยการยื่นฟ้องศาลฎีกาฯ ส่วนรมต.รอดหมด เพราะรู้ข้อมูลในวันประชุม
เมื่อเวลา 16.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก และนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อลงมติชี้มูลความผิดคดีเขาพระวิหาร ว่า จากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2551 มีการประชุม ครม. โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดย ครม.ได้มีมติให้ความเห็นชอบในร่างคำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลก ตามที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศเสนอ หลังจากนั้นในวันที่ 27 มิ.ย. 2551 ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยโดยมีคำสั่งห้ามมิให้ รมว.การต่างประเทศและครม. ดำเนินการใดๆ ที่เป็นการอ้างหรือใช้ประโยชน์จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2551 เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งยืนตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง

นายกล้านรงค์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา เนื่องจากมีข้อความเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าแม้ในแถลงการณ์ร่วมจะไม่ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมด พบว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน และอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศต่อไปได้ นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังเห็นว่าการที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงในเรื่องเส้นเขตแดน อีกทั้งเป็นประเด็นที่มีความแตกต่างด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด การที่นายนพดลได้เจรจากับกัมพูชา ก่อนที่จะลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่าหากลงนามไปแล้วอาจก่อให้เกิดการแตกแยกทางความคิดของคนทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤตด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันมีผลกระทบด้านความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง

นายกล้านรงค์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติ 6 ต่อ 3 ว่านายนพดลและนายสมัครมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยในส่วนของนายนพดลนั้น มีพยานหลักฐานว่าดำเนินในลักษณะปิดบังอำพรางไม่โปร่งใส อีกทั้งมีหลักฐานแสดงว่านายนพดลมีมูลเหตุจูงใจอย่างอื่นแอบแฝง ซึ่งจากพยานหลักฐานนั้นน่าเชื่อว่านายนพดลรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้สำคัญเกินกว่าที่จะให้ฝ่ายบริหารดำเนินการ โดยปราศจากการตรวจสอบของรัฐสภาและยังรู้ถึงความเสียหายที่เกิดจากสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทยและผลกระทบทางสังคม ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้เจ้าหน้าที่เสนอผลเสียของการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่นายนพดลไม่รับฟังแม้จะมีการวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางทั้งจากนักวิชาการ นักการเมืองและสื่อมวลชน แต่นายนพดลกลับตอบโต้อย่างรุนแรง

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อพิจารณาประกอบกับสถานะทางการเมืองของนายนพดลในฐานะเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ ซึ่งต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตและผลกระทบทางสังคม ตลอดจนความเสียหายจากสภาวะและผลกระทบดังกล่าว ดังนั้นจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่านายนพดลกระทำไปโดยรู้ไปอย่างดีในความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จึงถือว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและคนไทยทุกคน นายนพดลจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ส่วนนายสมัครในฐานะหัวหน้ารัฐบาลต้องรู้ดีถึงความอ่อนไหวของประเด็นที่จะทำให้เกิดผลกระทบในเรื่องอาณาเขตและวิกฤตการณ์ทางสังคม อีกทั้งนายสมัครได้เป็นฝ่ายขอให้นายนพดลดำเนินการเพื่อช่วยเหลือสมเด็จฮุนเซน ในการเลือกตั้ง ในวันที่ 27 ก.ค. 2551 ซึ่งการนำผลประโยชน์ของประเทศชาติมาใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงของพรรคการเมืองต่างประเทศอย่างนี้ หากมองถึงสถานะทางการเมืองของนายสมัครที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว เห็นได้ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อที่จะมีนักการเมืองคนใดจะมีความคิดเช่นนี้ นายสมัครจึงมีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับนายนพดล โดย ป.ป.ช. จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

นายกล้านรงค์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ถอดถอนนายสมัครและนายนพดลออกจากตำแหน่ง ตามความผิดตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญ โดยให้ส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภาดำเนินการต่อไป ส่วนผู้ถูกกล่าวที่เป็นรัฐมนตรีที่เหลือในรัฐบาลนายสมัครอีก 25 คนนั้น ซึ่งได้เข้าร่วมประชุมในการออกแถลงการณ์ร่วมด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้ไม่มีเจตนากระทำความผิดร่วมกับนายสมัครและนายนพดล เนื่องจากการดำเนินการของนายนพดลมีลักษณะเป็นงานทางวิชาการและทางเทคนิค การรับรู้ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ เป็นการรับรู้ตามที่นายนพดลและนายสมัครแจ้งในที่ประชุมครม. ในเวลาอันสั้นเท่านั้น ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จึงไม่น่าจะรู้ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่จะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตและความมั่นคงของประเทศ สำหรับข้าราชการที่ถูกกล่าวหาอีก 5 คนนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดร่วมกับนายนพดลและนายสมัคร เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานว่าข้าราชการเหล่านี้ได้ล่วงรู้ถึงมูลเหตุจูงใจทางกาเมืองของนายสมัครและนายนพดล ที่จะช่วยเหลือพรรคการเมืองของกัมพูชา

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี ที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วยนั้นจากการไต่สวนพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ส่วนนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งไปก่อน

เมื่อถามว่า จะมีการนำสำนวนส่งให้อัยการสูงสุดเมื่อไหร่ นายกล้าณรงค์ กล่าวว่า หลังจากนี้เราจะรับรองมติการประชุม จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนำสำนวนให้กรรมการป.ป.ช.ทั้ง 9 คนลงนาม ก่อนที่จะส่งสำนวนทั้งหมดให้กับประธานวุฒิสภาและอัยการสูงสุด จากนั้นอัยการสูงสุดจะพิจารณาและส่งเรื่องต่อให้ศาลฎีกา แผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป

เมื่อถามว่า การที่ป.ป.ช.ใช้คำว่า รู้ว่าอาจจะทำให้เสียดินแดน เหตุใดจึงเห็นว่า นายนพดลจงใจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 นายวิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นคำวิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ตีความคำว่า สนธิสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตให้รวมถึงหนังสือสัญญาที่มีบทต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตด้วย โดยเฉพาะกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เกิดจากภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลต่ออาญาเขต ฉะนั้นในการวินิจฉัยการกระทำของนายสมัครและนายนพดลมีเจตนาหรือไม่นั้น จะอยู่ที่ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 รู้ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เป็นภาวะสุ่มเสี่ยงต่ออาณาเขตของประเทศไทย รวมถึงความผู้กล่าวหาทั้ง 2 รู้ถึงข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ทำให้ความมั่นคงของประชาชนกระทบอย่างรุนแรงหรือไม่ด้วย ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาอย่างไรก็ต้องถือว่ายุติตามนั้น คณะกรรมการหรือหน่วยงานอื่นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้

เมื่อถามว่า ดูจากหลักฐานที่ป.ป.ช.พิจารณา ส่วนใหญ่มาจากฝ่ายตรงข้ามนายนพดล นายวิชัย กล่าวว่า ไม่ใช่ เรานำมาทั้งฝ่ายเดียวกันและฝ่ายตรงข้ามนายนพดล โดยเฉพาะหลักฐานจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ อาทิ คำแถลงของนายนพดลและคำกล่าวของนายสมัครกรณีที่ขอให้นายนพดลช่วยเหลือสมเด็จฮุนเซนที่จะมีการเลือกตั้ง

นายกล้าณรงค์ กล่าวว่า เราไม่ได้นำหลักฐานฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามนายนพดลเท่านั้น แต่เราได้นำหลักฐานเป็นเอกสารจากกระทรวงต่างประเทศและการสอบปากคำเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศทั้งหมด รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก่อนที่จะมาวินิจฉัย

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ส่วนการชี้มูลนายสมัครนั้น เราดูจากพฤติการณ์ที่มีมาตั้งแต่ต้น รวมทั้งข้อความในคำแถลงการณ์ว่าในกรณีดังกล่าวมีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร ดังนั้นเอกสารหลักฐานในการชี้มูลของป.ป.ช.มีจำนวนหลายร้อยหน้า ซึ่งรวมทั้งสำเนาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วย และทั้งหมดจะส่งให้อัยการสูงสุดต่อไป เพื่อส่งไปยังประธานวุฒิสภาต่อไปด้วย

เมื่อถามว่า กรณีของนายนพดลได้พิจารณาจากผลของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองด้วยใช่หรือไม่ นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ไม่ใช่ ศาลปกครองวินิจฉัยอย่างไรก็เป็นเรื่องของศาลปกครอง เพียงแต่ป.ป.ช.ได้นำข้อวินิจฉัยดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องยืนยันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันกับทุกองค์กร

ด้านนายวิชัย กล่าวว่า การพิจารณาความผิดเกี่ยวกับมาตรา 190 ก็ต้องดูว่าเขารู้อยู่แล้ว ถึงพฤติการณ์และข้อเท็จจริงนั้นหรือไม่ เนื่องจากเราจะอ้างว่าไม่รู้ข้อกฎหมายไม่ได้ แต่สำหรับข้อเท็จจริงอ้างว่าไม่รู้นั่นได้ เพราะถ้าอ้างว่า เข้าใจผิดในข้อกฎหมายว่า จะต้องนำเข้าสภาหรือไม่ อย่างนั้นไม่สามารถอ้างได้ และในกรณีนี้สิ่งที่ถูกประทุษร้ายคืออำนาจของรัฐสภาที่จะตรวจสอบการกระทำของฝ่ายบริหาร เพราะแต่เดิมถือว่าการทำสนธิสัญญาเป็นเอกสิทธิ์ของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติจะไปยุ่งด้วยไม่ได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปลี่ยนหลักการว่า หากเป็นสนธิสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมของประเทศแล้ว ฝ่ายรัฐสภาเท่านั้นที่จะให้ความเห็นชอบ แต่ฝ่ายบริหารดำเนินการโดยพลการไม่ได้ หากดำเนินการโดยพลการก็ถือว่าผิด ดังนั้นความสำคัญอยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของปัญหา ไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ว่าไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบประเทศกัมพูชา

นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับเสียงของกรรมการป.ป.ช. 6 ต่อ 3 ที่ชี้มูลในครั้งนี้นั้น เสียงข้างน้อยจะเป็นใครบ้างคงบอกไม่ได้ ซึ่งความเห็นต่างในศาลนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดามาก บางครั้งในศาลเสียง 5 ต่อ 4 ยังเป็นของปกติเลย เมื่อถามว่าจะส่งผลต่อการสู้ดีของนายนพดลหรือไม่ นายวิชัย กล่าวว่า เชื่อว่าคงไม่ส่งผลใดๆ

ด้านนายกล้านรงค์ กล่าวว่า ในแต่ละเสียงที่มีมติซึ่งเสียงข้างน้อยที่เห็นว่าไม่มีมูลให้คำร้องตกไปก็จะต้องอยู่ในสำนวนการไต่สวนด้วย หรือแม้แต่เสียงข้างน้อยหนึ่งเสียงที่เห็นว่าผิดทั้งหมดก็จะอยู่สำนวนการไต่สวนด้วยเช่นกัน ส่วนเสียงข้างมาก 5 เสียงที่เห็นว่ามีความผิดเฉพาะสองคนก็อยู่ในสำนวนการไต่สวน ดังนั้นเป็นเรื่องที่ป.ป.ช. ดำเนินการตามปกติ ถือเป็นวิจารณญาณเฉพาะเรื่อง


Tuesday, September 29, 2009

เลขายูเอ็น รับปัญหาเขาพระวิหารไว้พิจารณา

Preah VihearImage by matluckins via Flickr
เลขายูเอ็นรับปัญหาเขาพระวิหารไว้พิจารณา - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

เลขายูเอ็นรับนำปัญหาความขัดแย้งเขาพระวิหารระหว่างไทย-กัมพูชาไปพิจารณา กรณียูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเเจ้งว่า ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติเเละจี20 ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์มีกำหนดการพบนายบัน คี มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติด้วย

รายงานข่าวกล่าวว่า นายกฯได้หารือกับนายปันเรื่องเขาพระวิหาร เนื่องจากเรื่องนี้สร้างความขัดเเย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกให้กัมพูชา ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงพื้นที่รอบปราสาท 4.6ตร.กม.เเละทางขึ้นปราสาทอยู่ในพื้นที่ของไทย เเสดงให้เห็นว่าการขึ้นทะเบียนของยูเนสโกไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันทั้งสองประเทศก็มีคณะกรรมการปักปันเขตเเดนที่ทำงานร่วมกันอยู่

ก่อนหน้านี้ประชาชนสองประเทศรวมทั้งนักท่องเที่ยวก็ขึ้นไปเที่ยวบนปราสาทได้เเต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่มีใครไปเที่ยวอีกเลย จึงอยากให้องค์การสหประชาชาติในฐานะที่กำกับดูเเลยูเนสโกช่วยรับเรื่องนี้ไปดำเนินการ โดยนายบันได้รับเรื่องนี้ไปพิจารณาเเล้ว


Reblog this post [with Zemanta]

Sunday, September 27, 2009

เทียบ 2 หัวข่าว - ไทม์ชี้"มาร์ค" แค่ภาพลักษณ์ดี ปลอดโกง แก้วิกฤตไม่ได้ ระบุมะกันวิตกสถานการณ์การเมือง ให้เงินฟื้นปชต.

สองหัว สองขั้ว ใคร"กลาง"กว่า?
 

"ไทม์" เปรียบอภิสิทธิ์ "คนที่อยู่ตรงกลาง" ประสานความขัดแย้ง-ฟื้นฟูเสถียรภาพ
Suthichaiyoon.com
อ่านต่อด้านล่าง...


ไทม์ชี้ "มาร์ค" แค่ภาพลักษณ์ดี ปลอดโกง แก้วิกฤตไม่ได้ ระบุมะกันวิตกสถานการณ์การเมือง ให้เงินฟื้นปชต.
Matichon Online
นิตยสารไทม์แพร่บทความ เปรียบ "มาร์ค" สะพานเชื่อม 2 ขั้ว ฟื้นฟูความเชื่อมั่นประชาธิปไตย บอกแค่ภาพลักษณ์ดี ปลอดคอร์รัปชั่นแก้วิกฤตไม่ได้ อ้างสหรัฐเป็นกังวลสถานการณ์ ให้เงินฟื้นปชต.ที่ไม่เคยเกิดในรอบ 15 ปี

"ไทม์"ระบุ"มาร์ค"พยายามฟื้นฟูปชต.

เมื่อวันที่ 26 กันยายน รายงานข่าวแจ้งว่า นิตยสารไทม์ รายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกา ฉบับตีพิมพ์วันที่ล่วงหน้าวันที่ 5 ตุลาคม เผยแพร่บทความของฮันนาห์ บีช ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย ที่เข้าพบสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และร่วมสังเกตการณ์การประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือจี 20 ในฐานะประธานอาเซียน โดยผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนตรีวัย 45 ปีของไทยดูสบายๆ กับการทำหน้าที่เชิงการทูตระหว่างประเทศ มากกว่าการต้องเผชิญหน้ากับหลากหลายประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะความขัดแย้งรุนแรงในประเทศ

ฮันนาห์ บีช ระบุว่า ความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวนายกรัฐมนตรี ตรงกันข้ามนายอภิสิทธิ์กลับพยายามอย่างมากที่จะฟื้นฟูสถาบันประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยลงอย่างมากจากความแตกแยกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และอ้างความเห็นของสุนัย ผาสุก ตัวแทนองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทยไว้ว่า นายกฯคนนี้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งคนแรกที่ประกาศจะใช้สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนำหน้าในการบริหารของรัฐบาลเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติขึ้น...>>

อ่านจาก Time ต้นฉบับ "Man in the Middle"

"ไทม์" เปรียบอภิสิทธิ์ "คนที่อยู่ตรงกลาง" ประสานความขัดแย้ง-ฟื้นฟูเสถียรภาพ
Suthichaiyoon.com

บทสัมภาษณ์ "อภิสิทธิ์" ในนิตยสารไทม์ ได้เปรียบเทียบให้เป็นเสมือน "คนที่อยู่ตรงกลาง" รับบทเป็นทั้งผู้ประสานความขัดแย้ง และฟื้นฟูเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นของประเทศ ระบุสหรัฐยังห่วงปัญหาการเมืองไทย หวั่นระบอบประชาธิปไตยไทยสะดุด


นิตย สารไทม์ฉบับรายสัปดาห์ตีพิมพ์วันที่ 5 ต.ค.2552 ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยฮันนาห์ บีช ผู้สื่อข่าวของไทม์ ประจำประเทศไทย ก่อนหน้าที่นายอภิสิทธิ์จะเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ของสหรัฐ และร่วมสังเกตการณ์การประชุมผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือจี-20 ในฐานะประธานอาเซียน ที่ระบุว่า นายกรัฐมนตรีวัย 45 ปีของไทยยังคงมีท่าทีสบายๆ กับการปฏิบัติภารกิจที่เน้นหนักไปในการทำหน้าที่เชิงการทูตระหว่างประเทศ มากกว่าการเผชิญหน้ากับหลากหลายประเด็นร้อนทางการเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในประเทศ
       และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในการกล่าวสุนทรพจน์ในเวทีโลก เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ก.ย. นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งคาดว่าจะหยิบยกประเด็นต่างๆ ขึ้นมาพูด ตั้งแต่เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นการลงทุนของต่างชาติในไทย จะได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้เข้าร่วมประชุม
      บทความชิ้นนี้ของฮันนาห์ บีช ระบุว่า แม้นายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ของไทย จะเป็นที่ยอมรับในประชาคมโลก แต่เขาก็กำลังถูกท้าทายจากกลุ่มต่อต้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ารัฐบาลของเขาที่เต็มไปด้วยนักวิชาการจำนวนมากจะมั่นใจว่าดำเนินนโยบาย มาถูกทาง และอ้างผลงานว่าทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศสดใสขึ้น
       โดยก่อนหน้าที่นายอภิสิทธิ์จะออกเดินทางไปร่วมประชุมที่ยูเอ็นได้เพียง 2 วัน กลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 2 หมื่นคน ก็ร่วมชุมนุมแสดงพลังในโอกาสครบรอบปีที่ 3 ของการก่อรัฐประหารโค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และในวันเดียวกันนี้ กลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งให้การช่วยเหลือเพื่อปูทางให้นายอภิสิทธิ์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศ ก็ปะทะกับชาวบ้านบริเวณใกล้ชายแดนกัมพูชา 
       ส่วนสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น กลุ่มแบ่งแยกดินแดน ยังคงก่อความไม่สงบในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เฉพาะในเดือน ก.ย.เพียงเดือนเดียว ได้เกิดเหตุรุนแรง โดยฝีมือกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไปแล้วกว่า 10 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 350 ราย และคาดว่า หากการก่อความไม่สงบยังคงดำเนินต่อไป ยอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงกว่าปีที่แล้ว
       ฮันนาห์ บีช มองว่า ความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในไทย ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวนายกรัฐมนตรี ตรงกันข้ามนายอภิสิทธิ์กลับพยายามอย่างมาก ที่จะฟื้นฟูสถาบันประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยลงอย่างมากจากความแตกแยกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา 
       พร้อมทั้งอ้างความเห็นของนายสุนัย ผาสุก ตัวแทนองค์กรฮิวแมนไรท์ส วอทช์ ประจำประเทศไทย ที่เคยกล่าวไว้ว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งคนแรก ที่ประกาศจะใช้สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนำหน้าในการบริหารของรัฐบาล เพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติขึ้น แต่ก็ไม่มีอำนาจพอที่จะขับเคลื่อนรัฐบาลผสม ให้แปรคำพูดเป็นการกระทำจริงๆ ได้ ซึ่งในส่วนนี้ นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธ โดยระบุว่า ทุกอย่างยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ เพียงแต่จำเป็นต้องให้แน่ใจว่า คนกลุ่มน้อยที่โน้มเอียงไปในทางใช้ความรุนแรงและก่อเหตุวุ่นวาย จะไม่สามารถสร้างความยากลำบากให้เกิดขึ้นกับประเทศได้อีกเท่านั้น
       ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารไทม์ ระบุด้วยว่า สถานการณ์ทางการเมืองในไทยยังอยู่ในสภาพน่าวิตก ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมักนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มและแบ่ง แยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ซึ่งส่งผลให้การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศเมื่อไม่นานมานี้มีคน ไทยเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เห็นว่า ประเทศกำลังเดินไปถูกทาง
       "ตามความเป็นจริงแล้ว สหรัฐกำลังวิตกกังวลกับสถานการณ์การเมืองในไทยมาก ถึงขนาดตัดสินใจมอบเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่าง ประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเสด) เพื่อดำเนินการสร้างประชาธิปไตยขึ้นในไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมายาวนานเกือบ 15 ปีแล้ว" ฮันนาห์ บีช ระบุในบทความชิ้นนี้
       บทความของไทม์ชิ้นนี้ ยังได้เปรียบเปรยนายกรัฐมนตรีของไทยว่าเป็นเหมือน "คนที่อยู่ตรงกลาง" ที่นอกจากจะต้องพยายามทำตัวเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคน 2 กลุ่มแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยไปให้ กลับคืนมาอีกครั้ง แต่การเป็นผู้นำที่มีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นนักการเมืองมือสะอาด มีความรู้ ตั้งใจจริงในการทำงาน และไม่คอร์รัปชันเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้การแก้ปัญหาการเมืองภายในประเทศลุล่วงไปได้  เพราะการแก้ปัญหาต้องเริ่มตั้งแต่ภายในรัฐบาลผสมด้วยกันเองเสียก่อน
       ในบทความชิ้นนี้ นายอภิสิทธิ์ยอมรับกับผู้สื่อข่าวของนิตยสารไทม์ตรงๆ ว่า ประเทศไทยและรัฐบาลกำลังเผชิญภาวะยากลำบากอย่างมาก แต่ผู้เขียนบทความชิ้นนี้ก็กล่าวว่า ไทยก็ไม่ได้มีผู้นำทางการเมืองที่มีศักยภาพมากมายเพียงพอที่จะทำอะไรๆ ได้ดีกว่าที่ตัวเขากำลังดำเนินการ
       "เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราต้องให้แน่ใจว่าสามารถสถาปนาเสาหลักซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ให้เข้าที่เข้าทางได้ โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง กับสิ่งที่มองกันว่า ประชาธิปไตย คือการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ เราต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวให้ได้" นายอภิสิทธิ์ กล่าว 



ศึกทวิตเตอร์“แม้ว”โต้เดือดคู่เหมือน“มาร์ค”

Daily News Online > ศึกทวิตเตอร์“แม้ว”โต้เดือดคู่เหมือน“มาร์ค”
(25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ตอบโต้กับบุคคลซึ่งใช้ชื่อ ภายใต้ชื่อ “Prn_Abhisit“ อย่างดุเดือด โดยเริ่มจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า “วันนี้ทราบว่า นสพ.ผู้จัดการ ตัดต่อภาพผมหลอกลวงคนไทย” ต่อมาบุคคลดังกล่าวได้เข้ามาโพสต์ตอบโต้ว่า “ก็เหมือนคลิปเสียงตัดต่อที่ต้องบอกมาว่า ภาพจริงอยู่ไหน และเหมือนที่ฝ่ายค้านพูดเรื่องตัดต่อคลิป คือ เป็นภาพจริงทั้งหมด แต่คนใกล้ตัวท่านตัดต่อให้กระชับเป็นภาพเดียวกันใช่ไหม? ทั้งนี้ หลังตอบโต้ได้สักพัก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บล็อกบุคคลดังกล่าวออกจากกลุ่มสมาชิก แต่บุคคลดังกล่าวยังพยายามโพสต์ข้อความทิ้งท้าย อาทิ “คุณมาชวนผมคุยเองนะครับ เป็นถึงอดีตนายกฯ จะขี้ขลาดหนีไปเฉย ๆ แบบนี้หรือครับ? คุณอ่อนกว่าที่ผมคิดเยอะ แบบนี้ไม่ต้องคุยว่า จะมากอบกู้เศรษฐกิจ แค่ตัวเองก็เอาไม่รอดแล้ว น่าเวทนาจริง ๆ ครับ!...>>


Saturday, September 26, 2009

ไทยเข้มแข็งฉาว พท.ปูดโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์การแพทย์

Daily News Online > ไทยเข้มแข็งฉาว พท.ปูดโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์การแพทย์
(26 ก.ย.) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานสำนักงานปราบโกง หรือ สปก 401 พรรคเพื่อไทย แถลลงว่า สปก 401 พรรคเพื่อไทย ได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้จากข้าราชการผู้หวังดีในกระทรวงสาธารณสุขว่า มีการส่อทุจริตในโครงการที่มีกระบวนการ และขั้นตอนคล้ายกับกรณีทุจริตชุมชนพอเพียง โดยเป็นการใช้งบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ไปจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ของกระทรวงสาธารณสุข รวมมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท...>>


จวกเพื่อไทยปล่อยข่าวลดความน่าเชื่อถือศาลไทย

Daily News Online > จวกเพื่อไทยปล่อยข่าวลดความน่าเชื่อถือศาลไทย
(26 ก.ย.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึง กรณีที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ระบุ คนสิงคโปร์ไม่กล้าขึ้นศาลไทย เพราะไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมไทยว่า ขอตำหนิการให้ข่าวของ นายวรวัจน์ เพราะจากการเข้าพบเจ้าหน้าที่สถานทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทยยืนยันว่า ประเทศสิงคโปร์ยังเคารพบูรณภาพของสถาบันตุลาการ ดังนั้น การกล่าวอ้างของ นายวรวัจน์ ไม่เป็นความจริง ซึ่งเป็นกระบวนการลดความน่าเชื่อถือของศาลไทย โดยการดึงประเทศอื่นมาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอด...>>


โฆษกมาร์คตอกกลับ“แม้ว”ไม่กล้าพิสูจน์ความจริง

Daily News Online > โฆษกมาร์คตอกกลับ“แม้ว”ไม่กล้าพิสูจน์ความจริง
(26 ก.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุ ไม่มีใครกล้าให้ออกสื่อวิทยุ ทีวี รัฐบาลนี้กลัวความจริง ใจแคบ และขี้ตกใจ ว่า ขอชี้แจงว่า รัฐบาลนี้ไม่เคยกลัวความจริง พร้อมที่จะเผชิญข้อเท็จจริงทุกเรื่อง แต่คนที่กลัวความจริงก็คือ คนที่ไม่กล้าพิสูจน์ตัวเองกับศาลสถิตยุติธรรม เมื่อถูกตัดสินให้จำคุกจากการใช้อำนาจหน้าที่ ก็เป็นนักโทษหนีคุก ร่อนเร่พเนจรในต่างประเทศ และไม่กล้าที่จะกลับมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเทศไทย จึงอยากถามว่า ใครกันแน่ที่มีพฤติกรรมกลัวความจริง ใจแคบ และขี้ตกใจ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนที่พูดเอาแต่ได้จริง ๆ เมื่อมีนักจัดรายการได้เชิญให้ออกรายการวิทยุ ก็ชมเชยว่า เป็นคนกล้า และมีอุดมการณ์ ลืมไปว่า ตัวเองมีสถานะเป็นนักโทษชายคนหนึ่งที่หลบหนีคดี จึงไม่มีสิทธิเหมือนบุคคลทั่วไป จึงไม่มีใครที่จะให้ออกรายการผ่านสื่อต่าง ๆ...>>


ป.ป.ช.ขอเปิดกฎหมายก่อนสอบทรัพย์สินผู้พิพากษา

Daily News Online > ป.ป.ช.ขอเปิดกฎหมายก่อนสอบทรัพย์สินผู้พิพากษา
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ และโฆษก ป.ป.ช. กล่าวถึง กรณีที่ชมรมกฎหมายภิวัฒน์ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีกล้ายางว่า ขณะนี้ตนยังไม่เห็นคำร้องดังกล่าว จึงต้องรอให้เจ้าหน้าที่รวบรวม และทำความเห็นมาให้ก่อน เรื่องนี้ต้องดูข้อมูลว่า ป.ป.ช. มีอำนาจ และมีข้อกฎหมายให้ทำได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาศาลฎีกาต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินต่อ ป.ป.ช. เมื่อเข้ารับตำแหน่ง...>>


โปรดเกล้าฯ "เพชรวรรต"แดงเชียงใหม่พ้นตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบ

Local - Manager Online
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – ราชกิจจานุเบกษาตีพิมพ์ โปรดเกล้าฯ ให้"เพชรวรรต" แกนนำเสื้อแดงฮาร์ดคอร์เชียงใหม่พ้นจากตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานภาค 5 เนื่องจากประพฤติตนไม่เหมาะสม...>>


ทักษิณโชว์ตีกอล์ฟโต้เป็นมะเร็ง

โพสต์ ทูเดย์ - ทักษิณโชว์ตีกอล์ฟโต้เป็นมะเร็ง
ทักษิณโพสต์ทวิตเตอร์ โต้เป็นมะเร็ง โชว์รูปตีกอล์ฟกับก๊วน อดีต รมต.-สส.ไทยรักไทย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาของ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เรื่องกำลังป่วยเป็นมะเร็ง...>>

ดูรูป 1
ดูรูป 2


Thursday, September 24, 2009

ทหารประชาธิปไตย ชูอนุสัญญา หลักฐานทวงคืนดินแดนเขาพระวิหาร

Bangkok Biznews Special Report
ทหารประชาธิปไตย ชูอนุสัญญา หลักฐานทวงคืนดินแดนเขาพระวิหาร

ข้อความต่อไปนี้คัดลอกจากอนุสัญญาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เมื่อ ๕ ก.ค.๒๔๘๔ ซึ่งเผยแพร่โดยกลุ่มทหารประชาธิปไตย โดยเชื่อว่าจะเป็นหลักฐานสำคัญ ยืนยันการครอบครองดินแดนที่มาเป็นข้อพิพาทในปัจจุบัน

อนุสัญญาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
ลงนาม ณ กรุงโตกิโอ วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๔

สมเด็จพระราชาธิบดีพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยและประมุขแห่งรัฐฝรั่งเศส
โดยที่ได้สนองรับให้รัฐบาลญี่ปุ่นไกล่เกลี่ย เพื่อยังขัดกันด้วยอาวุธซึ่งได้มีขึ้น ณะ เขตต์แดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสให้ระงับถึงที่สุด
ยอมรับนับถือว่า จำเป็นดำเนินการปรับปรุงเขตต์แดนปัจจุบันระหว่างประเทศไทย กับอินโดจีนฝรั่งเศส เพื่อป้องกันมิให้มีการขัดกันเกิดขึ้นอีก ณะ เขตต์แดนนั้น และจำเป็นทำความตกลงกันในวิธีการรักษาความสงบในเขตต์แดน
มีความปรารถนาที่จะกลับสถาปนาสัมพันธ์ไมตรี ซึ่งมีสืบเนื่องมาระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสโดยบริบูรณ์
จึงได้ตกลงทำอนุสัญญาเพื่อการนี้ และได้แต่งตั้งผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย คือ
ฝ่ายสมเด็จพระราชาธิบดีพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงต่างประเทศ
พระยาศรีเสนาอัครราชทูตของสมเด็จพระราชาธิบดีพระมหากษัตรีย์แห่งประเทศไทย ประจำประเทศญี่ปุ่น
นายนาวาอากาศเอก พระศิลป์ศัสตราคม เสนาธิการทหารแห่งประเทศไทย
นายวนิช ปานะนนท์ อธิบดีกรมพาณิชย์
และ ฝ่ายประมุขแห่งฝรั่งเศส
ม.ชาร์ลส์ อาร์แซน - ฮังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศญี่ปุ่น
ม.เรอเน โรแบง ผู้สำเร็จราชการอาณานิคมกิตติมศักดิ์
ผู้ซึ่งเมื่อได้ส่งหนังสือมอบอำนาจเต็มให้แก่กันและกัน และตรวจเห็นว่าเป็นไปตามแบบที่ดีและถูกต้องแล้วได้ทำความตกลงกันเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ สัมพันธ์ไมตรีระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเป็นอันกลับสถาปนาตามมูลฐานสารัตถสำคัญแห่งสนธิสัญญาทางไมตรีพาณิชย์ และการเดินเรือ ฉบับวันที่ ๗ ธันวาคม ค.ศ.๑๙๓๗ (พ.ศ.๒๔๘๐)
ฉะนั้น จะได้มีการเจรจากันทางทูตโดยตรง ณะ กรุงเทพฯ โดยเร็วที่สุด เพื่อระงับบันดาปัญหาที่ค้างอยู่เนื่องจากการขัดกันให้เสร็จสิ้นไป

ข้อ ๒ เขตต์แดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส จะได้ปรับปรุงดังต่อไปนี้
จากเหนือลงมาเขตต์แดนจะได้เป็นไปตามแม่น้ำโขง ตั้งแต่จุดที่รวมแห่งเขตต์แดนประเทศไทย อินโดจีนฝรั่งเศสและพะม่า จนถึงที่จุดแม่น้ำโขงตัดเส้นขนานขีดที่สิบห้า (แผนที่ทบวงการภูมิศาสตร์แห่งอินโดจีน มาตราส่วน 1 ต่อ 500,000 )
ในตอนนี้โดยตลอด เขตต์แดนได้แก่เส้นกลางร่องน้ำเดินเรือที่สำคัญยิ่ง แต่ทว่าเป็นที่ตกลงกันชัดแจ้งว่า เกาะโขงยังคงเป็นอาณาเขตต์อินโดจีนฝรั่งเศส ส่วนเกาะโขงตกเป็นของประเทศไทย
ต่อจากนั้นไปทางตะวันตก เขตต์แดนจะได้เป็นไปตามเส้นขนานขีดที่สิบห้า แล้วต่อไปทางใต้ จะได้เป็นไปตามเส้นเที่ยงซึ่งผ่านจุดที่พรมแดนปัจจุบันระหว่างจังหวัดเสียมราฐกับจังหวัดพระตะบองจดทะเลสาบ (ปากน้ำสตึกกมบต)
ในตอนนี้โดยตลอด หากว่ามีกรณีคณะกรรมการปักปันที่บัญญัติไว้ในข้อ ๔ จะได้พยายามประสานเขตต์แดนเข้ากับเส้นธรรมชาติ หรือพรมแดนปกครองที่ใกล้เคียงกับเส้นเขตต์แดนตามที่นิยามไว้ข้างบนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความยากลำบากในทางปฏิบัติต่อไปเท่าที่จะทำได้
ในทะเลสาบเขตต์แดนได้แก่เส้นโค้ง วงกลมรัศมียี่สิบกิโลเมตร จากจุดพรมแดนปัจจุบันระหว่างจังหวัดเสียมราฐกับจังหวัดพระตะบองจดทะเลสาบ(ปากน้ำสตึงกมบต) ไปบรรจบจุดที่พรมแดนปัจจุบันระหว่างจังหวัดพระตะบองกับจังหวัดโพธิ์สัตว์จดทะเลสาบ(ปากน้ำสตึงดนตรี)
ตลอดทั่วทะเลสาบ การเดินเรือและการจับสัตว์น้ำเป็นอันเสรีสำหรับคนชาติแห่งอัครภาคีผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่าย แต่ให้คุ้มเกรงเครื่องจับสัตว์น้ำคงที่ซึ่งตั้งอยู่ตามชายฝั่ง เป็นที่เข้าใจกันว่าตามเจตนารมณ์นี้ อัครภาคีผู้ทำสัญญาจะได้จัดทำข้อบังคับร่วมกันว่าด้วยการตำรวจ การเดินเรือ และการจับสัตว์น้ำ ในน่านน้ำทะเลสาบโดยเร็วที่สุดที่จะทำได้
ต่อจากปากน้ำสตึงดนตรีไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เขตต์แดนใหม่จะได้เป็นไปตามพรมแดนปัจจุบัน ระหว่างจังหวัดพระตะบองกับจังหวัดโพธิ์สัตว์จนถึงจุดที่พรมแดนนี้ประสบกับเขตต์แดนปัจจุบันระหว่าง ประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส(เขากูป) แล้วให้เป็นไปตามเขตต์แดนปัจจุบันนี้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนถึงทะเล

ข้อ ๓ อาณาเขตต์ที่รวมอยู่ระหว่างเขตต์แดนปัจจุบันแห่งประเทศไทยและอินโดจีน ฝรั่งเศสกับเส้นเขตต์แดนใหม่ตามที่นิยามไว้ในข้อ ๒ จะได้มีการถอนตัวออกไป และโอนกันตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพิธีสารภาคผนวกแห่งอนุสัญญานี้ (ภาคผนวก ๑)

ข้อ ๔ การงานปักปันเขตต์แดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสตามที่นิยามไว้ใน ข้อ ๒ นั้น ให้คณะกรรมการปักปัน ซึ่งจะได้จัดตั้งขึ้นภายในสัปดาห์หลังจากการใช้อนุสัญญานี้เป็นผู้กระทำ ทั้งในส่วนทางบกและส่วนทางน้ำ แห่งเขตต์แดนดังกล่าวแล้ว และให้ดำเนินการงานให้เสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปี
การจัดตั้งและการดำเนินงานแห่งคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว มีบัญญัติไว้ในพิธีสารภาคผนวกแห่งอนุสัญญานี้ (ภาคผนวก ๒)

ข้อ ๕ บันดาอาณาเขตต์ที่โอนให้ จะได้รวมเข้าเป็นส่วนแห่งประเทศไทยตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ :-
๑.ให้ปลอดการทหารโดยตลอด เว้นแต่อาณาเขตต์ชายแดนแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นส่วนแห่งแคว้นลาวของฝรั่งเศสอยู่แต่ก่อน
๒.ในส่วนเกี่ยวกับการเข้ามาการตั้งถิ่นฐาน และบันดาการธุระคนชาติฝรั่งเศส (พลเมืองคนในบังคับและคนในอารักขาฝรั่งเศส) จะได้รับผลประติบัติ ตลอดทั่วอาณาเขตต์ดังกล่าวแล้ว เท่าเทียมกันทีเดียวกับผลประติบัติ ตลอดทั่วอาณาเขตต์ดังกล่าวแล้ว เท่าเทียมกันทีเดียวกับผลการประติบัติที่ให้แก่คนชาติไทย
เป็นที่เข้าใจกันว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับคนชาติฝรั่งเศส สิทธิ์ที่ได้มาเนื่องจากสัมปทานผูกขาด และใบอนุญาต ซึ่งมีอยู่ ณะ วันที่ ๑๑ มีนาคม ค.ศ.๑๙๔๑ จะได้รับความคุ้มเกรงตลอดทั่วอาณาเขตต์ที่โอนให้
๓.รัฐบาลไทยจะอำนวยความคุ้มเกรงเต็มที่ให้แก่บันดาที่บรรจุราชอัฎฐิ ซึ่งมีอยู่ณะฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบาง และจะให้ความสะดวกทุกประการแก่ราชวงศ์หลวงพระบาง และพนักงานราชสำนักในอันจะรักษาและเยายมเยือนที่บรรจุอัฎฐิดังกล่าวแล้ว

ข้อ ๖ ภายในเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพิธีสารภาคผนวกแห่งอนุสัญญานี้ (ภาคผนวก ๓) ให้ใช้หลักต่อไปนี้บังคับแก่เขตต์ปลอดการทหารที่ตั้งขึ้นตามความในอนุ ๑ แห่งข้อก่อนคือ
๑.ในเขตต์ปลอดการทหาร ประเทศไทยจะบำรุงกำลังพลถืออาวุธได้ก็แต่กำลังตำรวจที่จำเป็นสำหรับรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ทว่า ประเทศไทยสงวนสิทธิที่จะเพิ่มกำลังตำรวจขึ้นได้ชั่วคราวเท่าทีจักจำเป็นสำหรับดำเนินการตำรวจพิเศษ และทั้งสงวนอำนาจที่จะกระทำการขนส่งกองทหาร และเครื่องสัมภาระในอาณาเขตต์ของตน ข้ามเขตต์ปลอดการทหารตามที่ต้องการสำหรับดำเนินการตำรวจในเขตต์แขวงใกล้เคียง หรือดำเนินการทหารต่อประเทศภายนอกอนุสัญญานี้
ในที่สุด ในเขตต์ปลอดการทหาร ประเทศไทยจะได้รับอำนาจให้พักอากาศยานมหารที่ไม่มีเครื่องอาวุธได้ทุกเมื่อ
๒.ในเขตต์ปลอดการทหาร ห้ามมิให้มีค่ายมั่น หรือสถานการทหาร หรือสนามบินสำหรับใช้เฉพาะประโยชน์กองทัพ หรือมีคลังเก็บอาวุธหรือกระสุนปืนหรือยุทธภัณฑ์ เว้นแต่คลังเก็บเครื่องสัมภาระที่ใช้อยู่เสมอกับเชื้อเพลิงอันจำเป็นสำหรับอากาศยานทหารที่ไม่มีอาวุธ จึ่งจะมีได้
บันดาสถานที่พักอาศัยของกำลังตำรวจ จะมีองค์กรป้องกันซึ่งโดยปกติจำเป็นสำหรับความมั่นคงแห่งสถานที่นั้นๆ ก็ได้

ข้อ ๗ อัครภาคีผู้ทำสัญญาตกลงกันยกเลิกเขตต์ปลอดการทหารที่มีอยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ในตอนที่ลำแม่น้ำนี้เป็นเขตต์แดนระหว่างประเทศไทยกับแคว้นลาวของฝรั่งเศส

ข้อ ๘ ในขณะที่การโอนอธิปไตยเหนืออาณาเขตต์ ซึ่งโอนให้แก่ประเทศไทยสำเร็จเด็ดขาดลง คนชาติฝรั่งเศสซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาเขตต์นั้นๆ จะได้สัญชาติไทยทีเดียว แต่ว่าภายในเวลาหนึ่งปีหลังจากการโอนอธิปไตยที่สำเร็จเด็ดขาดลงนั้น คนชาติฝรั่งเศสอาจเลือกเอาสัญชาติได้
การเลือกเช่นว่านี้ ให้กระทำโดนวิธีต่อไปนี้
๑. ส่วนพลเมืองฝรั่งเศส ให้ทำคำแถลงต่อเจ้าหน้าที่ปกครองผู้มีอำนาจ
๒. ส่วนคนในบังคับและคนในอารักขาฝรั่งเศส ให้โอนภูมิลำเนาไปอยู่ในอาณาเขตต์ฝรั่งเศส
ประเทศไทยจะไม่ทำการขัดขวางด้วยประการใดๆ โดยมีเหตุผลประการใดก็ตามต่อการที่คนในบังคับและคนในอารักขาฝรั่งเศสดังกล่าวแล้วจะถอนตัวออกไปนั้น หรือจะกลับเข้ามาหากว่ามีกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะออกไปนั้น จะจำหน่ายสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ได้โดยเสรี และจะขนสังหาริมทรัพย์ทุกชนิด ปสุสัตว์ ผลิตผลเกษตรกรรม เงินตราหรือธนาคารบัตร์ของตนไปกับตัว หรือให้ขนส่งไปก็ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าศุลกากร ถึงอย่างไรก็ดี จะรักษาสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ของตนในอาณาเขตต์ที่รวมเข้ากับประเทศไทยไว้ก็ได้

ข้อ ๙ ประเทศไทยและฝรั่งเศสตกลงกันสละเด็ดขาดการเรียกร้องใดๆ ในเรื่องการเงินระหว่างรัฐต่อรัฐ เนื่องจากการโอนอาณาเขตต์ดั่งที่บัญญัติไว้ใน ข้อ ๒ ทั้งนี้โดยประเทศไทยใช้เงินให้แก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวนหกล้านเปียสตรอินโดจีน การใช้เงินจำนวนนี้ให้แบ่งใช้เป็นส่วนเท่าๆ กัน มีกำหนดหกปี นับแต่วันใช้อนุสัญญานี้
เพื่อให้การเป็นไปตามความในวรรคก่อน และเพื่อตกลงบันดาปัญหาเรื่องเงินและเรื่องการโอนมูลค่าต่างๆ ซึ่งอาจมีขึ้นเนื่องจากการโอนอาณาเขตต์ตามที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญานี้ ทบวงการที่มีอำนาจฝ่ายไทยและฝ่ายอินโดจีนฝรั่งเศส จะได้เริ่มเจรจากันโดยเร็วที่สุด

ข้อ ๑๐ การขัดกันใดๆ ซึ่งหากจะเกิดขึ้นระหว่างอัครภาคีผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่ายในเรื่องการตีความหรือการใช้บทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้ จะได้ทำความตกลงกันด้วยดีโดยทางทูต ถ้าการขัดกันนั้น ทำความตกลงกันเช่นนี้ไม่ได้ ก็จะได้เสนอให้รัฐบาลญี่ปุ่นไกล่เกลี่ย

ข้อ ๑๑ บันดาบทบัญญัติแห่งสนธิสัญญา อนุสัญญา และความตกลงที่มีอยู่ระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งไม่ขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้เป็นอันยังคงใช้อยู่ต่อไป

ข้อ ๑๒ อนุสัญญานี้ จะได้รับสัตยาบัน และจะได้แลกเปลี่ยนสัตยาบันกัน ณะ โตกิโอ ภายในสองเดือนหลังจากวันลงนาม หากว่ามีกรณี รัฐบาลฝรั่งเศสจะใช้หนังสือแจ้งการสัตยาบันแทนสัตยาบันสารก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ รัฐบาลฝรั่งเศสจะได้ส่งสัตยาบันสารสัตยาบันกัน ณะ โตกิโอ ภายในสองเดือนหลังจากวันลงนาม หากว่ามีกรณี รัฐบาลฝรั่งเศสจะใช้หนังสือแจ้งการสัตยาบันแทนสัตยาบันสารก็ไไปยังรัฐบาลไทยโดยเร็วที่สุดที่จะทำได้
อนุสัญญานี้ จะได้เริ่มใช้ตั้งแต่วันแลกเปลี่ยนสัตยาบันเป็นต้นไป
เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้มีอำนาจเต็มแต่ละฝ่ายได้ลงนามและประทับตราไว้เป็นสำคัญ ทำควบกันเป็นสามฉบับ เป็นภาษาไทย ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ณะ โตกิโอ เมื่อวันที่เก้าเดือนที่ห้าพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยแปดสิบสี่ ตรงกับวันที่เก้าพฤษภาคม คริสตศักราชพันเก้าร้อยสี่สิบเอ็ด และวันที่เก้าเดือนที่ห้าปีสโยวาที่สิบหก

(ประทับตรา) วรรณไวทยากร
(ประทับตรา) ศรีเสนา
น.อ.ศิลปศัสตราคม (ประทับตรา)
วนิช ปานะนนท์ (ประทับตรา)
(ประทับตรา) CHARLES ARSENE HENRY
(ประทับตรา) RENE ROBIN



“อภิสิทธิ์”โชว์วิสัยทัศน์ สร้างสังคมประชาธิปไตย'ใหม่

“อภิสิทธิ์”โชว์วิสัยทัศน์ สร้างสังคมประชาธิปไตย'ใหม่ - Suthichaiyoon.com
วานนี้ (22 ก.ย.) เวลา 15.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นที่สหรัฐอเมริกา) ณ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ หัวข้อว่า “Post-Crisis Thailand : Building a New Democratic Society” สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

ประเทศไทยนั้นได้เผชิญกับสองวิกฤติที่เกิดขึ้นพร้อมกัน จากภายในประเทศของเราเองและจากภายนอกประเทศ วิกฤติเศรษฐกิจโลกได้โจมตีประเทศไทยเช่นเดียวกับในอีกหลายประเทศ ซึ่งแท้จริงแล้ววิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจาก โลกาภิวัตน์ และกระทบไปยังทั่วโลก เริ่มต้นจากระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐและส่งผลทวีคูณไปทั่วโลก

วิกฤติที่สองที่เราเผชิญ ก่อตัวขึ้นในประเทศของเราเอง นั่นคือ วิกฤติทางการเมือง ที่ถูกพาดหัวข่าวในหลายประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ และในช่วง 9 เดือนที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ เราได้รับความเชื่อมั่นจากมิตรประเทศมากขึ้น และที่มายืนอยู่ที่นี่ได้ ก็เป็นการพิสูจน์ว่าสถานการณ์ในประเทศดีพอและไม่มีอะไรที่น่าห่วงกังวล

ในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ได้พิสูจน์ให้ประชาชนชาวไทยเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ เป็นตัวแทนของคนทุกสี แม้กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและเรียกร้องด้วยการเดินขบวนบนถนน รัฐบาลชุดนี้ยังคงเคารพสิทธิของการชุมนุมและสิทธิเสรีภาพในการเรียกร้อง ในฐานะรัฐบาลจะทำให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่า การเคารพสิทธิดังกล่าวจะต้องดำเนินการภายใต้สันติสุขและมีความรับผิดชอบต่อหลักนิติรัฐและต้องไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น

ภาพรวมของประเทศไทยช่วงหลังวิกฤติในปัจจุบัน สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่เริ่มดีขึ้น มีสัญญาณอย่างน้อย 3 ประการ ที่แสดงว่าเศรษฐกิจโลกและสหรัฐ รวมทั้งในประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุด ความมั่นใจเริ่มกลับคืนมาและรัฐบาลต้องเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการกลับคืนสู่ภาวะปกติ เพื่อปรับรูปแบบทิศทางของสังคมโดยรวมเพื่อรับกับรูปแบบในอนาคต

เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยอยากที่จะมีประชาธิปไตยที่นำเราไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เราตระหนักดีว่าการไปสู่ประชาธิปไตยที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นยากและใช้เวลายาวนาน มีอุปสรรคจนแทบมองไม่เห็นจุดจบ ประเทศไทยเองผ่านประสบการณ์ทางประชาธิปไตย ตั้งแต่ในปี 2475 ที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบรัฐสภาอย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมา ประเทศไทยมี 18 รัฐธรรมนูญ และมีการปฏิวัติรัฐประหารถึง 24 ครั้ง และเรามีถึง 4 รัฐบาล ในระยะเวลา 2 ปี แต่กระนั้นก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นประชาธิปไตยของไทยได้หายไป

ในทางตรงกันข้าม ประชาธิปไตยกลับทำงานอย่างมีชีวิตชีวา เมื่อครั้งที่นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมาได้กล่าวว่า การเมืองไทยเผ็ดร้อนเช่นเดียวกับอาหารไทย

รูปแบบประชาธิปไตยที่จำเป็นว่าต้องเป็นประชาธิปไตย บนพื้นฐานนิติรัฐ ความรับผิดชอบ และสามารถตรวจสอบได้ เป็นประชาธิปไตยที่เสียงของประชาชนเป็นเสียงสำคัญในทุกกระบวนการตัดสินใจ ไม่ใช่เฉพาะช่วงเลือกตั้ง นอกจากนี้ ต้องเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เพียงแต่เคารพต่อเสียงส่วนใหญ่ แต่เสียงส่วนน้อยจะต้องมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม

แต่ทั้งนี้การจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยเช่นนั้น คือสิ่งท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ในฐานะผู้มีความเชื่อในระบอบประชาธิปไตยอย่างเสรี ในฐานะนักศึกษาเศรษฐศาสตร์และการเมือง จะเสนอแนวความคิดว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะสร้างประเทศไทยสู่สังคมประชาธิปไตยใหม่

หลักการของการนำพาประเทศไทยไปข้างหน้า ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสังคมประชาธิปไตยแบบใหม่ และสามารถปรับใช้ได้ดีกับหลายประเทศที่นิยมประชาธิปไตย

ประการแรก สังคมประชาธิปไตยใหม่ ต้องอยู่บนพื้นฐานประชาชน และความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่มีรัฐบาลไหนในปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หากไม่ปกครองตามความต้องการของประชาชน ในประเทศไทย อาจได้ยินเกี่ยวกับการแตกแยกทางการเมืองตามสีต่างๆ ซึ่งนับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร ไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการมากว่า 9 เดือน

ประการที่สอง สังคมประชาธิปไตยใหม่ในช่วงการเปลี่ยนแปลง จะต้องให้ความสำคัญกับความสมานฉันท์ การแตกแยกทางการเมือง ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ถ้าปราศจากความสมานฉันท์ การดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์ของประชาชน ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ หากการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การพัฒนาก็ไม่บรรลุผล แต่การสมานฉันท์ไม่ได้หมายถึงการเบี่ยงเบนกฎหมาย ตรงกันข้าม การบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นธรรมและมีประสิทธิผล จึงจะมีความยุติธรรมและทางออกของการแก้ปัญหาทางการเมือง

เมื่อกล่าวถึงความสมานฉันท์ในประเทศไทย นั้นหมายถึงความสมานฉันท์ในหลายระดับ ความสมานฉันท์ของความแตกต่างระหว่างประชาชนทุกสี ความสมานฉันท์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือแม้แต่ความสมานฉันท์และสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลได้พยายามอย่างที่สุด เพื่อนำสถานการณ์สู่ภาวะปกติ เพื่อความมั่งคั่งและพัฒนาในระยะยาว พร้อมๆ ไปกับการดำเนินนโยบายด้านการศึกษา สังคม และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เริ่มชนะใจประชาชนในพื้นที่แล้ว ส่วนด้านชายแดนตะวันออก ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา นั้น สถานการณ์เป็นเพียงเล็กน้อยในภาพรวมของความสัมพันธ์

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะไม่ใช้อารมณ์ และจะไม่ปล่อยให้ประเด็นนี้ประเด็นเดียวบดบังในเรื่องอื่น ความสมานฉันท์ เกิดได้ต่อเมื่อ มีความเข้าใจความท้าทายที่เผชิญอยู่ในทุกด้าน จุดแข็งและจุดอ่อน และข้อจำกัดต่างๆ รวมถึงการพูดคุยและหารือด้วยความจริงใจ

ประการที่สาม สังคมประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง กว่า 9 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ริเริ่มแผนการกระตุ้น เศรษฐกิจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพราะการลงทุนในประเทศไทยจึงไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนใน ตลาดที่มีพลเมืองแค่ 64 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการลงทุนในฐานการส่งออกสู่ภูมิภาค

อาเซียนที่กำลังจะกลายเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2015 ซึ่งมีประชากรประมาณ 600 ล้านคน ระบบเปิดไม่ใช่แค่เพียงรูปแบบทางเศรษฐกิจ แต่ยังหมายถึงทัศนคติและวิถีการดำเนินชีวิตคนไทยเป็นที่รู้จักกันดีในความใจกว้าง โดยได้เปิดรับชาวต่างชาติให้เข้ามาสู่สังคมไทยทั้งในฐานะ ผู้ค้าขาย ที่ปรึกษา นักเผยแผ่ศาสนา ฯลฯ กว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา

ประการที่สี่ การสนับสนุนการบริหารจัดการที่โปร่งใส การบริหารจัดการที่โปร่งใสเป็นปัจจัยสำคัญ ของระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาประเทศ

"สถานการณ์ทางการเมืองที่เรากำลังเผชิญอยู่ แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส ขาดการตรวจสอบ รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน มักอ้างความนิยมที่ได้รับและอาศัยฐานอำนาจนั้นในการหาผลประโยชน์สู่ตนเอง ทั้งที่จริงแล้วประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังหมายถึง ความโปร่งใสในการบริหาร"

ประการที่ห้า การสนับสนุนความร่วมมือในระดับภูมิภาค กลุ่มอาเซียนกำลังเติบโตสู่ความเป็นประชาคม โดยได้มีการสร้างความตกลงทางการค้าต่อประเทศต่างๆ เช่น จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลี อินเดีย และ ญี่ปุ่น โดยอาเซียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนพลังแรงงาน ที่สำคัญของโลก และยังอยู่ใกล้ กับ 2 ประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก คือ จีนและอินเดีย ทำให้ได้รับการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนเป็นอย่างดี สิ่งสำคัญที่ยิ่งไปกว่าผลประโยชน์การบูรณาการในระดับภูมิภาค คือ การสร้างการพัฒนาการเมืองในระดับภูมิภาค ซึ่งจะต้องทำให้ประชาชนในระดับรากหญ้าได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมือง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ทางการเมือง ที่สำคัญ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคจะสร้างการทำงานเป็นทีมซึ่งทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม

ประการที่หก แนวนโยบายทางเศรษฐกิจ แนวนโยบายทางเศรษฐกิจจะต้องช่วยแก้ปัญหาและลดช่องว่างรายได้ของประชาชนในประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตระหนักในความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การดำรงชีวิตตามทางสายกลาง ประเทศไทยได้เรียนรู้จากวิกฤติครั้งที่ผ่านมาว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจระบบเปิดขนาดเล็กอย่างไทยไม่สามารถพึ่งพาแต่การส่งออกได้เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างการส่งออกและการนำเข้า

รัฐบาลได้มีแผน กระตุ้นเศรษฐกิจระลอก 2 เพื่อสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ เราจะต้องสร้างการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะยาว ทั้งจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งสนับสนุนโดยภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้ง ความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่าย เรายังจะได้ขยายการสนับสนุนเศรษฐกิจ ในเชิงสร้างสรรค์ผ่านนวัตกรรมต่างๆ ของชาวไทย จาก 10 % ไปสู่ 20 % นอกจากนี้ ได้สนับสนุน การดูแลรักษาสภาพแวดล้อมผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวแบบคาร์บอนต่ำ

ประการที่เจ็ด นวัตกรรมและวิสัยทัศน์ เป็นสิ่งซึ่งจำเป็นในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ในการดำเนินนโยบาย ซึ่งประเทศต่างๆ ที่จะมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่างต้องการวิสัยทัศน์ในการบริหารปกครอง ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องรับมือกับความท้าทายประจำวัน แต่ยังต้องคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ถึง 5-10 ปีข้างหน้า วิสัยทัศน์ของประชาชนในชาติจะช่วยขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า

ประการสุดท้าย สิ่งสำคัญของการสร้างประชาธิปไตย คือ การศึกษา โดยสิ่งที่รัฐบาลมีความภาคภูมิใจมากที่สุดในการดำเนินนโยบายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา คือ นโยบายการให้การศึกษาฟรี 15 ปี การศึกษาจะเป็นสิ่งที่สร้างโอกาสและความเท่าเทียม ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยต้องได้รับการเรียนรู้เพื่อสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยต้องให้ ความสำคัญกับการสร้างความปรองดองในความแตกต่างในสังคม การสร้างทัศนคติแบบเปิด และการบริหารจัดการที่โปร่งใส รวมทั้งความร่วมมือในระดับภูมิภาค และการนำแนวนโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์มาบริหารจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์



ควันหลงจากกรณียกฟ้องคดีกล้ายาง คตส.ซัด"อัยการ"ไม่ทำหน้าที่ทนายแผ่นดิน

ควันหลงจากกรณียกฟ้องคดีกล้ายาง คตส.ซัด"อัยการ"ไม่ทำหน้าที่ทนายแผ่นดิน - Suthichaiyoon.com
คตส.เดือดอัยการหยามหลังแพ้คดีกล้ายาง โต้เป็นทนายแผ่นดินแต่ไม่ทำหน้าที่ เที่ยววุ่นวายสร้างความสับสนในสังคม แฉมีกระบวนการดิสเครดิต หัวโจกกระบวนการยุติธรรมเป็นพยานให้จำเลย “สัก-นาม” มั่นใจคดี “หวยบนดิน” เอาผิดได้แน่ เหตุหลักฐานแน่น "ทักษิณ" เหน็บอดีตรัฐมนตรีย้ายฟากเพื่อรอดพ้นคดี จวกเป็นพวกนายหน้าค้าอำนาจ

อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ประกอบด้วย นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. นายอุดม เฟื่องฟุ้ง นายกล้านรงค์ จันทิก นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ นายแก้วสรร อติโพธิ นายสัก กอแสงเรือง และคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ได้ประชุมหารือกัน หลังจากที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องคดีทุจริตกล้ายางพารา 90 ล้านต้น โดยที่ประชุมได้หารือถึงกรณีที่โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ออกมาโจมตีการทำงานของ คตส.ที่พ่ายแพ้คดี

นายสัก แถลงภายหลังการหารือว่า สาเหตุต้องแถลง เพราะโฆษกอัยการสูงสุดพาดพิง คตส. โดยมีการวิจารณ์สั่งสอน และหยามการทำงานของ คตส. โดย คตส.ขอชี้แจงว่า การแถลงครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลฎีกา โดย คตส.ยอมรับ และถือเป็นข้อยุติ แต่กลับมีการกระทำของผู้ที่เกี่ยวข้องในองค์กรหลักในกระบวนการยุติธรรมออกมาวิจารณ์

จึงอยากถามว่า หลังจากศาลพิพากษาแล้ว องค์กรอัยการมีหน้าที่ต้องออกมาชี้แจงหรือไม่ หากไม่มีหน้าที่แล้วออกมาชี้แจง ก็จะให้สังคมไปพิจารณาเอง เพราะทำให้สังคมวุ่นวายและทำให้องค์กรกระบวนการยุติธรรมเสื่อม ซึ่งมีมาแล้วหลายองค์กร ที่มีความเสื่อมมาจากผู้นำ

นายสัก กล่าวว่า ศาลฎีกาฯ ได้พิพากษาว่า คตส.ได้แจ้งข้อกล่าวหาครบถ้วน และมีอำนาจเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย สามารถนำพยานในชั้นตรวจสอบมาใช้ในชั้นไต่สวนได้ ส่วนที่อัยการเห็นว่า คตส.ไม่มีอำนาจฟ้องเองจนจำเลยยกมาเป็นข้อต่อสู้ ศาลได้พิพากษาแล้วว่า คตส.มีอำนาจฟ้อง

“การที่บอกว่า คตส.ฟ้องคดีเองทำให้รัฐเสียหาย ต้องเสียค่าทนายความ เนื่องจากอัยการมีหน้าที่ฟ้องคดีแทนแผ่นดิน แต่ไม่ทำหน้าที่ กฎหมายจึงกำหนดให้ คตส.ต้องจัดหาทนายความฟ้องเอง โดยขอให้สภาทนายความ ส่งทนายความฟ้องความให้ จนขณะนี้ยังไม่มีการจ่ายค่าทนายแต่อย่างใด จึงขอถามสังคมว่า ถึงเวลาสมควรแล้วหรือยัง ที่จะมีองค์กรอิสระภาคประชาชน มาทำหน้าที่ในกรณีที่องค์กรของรัฐไม่ทำหน้าที่ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ไต้หวัน เกาหลี เหมือนสุภาษิตจีนที่ว่า อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล” นายสัก กล่าว

คตส.จวกอัยการดิสเครดิต

นายสัก กล่าวว่า การที่อัยการออกมาแถลงว่า จะฟ้องใครต้องมีหลักฐานเพียงพอที่ศาลจะลงโทษได้ ขอถามอัยการว่า ผลที่สุดแล้ว ผลแห่งคดีที่อัยการฟ้อง ไม่มีการยกฟ้องเลยใช่หรือไม่ แต่ปรากฏว่ามีผู้รับผิดชอบระดับสูงของกระบวนการยุติธรรม ไปเบิกความพยานฝ่ายจำเลย ทั้งคดีกล้ายาง และคดีหวย 2 ตัว 3 ตัว และตอบคำถามทนายจำเลยบางประการว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อกฎหมาย มันเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวพัน ผลจึงออกมาในลักษณะนี้

"ขอยืนยันว่า คตส.ทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน แต่กลับถูกกล่าวหา และฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญา จากฝ่ายผู้ถูกตรวจสอบรวมกว่า 20 คดี แล้วยังต้องมาถูกกล่าวหาซ้ำเติม จากเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมของรัฐบางกลุ่มอีก ดังนั้น เราต้องจับตาดูว่า มีกระบวนการดิสเครดิตการทำงานของ คตส. ผ่านบางกลุ่ม บางพวกในองค์กรกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสังเกตได้ว่า กระบวนการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ คตส.ชี้มูลความผิดคดีซีทีเอ็กซ์"

มั่นใจคดี "หวย" เอาผิดได้แน่

นายสัก ยังตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากคดีกล้ายางแล้ว ขอให้รอดูคดีหวย 2 ตัว 3 ตัว ในช่วงปลายเดือนก.ย.ว่า ศาลจะตัดสินอย่างไร เพราะจากการวิเคราะห์พบว่า 1.มติ ครม.ที่อนุมัติให้ออกหวยบนดินได้ ผิดกฎหมาย เพราะเป็นสลากกินรวบ ไม่ใช่สลากกินแบ่ง ถือเป็นการพนัน กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่าผิด

2.มติ ครม.ที่อนุมัติให้สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ไม่ต้องนำเงินส่งกระทรวงการคลัง 28% ต้องถามว่า ครม.มีอำนาจยกเว้นการไม่นำเงินภาษีส่งคลังหรือไม่ เพราะถือว่า ไม่มีกฎหมายรองรับ และ 3.มติ ครม.ที่สั่งให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการศึกษาและการช่วยเหลือสังคม นำเงินไปใช้ในโครงการเพื่อสังคม ก็ถือว่า ไม่มีกฎหมายรองรับเช่นกัน

นายนาม กล่าวว่า ไม่หนักใจในการที่ศาลจะพิจารณาคดีหวยบนดินในวันที่ 30 ก.ย.นี้ เพราะมั่นใจในหลักฐานของ คตส. แต่การต่อสู้ในข้อกฎหมายย่อมมีทั้งบวกและลบ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อศาลตัดสินออกมาอย่างไร คตส.ก็พร้อมรับ แต่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง และเชื่อว่าคดีนี้ไม่มีเหตุผลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ขึ้นกับดุลยพินิจของศาลในการปกป้องประโยชน์ของแผ่นดิน

"แก้วสรร" ซัดโฆษกอัยการ "พูดไม่สวย"

นายแก้วสรร กล่าวเสริมว่า คตส.คงไม่ไปฟ้องร้องโฆษกอัยการสูงสุด ที่ออกมาพาดพิงการทำงานของ คตส. แต่การพูดในลักษณะเช่นนี้ มันไม่สวย เพราะจะมีผลกระทบกับอีกหลายคดีที่รอการพิพากษาในชั้นศาล และใน ป.ป.ช.ซึ่งแต่ละคดีจะมีความแน่นและหนักเบาไม่เหมือนกัน ดังนั้น การพูดจึงไม่ควรมาก้าวล่วง คตส.เช่นกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่โฆษกอัยการสูงสุดออกมาพูดอย่างนี้มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะมีผู้บริหารสูงสุดของอัยการสูงสุด (อสส.) ตกเป็นจำเลยในคดีการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์หรือไม่ นายแก้วสรร ตอบว่า คตส.ไม่บังอาจไปคิดก้าวล่วงอย่างนั้น เพราะยังมีเรื่องในชั้นศาลอีกหลายคดี ไม่อยากไปละเมิดศาล

เมื่อถามว่า สาเหตุที่ คตส.แพ้คดีกล้ายาง เพราะมี คตส.บางคน ไปเป็นพยานฝ่ายจำเลยหรือไม่ นายแก้วสรร กล่าวว่า เขาเป็นคนที่ทนายจำเลย คณะกรรมการนโยบายพัฒนาและช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) อ้างอิงให้เป็นพยาน ซึ่งเขาเป็นเสียงส่วนน้อยใน คตส. ที่เห็นว่า คชก.ไม่มีความผิด เพราะเป็นการอนุมัติงบตามอำนาจหน้าที่ ดังนั้นที่เขาต้องไปให้ปากคำ เพราะทำตามอำนาจศาลในการเรียกพยาน

"ทักษิณ" เหน็บอดีต รมต.ย้ายฟากเพื่อรอดคดี

เมื่อเวลา 13.00 น.วานนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนข้อความลงบนเว็บไซต์ twitter.com ใน Thaksinlive ถึงการตัดสินคดีกล้ายาง ที่ศาลฎีกาฯ ยกฟ้องจำเลยทั้ง 44 คน โดยมีใจความว่า "จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ผมรู้สึกเห็นใจและขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่ออดีตรัฐมนตรีที่ยังมั่นคงอยู่กับผมแต่โดนคดี ผมไม่ขัดข้องและไม่โกรธเลยถ้าท่านจะย้ายข้ามฟากเพื่อความรอดพ้น เพราะท่านมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า แต่ข้ามฟากอย่างเดียวไม่พอ ท่านต้องเนียนด้วยการคลอเคลียใส่ความผมเยอะๆ และลืมไม่ได้ ต้องกล่าวทับถมระบอบทักษิณ ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยว่าคนที่ว่าเรามาก่อน และข้อกล่าวหาที่ได้ผลชัด คือ ล้มล้างสถาบัน ทั้งๆ ที่ท่านรู้ดีว่าผมเทิดทูนสูง เพราะท่านก็เคยร่วมกับผมทำงานถวายอย่างมีความสุขมาหลายปีหลายงาน และเราก็เคยพูดกันใน ครม. ถ้าท่านทำได้ครบก็จะมีคนยกหูช่วยท่านให้หลุดพ้น

ผมขอให้โชคดีและพ้นคดีกันทุกคนนะครับ ถ้าเนียนจริงก็จะได้เป็นนายหน้าค้าอำนาจ ไม่ต้องห่วงผม ชีวิตผมต้องช่วยตัวเองครับ เกิดปีวัวกลางวันก็หนักหน่อย ผมใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนก็สบายดีครับ ถึงแม้จะเหงาหน่อยแต่ก็จิตสงบดี เพราะไม่ได้ฟังเรื่องไร้สาระรายวัน คนที่นี่เขาใช้เวลาทำมาหากินอย่างมีกติกาครับ"

"พัชรวาท" ร้องศาล ปค.ล้มมติ ป.ป.ช.

นายสมบูรณ์ บุญญาภิรมย์ ทนายความที่รับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งคณะ กรณีที่มีมติชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท กระทำความผิดวินัยร้ายแรง ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และมีความผิดอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ในการสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551

โดยขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยและชี้มูล และมติรับรองคำวินิจฉัยดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชดใช้ค่าเสียหาย ทดแทนความเสียหายที่เกิดแก่สิทธิ และเกียรติยศชื่อเสียง เป็นเงิน 50 ล้านบาท รวมทั้งขอให้ศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวด้วย


Monday, September 21, 2009

แกะรอย “พิณทองทา ชินวัตร” ให้การคดี “ซุกหุ้น”

Matichon Online
โดย ไทยทน

วันที่ 17 ก.ย. 2552 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้คัดค้านการอายัดทรัพย์สินคดีนี้ ได้เบิกความหลายประเด็น ซึ่งยังดูจะมีข้อความที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นความจริงหลายประการ

นัยของเรื่องนี้ คือ การที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นชินฯให้นาย พานทองแท้ และนำมาขายต่อให้ น.ส. พิณทองทา รวมถึงหุ้นที่ขายให้ นาย บรรณพจน์ ดามาพงศ์ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แอมเพิลริช และ วินมาร์คนั้น เป็นเพียงการจัดโครงสร้างการถือหุ้นแบบตัวแทนถือหุ้น (โนมินี) โดยมีมูลเหตุจูงใจ คือ พ.ต.ท. ทักษิณ และภรรยา ไม่สามารถถือหุ้นที่มีกิจการสัมปทานภาครัฐ ด้วยรัฐธรรมนูญมีเจตนาที่จะป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจในการเอื้อธุรกิจส่วนตัว เช่น การเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทาน ลดส่วนแบ่งรายได้ภาครัฐของโทรศัพท์มือถือระบบพรีเพดจาก 25-30% เป็น 20% ระบบภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเพื่อตั้งกำแพงคุ้มครองผู้ประกอบการ โดยกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐเป็นฝ่ายรับภาระฝ่ายเดียว ฯลฯ

ประเด็นการชี้แจงเรื่องราวในครอบครัวแต่ละครั้งนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่า เป็น “เรื่องเล่า” ที่รับฟังได้เพียงใด โดยมีประเด็นที่น่าคิดว่า เชื่อถือได้จริงเพียงใด หลายประการดังนี้

1.น.ส. พิณทองทา ได้รับเงิน 370 ล้านบาท ฉลองครอบรอบวันเกิด 20 ปีพอดี คำถามคือ

ทำไม 370 ล้านบาท ด้วยใกล้เคียงกับยอดซื้อหุ้นจากพี่ชายจำนวน 367 ล้านบาทพอดี ? ไม่ใช่ 300 ล้านบาท ไม่ใช่ 400 ล้านบาท ซึ่งเมื่อซื้อแล้ว พิณทองทาจึงถือหุ้น 367,000,000 หุ้น และ พานทองแท้ถือหุ้น 366,950,220 ล้านหุ้น คือแบ่งหุ้นกันได้ 50.003% : 49.997% พอดีๆ

ทำไมมีรางวัลพิเศษ 370 ล้านบาท เมื่อครบ 20 ปี หากไม่ใช่เพื่อการปรับโครงสร้างการถือหุ้นแทน ต้องถามว่า เมื่อพานทองแท้อายุครบ 20 ปี หรือ แพทองธารอายุครบ 20 ปี ได้รับของขวัญวันเกิดพอๆกันหรือไม่ ? หรือหากไม่ใช่ ก็คงเป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นแทนเท่านั้นใช่หรือไม่ ?

หากบอกว่าเป็นความสุจริตใจ แบ่งหุ้นเท่าๆกันในฐานะพี่น้อง ทำไมพานทองแท้ไม่ขายหุ้นให้น้องแพทองธารด้วย ? หากจะอธิบายว่า “ไม่ได้ เพราะจะทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เพราะต้องนับหุ้นที่เป็นของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย” ก็ต้องตั้งคำถามต่อว่า ถ้าไม่ใช่การถือแทนกัน และเป็นความจริงใจของพี่น้องที่ต้องการแบ่งเท่าๆกัน ทำไม แม้เมื่อขายไปแล้ว ไม่แบ่งให้น้องด้วย ด้วยหากเป็นเงิน โอนแบ่งให้น้องก็ไม่มีปัญหาต่อการดำรงตำแหน่งของบิดาแต่อย่างใด หรือเพราะเมื่อโอนไปที่ต่างๆ เช่น ประไหมสุหรี ซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซื้อเหมืองเพชร แล้ว ก็บรรลุภารกิจการถือหุ้นแทนบิดาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว หลังจากนั้นไม่มีภารกิจอีก จึงไม่ต้องแบ่งให้น้อง

แม้ยังฟังดูดีกว่า แต่ก็ไม่ต่างกับ กรณีบรรณพจน์ ที่หญิงอ้อ ยกหุ้นที่เคยถือในชื่อ น.ส. ดวงตา วงศ์ภักดี นาย บรรณพจน์ ให้ในลักษณะอุปการะ ให้โดยเสน่หาตามขนบธรรมเนียมประเพณีในโอกาสที่นายบรรณพจน์แต่งงาน และมีบุตร ซึ่งไม่แนบเนียน เพราะช่วงเวลาไม่สอดคล้องกับคำอ้าง กล่าวคือ นายบรรณพจน์แต่งงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2539 และมีบุตรเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2539 แต่คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากนายบรรณพจน์แต่งงานแล้วเกือบ 2 ปี และหลังจากนายบรรณพจน์มีบุตรแล้ว 11 เดือน 3 วัน ?!?!

2.น.ส.พิณทองทา ยังเบิกความถึง ภาษีที่ถูก คตส.ตรวจสอบและกรรมสรรพากรเรียกเก็บจากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ให้บริษัท แอมเพิลริช ว่า กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากพยานและพี่ชายคนละกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเรียกเก็บในฐานะผู้ถือหุ้นแต่ในคดีที่ คตส.อายัดทรัพย์ไว้ กลับระบุว่า ทรัพย์ที่ถูกอายัดเพราะพยานและพี่ชายไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง ซึ่งพยานเห็นว่าเรื่องดังกล่าวขัดแย้งกันและไม่น่าจะถูกต้อง

ประเด็นนี้ก็คงไม่ใช่ สมมติพ่อค้ายาเสพติด ต้องการฟอกเงิน โอนสมบัติไปให้ โนมินีถือหุ้นแทน ในการโอนนั้น ก็ย่อมต้องมีภาระภาษีอยู่แล้ว เพราะสรรพากรเก็บภาษีทุกคน ก็ไม่ต้องแยกแยะว่า รายการนั้นๆเป็นรายการจริงหรือปลอม และก็ไม่เว้นภาษีสำหรับการโอนที่ปลอม แต่แม้เก็บภาษีตามข้อเท็จจริงนั้นแล้ว เมื่อจับได้ว่า การโอนนั้น เป็นการซ่อนสมบัติ หรือการฟอกเงิน ก็ยังไม่สามารถหลบความผิดนั้นได้อยู่ดี และความผิดต้นตอที่ทำให้เกิดที่มาของเงินสำหรับฟอกนั้น ก็ดิ้นไม่หลุดด้วยเช่นกัน

เมื่อมีผู้ทำความผิดหลายประการ จะกล่าวหาว่าขัดแย้งได้อย่างไร เช่น บางคนมักเทียบว่า ปรับทั้งจอดรถที่ขาวแดง และฝ่าไฟแดงได้อย่างไร ? เผอิญคนขับทำทั้ง 2 อย่างก็คงต้องถูกทำโทษทั้ง 2 อย่างกรณีนี้ เมื่อเป็นการโอนหุ้นให้แอมเพิลริชเพื่อให้ถือแทน ย่อมไม่สามารถเลี่ยงความผิด “ซุกหุ้น” ของอดีตนายกรัฐมนตรี และต่อมา หลังจากที่มีการโอนผ่านแอมเพิลริชแล้ว กลับให้บริษัทที่กรรมการทั้งสองซื้อหุ้นออกจากบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ก็ย่อมถูกประเมินภาษีตามมาตรฐานสรรพากรด้วย

3.น.ส.พิณทองทา ยังได้เบิกความถึงทรัพย์สินหลังจากการขายหุ้นว่า ได้นำเงินไปลงทุนในสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี ในประเทศอังกฤษ โดยพยานและพี่ชายได้เป็นกรรมการ ขณะที่บิดาถือหุ้นอยู่ในสโมสรจำนวน 200,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นเงินที่ขอมาจากมารดา ต่อมาพยาน พี่ชาย และบิดา ได้ขายหุ้นสโมสรฟุตบอล หลังจากนั้น ได้นำเงินไปลงทุนในเหมืองเพชรประเทศแอฟริกา โดยให้บิดาซึ่งอยู่ต่างประเทศดูแลบริหาร

นับว่า มีความชัดเจนดีว่า ทรัพย์สินที่ได้จากการขายนั้น ได้ใช้ไปลงทุนในสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรเกิดคือ บิดาดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่สามารถถือหุ้นที่มีกิจการสัมปทานได้ โอนให้บุตรถือหุ้นแทนผ่านการ “ซื้อขาย” กันในราคาไม่ให้มีภาษี มีการแก้ไขเงื่อนไขสัมปทาน ลดประโยชน์ภาครัฐ เพิ่มประโยชน์กิจการส่วนตัว เมื่อบิดาพ้นจากตำแหน่ง บุตรขายหุ้นที่ได้ประโยชน์เพิ่มออกไป ก็นำเงินมาคืนให้บิดาใช้อีกครั้ง

ความจึงน่าพิจารณาว่า เป็นการขายที่แท้จริง หรือมีการโอนไปให้บุตรถือแทนกันแน่ จึงน่าถามว่า ใครเป็นผู้ตัดสินใจซื้อและขาย? ใครเป็นผู้เจรจา? บุตรรู้จักผู้ขายหรือผู้ซื้อหรือไม่?

ตามข่าวที่เปิดเผยทั่วไปนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกว่า เจ้าของที่แท้จริง คือ พ.ต.ท. ทักษิณ เช่นข่าวตามลิงค์ http://www.arabianbusiness.com/539714-catch-me-if-you-can?start=1 พ.ต.ท. ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า

“I thank them ( England ) because I went there, I bought a football club then sold it and made some money in the process,” he (Thaksin) says.

 แปลว่า “ผมขอบคุณประเทศอังกฤษ เพราะ ‘ผม’ ได้ไปที่นั่น ซื้อสโมสรฟุตบอล แล้วขายไป และทำกำไรได้” ก็ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ซื้อที่แท้จริง

พ.ต.ท. ทักษิณ ยังได้ให้สัมภาษณ์ ช่วงกันยายน 2551 ว่า

“When I bought Manchester City the club  had been languishing in the bottom half of the Premier League and had an uncertain future.”

คือ ตอน ‘ผม’ ซื้อแมนฯซิตี้ สโมสรนี้ยังอยู่ครึ่งล่างของตาราง และมีอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่มีอะไรแสดงว่าเป็นของลูกเลย มีแต่ พ.ต.ท. ทักษิณที่แสดงตัวเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

4. น.ส.พิณทองทา ยังเบิกความถึงความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นบริษัทคืนจากบริษัท วินมาร์ค ที่มีนายมามุด มหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง เพื่อนนักธุรกิจของบิดา ว่า เพราะก่อนหน้านั้น บิดาเคยขายหุ้นให้ บ.วินมาร์ค ปี 2542 เนื่องจากขณะจะนำบริษัทในเครือชิน 5 แห่ง เข้าตลาดหลักทรัพย์ และให้คำมั่นไว้ว่าจะรับซื้อคืน หากไม่ได้นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ครบตามที่ระบุไว้ ดังนั้น เมื่อพยานมีเงินปันผลจากบริษัท จึงนำเงินซื้อหุ้นที่เคยเป็นธุรกิจของครอบครัวกลับมา ระหว่างปี 2547-2550 มูลค่า 485 ล้านบาทเศษ และที่ นายมามุด ทำหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับบริษัทต่อศาลก็เป็นเรื่องจะยืนยันความเป็นเจ้าของ

น่าสงสารที่ น.ส. พิณทองทา ต้องให้การเท็จเพื่อพ่อแม่ เพราะในเมื่อจะกำหนดว่า จะนำบริษัทในเครือชิน 5 แห่ง เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างไร ในเมื่อเป็นกิจการของผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ กลต. ย่อมไม่อนุญาตเช่นนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่สะท้อนว่า น.ส. พิณทองทาให้การด้วยความไร้เดียงสา และอยากจะกตัญญู จึงท่องบทมาชี้แจงหรือไม่ ? มีความเข้าใจในเรื่องธุรกิจและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯหรือไม่ ? หรือเป็นเพียงโนมินีให้พ่อ ?

การตัดสินใจเหล่านี้ พิณทองทาได้เจรจากับใครในวินมาร์ค การซื้อหุ้น 5 บริษัทไม่ต้องเจรจาเลยหรือ ทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย กลับอ้างว่าเป็นการใช้เงินที่อ้างว่า “ตนเป็นเจ้าของจากเงินปันผล หรือการขายหุ้น” ได้อย่างไม่ได้เป็นตัวแทนจริงๆ เพราะทั้ง 5 บริษัท มีมูลค่าทางบัญชีแตกต่างกันไป กำไร/ขาดทุนแตกต่างกันไป

ผู้รักความยุติธรรมต้องขอบคุณพิณทองทาให้การว่า วินมาร์คมีเงื่อนไขให้ทุกบริษัทต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่เธอทราบหรือไม่ว่า ใน 6 บริษัทนั้น มีเพียงบริษัทเดียวที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ คือ โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (เปลี่ยนชื่อเป็น SC) วินมาร์คถือทั้ง 6 บริษัทมาตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2543 แต่กลับต้องขายหุ้น SC ออกไปในวันที่ 11 สิงหาคม 2546 เพียง 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่งกับสำนักงาน ก.ล.ต. 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่งกับสำนักงาน กลต. ให้กองทุน VAF และกองทุน VAF ถือหุ้นเพียง 3 สัปดาห์ ก็โอนออกไปขายให้กองทุน OGF และ ODF แล้ว ในวันที่ 1 กันยายน 2546 โดยกองทุนทั้งสามคือ VAF, OGF และ ODF มีที่อยู่เดียวกัน คือ เลขที่ L1, LOT7, BLK F, SAGUKING COMMERCIAL BLDG. LALAN PATAU-PATAU, 8700 LABUAN FT, MALYSIA แล้วคำอ้างว่า “วินมาร์คมีเงื่อนไขให้ทุกบริษัทต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” จะมีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร

นาย มามุด มหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง หากเป็นเจ้าของจริง SC และครอบครัวชินวัตรก็น่าจะได้เปิดเผยมานานแล้ว เพราะไม่เห็นว่ามีเหตุจูงใจใดๆต้องปกปิดเลย และน่าจะเชิญมาสัมภาษณ์หน่อยว่า “ในการซื้อ 6 บริษัทนี้ เขารู้จักหรือไม่ ? แต่ละบริษัททำไมตีราคาเท่ากันที่พาร์ ทั้งๆที่มูลค่าไม่เท่ากัน กำไร/ขาดทุนไม่เท่ากัน ? ทำไมขายไปให้ VAF 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง ? และ แปลงร่างเป็น OGF และ ODF ทั้งๆที่อยู่ที่อยู่เดียวกัน หากเป็นการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น SC และนางบุษบา ดามาพงศ์น่าจะมีโทษฐานปกปิดความจริง และแสดงข้อความอันเป็นเท็จในหนังสือชี้ชวนอย่างจงใจ เพราะมีความร่วมมือในการทำทะเบียนถี่ๆกันหลายฉบับ คือ

ก) 13 สิงหาคม 2546 ซึ่ง Win Mark โอนหุ้นให้ VAF

ข) 28 สิงหาคม 2546 ซึ่ง VAF ยังเป็นผู้ถือหุ้น เพื่อการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 สิงหาคม

ค) 29 สิงหาคม 2546 ซึ่ง VAF ยังเป็นผู้ถือหุ้น ในรูปแบบทะเบียนผู้ถือหุ้นบริษัทมหาชน

ง) 1 กันยายน 2546 (วันจันทร์ ซึ่งเป็นวันทำการถัดจากวันที่ 29 สิงหาคม 2546) ซึ่ง VAF โอนหุ้นให้ OGF และ ODF ซึ่งมีที่อยู่เดียวกันกับ VAF

5.ทั้งนี้ น.ส.พิณทองทา ยังเบิกความตอบคำถามศาลด้วยว่า ในการดำเนินธุรกิจของครอบครัว จะมี นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของ คุณหญิงพจมาน มารดา ดูแลในชั้นปฏิบัติการเกี่ยวกับการจัดการเอกสาร และทรัพย์สินต่างๆ ภายใต้ความเห็นชอบของบิดาและมารดาซึ่งบิดาและมารดาดูแลนโยบายทั่วๆ ไป

ซึ่งน่าจะได้รับโทษ ครึ่งเดียวฐานสารภาพตรงๆ ว่ากระทำไปภายใต้ความเห็นชอบของบิดาและมารดา


Saturday, September 19, 2009

ศรีศักร์หนุนทวงคืน 4.6ตร.กม.ย้ำไทยเสียโง่ 3หนไม่จำ

Photograph of the Preah Vihear templeImage via Wikipedia
ศรีศักร์หนุนทวงคืน 4.6ตร.กม.ย้ำไทยเสียโง่ 3หนไม่จำ - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

นักประวัติศาสตร์ เผยไทยเสียโง่ 3หน แผนที่ฝรั่งเศส-ศาลโลก-ตีทะเบียนมรดกโลก6ชาติโผล่ยำผลประโยชน์ ย้ำอย่าหลงประเด็นต้องทิ้งปราสาท-ทวง4.6ตร.กม.
รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ ปาฐกถาพิเศษ ”ภูมิวัฒนธรรมกับการจัดการพิพิธภัณฑ์เพื่อการท่องเที่ยว” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จ.พิษณุโลก กล่าวถึงประวัติศาสตร์เขาพระวิหารว่า คนไทยพูดแต่เขาพระวิหาร แต่ไม่พูดถึงแลนด์สเคป หรืออาณาบริเวณโดยรอบ เช่น สระตาว ผามออีแดง

"ต้องบอกว่าคนไทยโง่ 3 ครั้ง ถูกฝรั่งหลอกตั้งแต่ ค.ศ.1902 ยุคฝรั่งเศสล่าอาณานิคม ช่วงนั้นบอกได้คำเดียวว่า ต้องยอมรับสภาพ เพราะคนไทยเขียนแผนที่ไม่เป็น ฝรั่งเศสเขียนมาให้และเซ็นต์รับทราบเมื่อปี ค.ศ.1907 ซึ่งในแผนที่บอกให้ใช้สันปันน้ำ หมายถึงแนวสันเขา ที่น้ำไหลลงฝั่งใดคือประเทศนั้น ซึ่งบนสันเขานั้นมีเขาพระวิหาร แต่ไม่ใช่แลนด์สเคปหรือแวดล้อมทั้งหมดของเขาพระวิหาร"

"ส่วนโง่ครั้งที่ 2 คือ คำตัดสินต่อมาของศาลโลก ตัดสินเขาพระวิหารเป็นของชาติใด สุดท้ายก็ตัดสินว่า เป็นของกัมพูชา เพราะใช้สันปันน้ำ ทำให้ยุคนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ถึงทราบว่าถูกฝรั่งหลอก เพราะมั่นใจในศาลโลก เมื่อรู้ว่าแพ้ก็ขีดเส้นส่วนที่เสียไป คือเฉพาะตัวพระวิหาร จากนั้นจอมพลสฤษดิ์ จึงได้ทำแนวกันตามแนวสันปันน้ำ หรือทางลงจากเขาพระวิหาร กระทั่งประกาศว่า สักวันจะต้องทวงคืนเขาพระวิหารกลับคืนมาก เพราะถูกฝรั่งหลอก และที่สำคัญ ไม่ยอมรับพื้นที่ซับซ้อนหรือคำว่า 4.6 ตารางกิโลเมตร"

"มาวันนี้ โง่ครั้งที่ 3 คือ คำว่า มรดกโลก กรณีนายนพดล ปัทมะ ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก บนเงื่อนไขผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วฝรั่งก็ยังหลอก นายปองพล อดิเรกสาร ให้เป็นหัวเรือหลักในการพัฒนาร่วม 6 ชาติบนที่ดินเขาพระวิหาร นี่คือ ความโง่ แต่กลับทำให้คนๆ หนึ่งเหมือนฮีโร่ ทั้งที่ คนในประเทศเสียหาย เสียแผ่นดิน ไม่จำเป็นต้องใช้ 5-6 ชาติมาทำอะไร เพราะความโง่ ไม่เข้าใจฝรั่ง ที่เขามองเขาพระวิหาร คือ เขามองทั้งแลนด์สเคป ไม่ใช่แค่เขา เพราะแค่เขาพระวิหารชูตระหง่านอยู่แห่งเดียวก็ไร้ความหมาย ไม่มีทางขึ้น"

นายศรีศักร์ กล่าวด้วยว่า หลังยุคเขมรแดง ประจวบเหมาะกับความโลภของคนไทยที่ต้องการแสวงหารายได้จากการท่องเที่ยว จึงเปิดบันได ปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองพื้นที่ หรือที่เรียกว่าพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ทั้งๆที่ จะมีคำว่าทับซ้อนอีกต่อไปหากไปย้อนดู ความโง่ครั้งที่ 1 และ 2 วันนี้ กัมพูชายึดครอง พื้นที่ดังกล่าวโดยปฏิบักษ์ กัมพูชาคบคิดกับต่างชาติ สั่งคนและว่าจ้างคนเข้ามาบุกยึดครอบครอง โดยมีกระทรวงต่างประเทศและกรมแผนที่ทหาร รู้เห็นเป็นใจทุกครั้ง ว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน โดยไม่รู้ว่าไทยเสียดินแดนไปแล้ว

"รัฐบาลอภิสิทธิ์ พูดถูกต้องคำเดียวคือ คัดค้านยูเนสโกประกาศเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะรู้ดีว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเป็นของกัมพูชา แต่เส้นทางขึ้นเป็นของไทย ที่สำคัญผิดหลักการขึ้นทะเบียนมรดกโลกอยู่แล้ว เพราะฝรั่งมองแลนสเคป ไม่ใช่มองเฉพาะเขาพระวิหาร กองทัพไทยนี่ถือว่า แย่ที่สุด ปล่อยให้เขมรครอบครองพื้นที่บริเวณทางขึ้นเขาพระวิหาร โดยอ้างว่า เป็นการพัฒนาร่วมทั้งสองประเทศ ทั้งๆ ที่บริเวณดังกล่าว คือของคนไทย แต่เขมรยึดครองโดยปฏิปักษ์"

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม กล่าวอีกว่า การดำเนินการของนายวีระ สมความคิด และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตนทั่วประเทศบุกทวงคืนดินแดนเขาพระวิหาร นั้นถูกต้องแล้ว จะต้องไปประชิดถึงแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สิ่งที่น่าห่วงก็คือกับระเบิด แต่ขอย้ำว่า ไม่ใช่ทวงคืนเขาพระวิหาร แต่จะต้องทวงคืนแดนดิน 4.6 ตารางกิโลเมตรกลับคืนมาเท่านั้น อย่าหลงประเด็น

บทสรุปที่สื่อและรัฐบาลควรจะทำคือ ทิ้งประสาทเขาพระวิหาร และเอาดินแดน 4.6 ตารางเมตรกลับคืนมา อย่าโง่อีกเลย คนไทยจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับมรดกโลก ปล่อยให้กัมพูชาสร้างกระเช้าขึ้น เสียดายที่พรรคประชาธิปปัตย์คิดเป็น แต่ทำไม่เป็น ควรบอกชาวโลกไปเลยว่า ถูกหลอกตั้งแต่สันปันน้ำ พูดอีกครั้งก็ได้ว่า คนไทยโง่ ถูกฝรั่งหลอกมาแล้ว 3 ครั้ง





Reblog this post [with Zemanta]

กองทุนฟื้นฟูฯฟ้องคุณหญิงพจมานคืนที่ดินรัชดาฯ

กองทุนฟื้นฟูฯฟ้องคุณหญิงพจมานคืนที่ดินรัชดาฯ - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์

กองทุนฟื้นฟูฯส่งอัยการยื่นฟ้องแพ่งคุณหญิงพจมาน ส่งคืนที่ดินย่านรัชดาฯ 4 แปลง 33 ไร่เศษ มูลค่า 772 ล้าน ชี้นิติกรรมสัญญาซื้อขายปี46 เป็นโมฆะ
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายพศิน ทิพยรักษ์ พนักงานอัยการฝ่ายคดีแพ่ง รับมอบอำนาจจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย เรื่องโมฆะกรรม ขอให้ศาลเพิกถอนรายการจดทะเบียนขายโฉนดที่ดินรัชดาภิเษก 4 แปลงจำนวน 33 ไร่เศษมูลค่า 772 ล้านบาท และให้ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน

ตามฟ้องอัยการโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 46 คุณหญิงพจมาน จำเลย เข้าร่วมยื่นซองประกวดราคาซื้อที่ดินดังกล่าวต่อมา กองทุนฯ ประกาศให้เป็นผู้ชนะในการซื้อที่ดิน 4 แปลงในราคาสูงสุดเป็นเงิน 772 ล้านบาทโดยกองทุนฯ และคุณหญิงพจมาน จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 46 และได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิที่ดินให้กับคุณหญิงพจมาน จำเลยในวันที่ 30 ธ.ค. 46 โดยสัญญาซื้อขายที่ดินมีข้อความว่า กองทุนฯ โจทก์ ผู้ขายตกลงยอมขาย และคุณหญิงพจมาน จำเลย ผู้ซื้อตกลงยอมซื้อ

แต่ต่อมาภายหลังจากทำสัญญาซื้อขาย คุณหญิงพจมาน จำเลย และ พ.ต.ท.ทักษิณ สามี ถูกอัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จากกรณีที่คุณหญิงพจมาน จำเลยคู่สมรสของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าเป็นคู่สัญญาทำสัญญาซื้อขายที่ดิน 4 แปลงกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่อยู่ในอำนาจกำกับดูแลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาวันที่ 17 ก.ย. 51 ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดให้จำคุก 2 ปี

การที่คุณหญิงพจมาน จำเลยเสนอตัวเข้ายื่นซองจนชนะการประกวดและเข้าทำนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินกับกองทุนฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแล โดยคุณหญิงพจมาน จำเลยรู้และตระหนักดีว่าตนเองเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นการเข้าทำนิติกรรมสัญญาย่อมเป็นการทำโดยมีวัตถุประสงค์ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวม และส่วนตัวซึ่งต้องห้ามตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 100

เมื่อคุณหญิงพจมาน จำเลย มีเจตนาจงใจเข้าทำนิติกรรมสัญญาทั้งที่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 4 แปลงจึงตกเป็นโมฆะทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 ซึ่งมีผลทำให้การจดทะเบียนซื้อขายที่ดินวันที่ 30 ธ.ค. 46 ระหว่างกองทุนฯ โจทก์ กับคุณหญิงพจมาน จำเลยเป็นอันสิ้นผล ไม่มีผลบังคับใช้ไปด้วย คุณหญิงพจมาน จำเลยจึงมีภาระต้องดำเนินการให้เจ้าพนักงานที่ดิน สาขาห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ทำการเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดิน และให้ส่งมอบคืนต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลงที่ดำเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนเรียบร้อยแล้วให้กับกองทุนฯ พร้อมทั้งต้องส่งมอบการครอบครองที่ดินในสภาพสมบูรณ์เช่นเดิมโดยปราศจากภาระผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น

กองทุนฯ โจทก์เคยมีหนังสือแจ้งให้คุณหญิงพจมาน จำเลยดำเนินการ แต่ยังไม่ดำเนินการเมื่อกองทุนฯ โจทก์ไม่มีวิธีอื่นบังคับจึงต้องนำคดีมาฟ้อง และขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินและหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน 4 แปลงระหว่างกองทุนฯ โจทก์ กับคุณหญิงพจมาน จำเลยตกเป็นโมฆะตามกฎหมาย และให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินวันที่ 30 ธ.ค. 46 พร้อมทั้งให้นำต้นฉบับโฉนดที่ดินทั้ง 4 แปลงคืนให้กองทุนฯ โจทก์ โดยให้คุณหญิงพจมาน จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมและภาษีพร้อมค่าทนายความ หากไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแพ่งเป็นการแสดงแทนเจตนาคุณหญิงพจมาน จำเลยดำเนินการส่งโฉนดคืนแก่กองทุนฯ

ทั้งนี้ศาลแพ่งประทับรับฟ้องคดีไว้เป็นคดีดำที่ 5379/2552 และนัดให้ กองทุนฯ และคุณหญิงพจมานมาศาลเพื่อกำหนดประเด็นการสืบพยานต่อไป




เปลว สีเงิน | ณ ภาคพื้นดิน: ในภาพด่าวดิ้นของสรรพสัตว์

ณ ภาคพื้นดิน:ในภาพด่าวดิ้นของสรรพสัตว์ | ไทยโพสต์
วันนี้-วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ ตรงกับแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู เป็นวันอมาวสีจันทร์ดับ ณ เวลา ๐๑.๔๕ น. ที่ศรีสะเกษ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกทวงพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ที่ทหารและชาวบ้านเขมรรุกล้ำเข้ามาปักหลักหวังครอง และที่กรุงเทพฯ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า เสื้อแเดง นปช.บุกทวงอำนาจกินเมืองด้วยเรื่องให้ทักษิณกลับมาครอง

แต่ดูเหมือนว่า วันนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ไม่อยู่ ท่านไปแล้ว เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศบนเวทีโลกที่สหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา อยู่ทางนี้ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" ทำหน้าที่รักษาประเทศ-รักษารัฐบาล โดยมี พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็นเครื่องมือสำคัญในเขตดุสิต!

ก่อนอื่น ขอคลี่คลายข้อกังวลให้แจ้งก่อนว่า จากวันนี้ไป จนถึงวันที่นายกฯ เดินทางกลับ ๒๗ ก.ย.

๑.จะไม่มีการปฏิวัติ (แน่นอน)

๒.อภิสิทธิ์ไปดี กลับมามีโชคชัย

๓.การชุมนุมของ พธม.ที่ศรีสะเกษ และการชุมนุมของ นปช.ที่กรุงเทพฯ "ไม่รับประกัน" อุบัติเหตุฉับพลัน

อุบัติเหตุมาจากไหน?

อุบัติเหตุมาได้หลายทาง แต่ทางที่ควรระมัดระวัง คือ

ก..อย่าไปยั่วยุ หรือกระทำการท้าทายบุคคลในเครื่องแบบ ทั้งโดยคำพูด โดยการสื่อสาร และโดยการกระทำ

ข.ระวังมือที่สาม จะเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน เป้าหมายเพื่อให้ฝ่ายตำรวจ-ทหารออกอาวุธ

ค.ระวังข่าวสารที่มาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ จากทางไกลๆ รวมทั้งข่าวลือ ข่าวปล่อย อันหาต้นตอ ที่มา-ที่ไปไม่ได้ จะเป็นไม้ขีดก้านเดียวในน้ำมันที่หกเรี่ยราด ถ้าเกิด-จะระเบิดแบบฉับพลัน และรุนแรง

สรุปแล้ว ๑๙ กันยานี้ ต้องระวังการสื่อสาร คำพูด-คำจา ข่าวทางไกล การก่อเหตุจากมือลึกลับอันหาตัวตนไม่ได้ มวลชนที่ตกเป็นเหยื่อจะคุคลั่งเหมือนสะเก็ดไฟ "บังเอิญ" กระเด็นไปสปาร์กกับ "บุคคลในเครื่องแบบ"

แล้วมันจะ "พรึ่บบบบบ" อย่างที่ไม่มีใครต้องการ และคาดฝันมาก่อน!?

เรียกว่า เหตุการณ์ใดๆ ในช่วงวันที่ ๑๙-๓๐ กันยานี้ มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ Smooth as silk เหมือนทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้อควรระวังเพื่อการหลีกเลี่ยง คือช่วงนี้

อย่าาาาา....อย่าไปแหย่มัน!

อย่าไปแหย่ อย่าไปยั่ว อย่าไปยุ "บุคคลในเครื่องแบบ" โดยเฉพาะทหาร มีบุคคลในเครื่องแบบชนิดเดียวที่พอจะยั่วได้ ยุได้ แหย่ได้โดยไม่เป็นภัยในระยะนี้ คือ

บุคคลในเครื่องแบบ รปภ.!

บุคคลที่ราศียังเด่น โหงวเฮ้งยังแจ๋ว ยังคงเป็นนายกฯ อภิสิทธิ์ แต่บุคคลที่ระยะนี้โหงวเฮ้งปรับเปลี่ยนมีรังสี "สมรูป-สมลักษณ์" เตะตาเป็นพิเศษ แถมเป็นรังสีไม่ขัดแย้งกับอภิสิทธิ์ ผมบอกไปท่านอาจจะไม่เชื่อ

พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.นั่นไงครับ!

โหงวเฮ้งเริ่มเดินสู่ตำแหน่งตามจักรราศีแห่งวัย เหมือนผลไม้ที่เริ่มจากเกสร เกสรผสมติดเป็นตุ่ม จากตุ่ม-โตเป็นรูปลักษณ์ จากรูปลักษณ์เข้าสู่ภาวะแห่งรูปทรง จะเข้าสู่ระยะกาลบ่มเพาะตัวเองจนถึงระดับ โต-เต่งตึง-สมบูรณ์ หรือว่าจะมีอันต้องสลัดหลุดขั้วหล่นลงไปเสียก่อน นั่น...คงไม่ต้องดูกันถึงขนาด "หนังชีวิต" หรอกครับ

ประมาณว่าระดับซีรีส์เท่านั้น!

นี่ผมมองบ้านเมืองในภาพรวมๆ ดิบๆ นะครับ ไม่ได้มองโดยใช้ "ตัวช่วย" ใดๆ มาบวก มาลบ แต่ต้องไม่ลืมกันว่า "รากเหง้า" ก่อกำเนิดของแผ่นดินไทย-คนไทย นั้น-มี และเป็นการมี "ทรงเอกลักษณ์" เข้าสู่มิติพลูโตแนบแน่น ชาติอื่น-บ้านอื่น-เมืองอื่น เขาก็มีแบบของเขา

แต่ของเรา "ราก" นั้น เป็นรากแห่งจิตวิญญาณ เป็นบ้านเมืองที่มีบรรพบุรุษดูแล ดูเหมือนห่างไกล ยากจะสัมผัสถึงได้ แต่เบื้องลึก หยั่งรากฝากติดไว้กับพระพุทธศาสนา ฉะนั้น ต้นไม้ที่มีดอกติดผล และผลที่ติดนั้น จะเติบโตติดขั้วจนสู่ขั้นเป็นผลใช้เพาะขยายพืชพันธุ์สมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยความหอมหวานได้หรือไม่?

นั่นต้องเข้าใจคำว่า กรรมล้างไม่ได้ แต่ใช้ "ปัจจุบันกรรม" ปรับแต่งได้!

นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่า "เจ้าตัว" ใดๆ จะเข้าใจขนาดไหน และจะทำหรือไม่ทำตามความเข้าใจนั้นอย่างใด ก็สุดแต่บุญแต่กรรม ณ ปางนี้ และปางบรรพ์ ทั้งของแต่ละบุคคล และทั้งของ "ประเทศชาติ-บ้านเมือง" เถอะ!

ทุกอย่าง มันมีตัวเกิด ในตัวเกิดก็มีตัวทำลาย และในตัวทำลายก็มีตัวเกิด อย่างในการเกิดของระบบคอมพิวเตอร์ มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า "ไวรัส" มาเป็นตัวทำลาย ถ้าใครเก่งเหนือไวรัสตัวนั้นก็ "กู้" ได้ จากตายให้ฟื้น

สถานการณ์บ้านเมืองเราที่ถามกันว่า......

"แล้วมันจะไปอย่างไรกัน?

แล้วมันจะไปจบกันตรงไหน เมื่อไหร่?"

คำตอบมันก็อยู่ที่แต่ละคนถามนั่นแหละ มันจะไปอย่างไรกัน...มันจะจบกันตรงไหน...มันก็อยู่ที่ว่า "พวกคุณ-พวกท่าน" จะเลิกกัดกันเมื่อไหร่

จุดที่ทำให้เปลี่ยนจาก "กัดกัน" ไปเป็น "กอดกัน" มีมั้ย?

มี....ใครว่าไม่มีล่ะ!

สนิมนั้น เกิดแต่เนื้อในตน, มะเดื่อนั้น หนอนเกิดแต่เนื้อในตน, มอดนั้น กัดกินเนื้อไม้หุ้มในตน บ้านเมืองของเราเหมือนกัน อ่านประวัติศาสตร์จะพบว่า แต่ละยุคที่เป็นไปสาเหตุ "เกิดแต่เนื้อในตน" เกือบทั้งนั้น

จะว่าเป็นกรรม ก็ไม่เถียง กรรมจากสร้างในชาติ กรรมจากสร้างในพระศาสนา กรรมจากสร้างในสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนใครจะเป็นผู้สร้างที่ไหน-อย่างไร

ใคร-ไหนเล่า จะรู้เท่าตัวเอง?!

ก็กรรมเหล่านั้นแหละสั่งสมเป็น "มรดกรรม" ร่วมชาติ พวกเราทุกคน ไม่ว่าสีไหนทั้งนั้น ต้องรับสภาพ "กรรมทายาโท" คือเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นเฉลี่ยกันไปในฐานะเกิดร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน

บางที-พวกเราชาวบ้าน "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง" แต่ต้องยอมให้กระดูกแขวนคอ!

คิดแล้วมันก็น่าอนาถใจ แล้วเราเหลือง-แดง "ชาวบ้านด้วยกัน" จะถูกกรรมแผ่นดินที่ไม่รู้ "ใครสร้าง" มอมหน้าให้ต้องมาฆ่าแกงกันเองไปทำไม คิดแล้วหดหู่ สังเวชใจจริงๆ

พวกเรารักบ้านเมืองบริสุทธิ์ใจ แล้วก็ทำตามที่คิดด้วยวิธีและแนวทางผิดบ้าง-ถูกบ้างแตกต่างกันไป โดยมีเป้าหมายรวมอยู่ที่เดียวกัน คือ ต้องการให้บ้านเมืองไร้ทุกข์ ชาวบ้านอยู่สุขตามฐานานุรูป

แต่ในขณะที่เราเกือบต้องฆ่ากันบนเป้าหมาย "เพื่อบ้านเมือง" เดียวกัน ปรากฏว่า มีบางคน บางส่วน ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว ไม่รู้ว่ากูมีภาวะอะไร กำลังประพฤติตนเหมือนด้วงในคอมะพร้าว กำลังมัวเมาสร้างกรรมให้ชาติ เสาประเทศขณะนี้เหมือนปักอยู่บนหน้าผาเทลาด แล้วพวกเราส่วนหนึ่งก็ขึ้นไปขย่ม ถล่มทะเลาะตบตีกัน และอีกส่วนหนึ่งก็ ก้มหน้าก้มตาชอนไช กัดเซาะรากเสา!

พี่น้องเอ๋ย เราเป็นลูกหลานรากเหง้าบรรพบุรุษไทยเดียวกัน พวกเราไม่ใช่ควายที่เพียงเขาเอาผ้าต่างสีมาคลุมก็ไล่ขวิดกันเอง เราจะยอมให้เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปได้อย่างไร ใครจะล้างแค้นใคร นั่นก็ค่อยเช็กบิลกันเป็นรายๆ ไป แต่การล้างแค้นโดยเอาความสงบสุข และอนาคตชาติบ้านเมืองเป็นเดิมพัน เป็นลานแห่งงานสัประยุทธ์ล้างแค้นเช่นนี้

ไม่ถูกต้อง พี่เอ๋ย..น้องเอ๋ย ไม่ควรทำเลย บ้านเมืองเจ็บ พวกเราเจ็บทุกคนใช่ไหม เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จะทำตามที่เขาหลอกไปทำไม ไอ้พวกข้างบนนั้น เขาสมประโยชน์ในโพดผลนั่งอยู่บนหัวเราอยู่ตลอด พวกเราไปรู้เรื่องอะไรกะเขาซักเท่าไหร่ วันไหนเขาหมดธุระที่จะใช้พวกเรา เขาก็มองพวกเราแค่ "หมาขี้เรื้อน" ที่เลิกเลี้ยงตัวหนึ่งเท่านั้น!

เชื่อผมเถอะ นี่คือความจริง ประชาชนนั้น ไม่ได้มีไว้หลอก แต่ทุกยุค-ทุกสมัย ประชาชน "ถูกหลอกใช้" ตลอดกาล!?

.....
.....

     อย่าลืมนะครับ  บ้านเมืองไทยเป็นของเราทุกคน  ไม่ใช่ของคนเสื้อสีไหนๆ  ไม่ใช่ของฝ่ายรัฐบาล  ไม่ใช่ของฝ่ายค้าน  ไม่ใช่ของรัฐสภา  ไม่ใช่ของตำรวจ-ทหาร  ไม่ใช่ของใครฝ่ายเดียว-คนเดียวทั้งนั้น  เรา-คนไทยเป็นเจ้าของกันทุกคน  เพราะสุดท้ายแล้ว  คนที่  "แบกชาติ"  ให้อยู่ได้  ก็ไม่ใช่ใคร  คือพวกเราที่ฟัดกันเองนี่ไง

     ชาติเจ็บ-ไม่มีใครเจ็บ  พวกเราทุกคนนี่แหละ  "เจ็บ"

     โปรดจำ.


Friday, September 11, 2009

"ดีเอสไอ"บุกจับเครือญาตินักค้ายาเสพติดฟอกเงินสร้างแมนชั่น-โรงแรม

Matichon Online
"ดีเอสไอ"บุกจับเครือญาตินักค้ายาเสพติดฟอกเงินสร้างแมนชั่น-โรงแรม

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เวลา 12.30 น. พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมพนักงานสอบสวนดีเอสไอกลุ่มงานความมั่นคง กระจายกำลังนำหมายค้นของศาลอาญาเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 10 จุด ในอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อจับกุมเครือข่ายยาเสพติดของนายสุรวุฒิ ชินวุฒิวงศ์ และนายวิเชียรไตรจุฑากาญจน์ จำเลยในคดีค้ายาเสพติดต้องโทษจำคุก 15 ปี โดยผลการตรวจค้น 3 จุด ได้แก่ อาคารเอ็นเฮชแมนชั่น โรงแรมหอเจีย และห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเจริญด่านนอก และจับกุมตัวนายสนธิศักดิ์ ไตรจุฑากาญจน์ น.ส.กุลพร เลิศชโลธร และนางวนิดา ปิติเศรษฐโกศล หรือคงเศรษฐโกศล เป็นผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินและทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด

ก่อนหน้านี้ดีเอสไอจับกุมตัวนายสุรวุฒิ ชินวุฒิวงศ์ และนายวิเชียรไตรจุฑากาญจน์ ฐานร่วมกันค้ายาเสพติดและได้ขยายผลการสอบสวนพบว่าจำเลยทั้ง 2 ได้ผ่องถ่ายทรัพย์สินจากการค้ายาเสพติดไปให้เครือญาติ โดยนำเงินไปลงทุนสร้างอาคารแมนชั่น โรงแรม และบริษัท ดีเอสไอจึงประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อสนธิกำลังเข้าจับกุมและตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนี้

TDMZ - อ่านข่าวนี้แล้วก็เห็นอะไรบางอย่าง เวลามีเรื่องอะไรไม่ดีทางใต้ คนก็จะคิดว่า เกี่ยวกับ ปชป  เป็นอิทธิพลของ ปชป เหมือนกับที่ "แดงนะลูก"  comment ไว้บนมติชน อย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ
ในที่สุดก็เข้าตัวเอง เพราะนามสกุล ชินวุฒิวงศ์ นั่นน่ะ ไปค้นดูดีดี ในอดีตมีคนนามสกุลนี้ลงเลือกตั้งอยู่เขต 2 สงขลา คือ หมายเลข 9.นายสุรเชษฐ์ ชินวุฒิวงศ์ ในนามพรรค พลังประชาชน

รู้แบบนี้แล้ว ก็มอง DSI ในแง่ดีขึ้น ว่าคงไม่ใช่แดนสนธยาอีกแล้ว ยิ่งรู้ว่า DSI ลงไปจัดการพวกโกงที่ดินที่ภูเก็ต ได้ซักพักใหญ่ๆแล้ว โดยได้มือดีๆจากกรมที่ดินไปช่วยงาน ต่อไปประเทศไทยคงสะอาดขึ้นเมื่อ DSI ทำงานอย่างจริงจัง และเป็นมืออาชีพ ผิด คือผิด ไม่ว่าคนทำผิดจะเป็นใคร


เมินโดนพธม.ไล่แขวะ 'สมยศ'รับ'ตร.สีน้ำเงิน'

Thai Insider - เมินโดนพธม.ไล่แขวะ 'สมยศ'รับ'ตร.สีน้ำเงิน' 'รัก-ชอบพอ'กับ'เนวิน' แจงชัดไม่กลัว-ไม่อาย
“สมยศ” เมินพธม.วิจารณ์ “ตร.สีน้ำเงิน” แอ่นอกรับ “รักชอบพอ” กับ “เนวิน” เป็นคนประเภทเดียวกัน-นิสัยเหมือนกัน-เป็นไงเป็นกัน ลั่น “ไม่กลัว-ไม่อาย” เพราะถ้าปฏิเสธก็หมายถึงโกหก พร้อมยอมรับซี้ปึ้กกับ “วิชัย-กนกศักดิ์” แถมชอบเล่นหุ้น

วันที่ 11 ก.ย. 2552 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งเพิ่งได้รับคำสั่งจากพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ แทนพล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่ขอลาออกจากคดีนี้ กล่าวผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์” ถึงกรณีดังกล่าวว่า “ถามว่าเห็นคำสั่งหรือยัง ณ บัดนี้ยังไม่เห็นคำสั่ง ยิ่งผบ.ตร.ตั้งผม ก็ไม่ได้ศึกษาหรือถามผมก่อน แต่ทราบมาหลายวันแล้วว่า พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ได้มาขอลาออกกับพล.ต.อ.พัชรวาท การที่ผบ.ตร.สั่งผม ไม่ทราบเรื่องมาก่อน ซึ่งก็ตกใจ ว่าทำไมมาตั้งผม เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นผู้ช่วยผบ.ตร. ที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งงานเรื่องของพันธมิตรฯปิดสนามบินสุวรรณภูมิกับดอนเมือง เป็นเรื่องของผู้ช่วยผบ.ตร. ที่ดูแลกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) มันผิดฝั่งผิดฝาไปหน่อย”

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า เป็นดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา ที่มอบหมายให้ตนทำ ก็น้อมรับ แต่ถามความรู้สึกส่วนตัว มันผิดฝาผิดฝั่ง เพราะวันหนึ่งหากงานเดินไป แล้วมีปัญหา ก็อาจจะลาออกก็ได้ เพราะไม่ใช่ความรับผิดชอบของตน แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในดุลยพินิจของรักษาการผบ.ตร. (พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์) ในเวลานี้

เมื่อถามว่า นายสั่งก็ต้องทำ อะไรที่ว่าถ้ามีปัญหาจะลาออก พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “การทำงานของผมยึด 3 ประการคือ 1.ยึดหลักความยุติธรรม ทำตรงไป-ตรงมา 2.ถูกต้องตามกฎหมาย 3.จะไม่กลั่นแกล้งหรือรังแกผู้อื่น ไม่ทำแล้วดูเป็นการกลั่นแกล้งหรือช่วยเหลือใคร”

ถามต่อว่า รู้สึกอย่างไร ในทันทีที่มีข่าวเซ็นตั้ง ทางพันธมิตรฯก็เริ่มยิงปืนใหญ่ถล่ม เป็นหมู่บ้านกระสุนตก กล่าวหาเป็นตำรวจสีน้ำเงิน ทำไมจึงเกิดเช่นนี้ และสีน้ำเงินแปลว่าอะไร พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ถ้าถามว่า อะไรเป็นความรับผิดชอบหรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชา สั่งอะไรมาก็ทำ แต่ผมยึดหลัก 3 ประการ ผมทำเรื่องใหญ่คือ รีสอร์ตทองผาภูมิ ก็เป็นเป้ากระสุนตกมาแล้ว นสพ.ผู้จัดการก็เขียนถึงผมเยอะ ก็ไม่ว่ากัน เค้าบอกเป็นตำรวจติดตามนายมนตรี พงษ์พานิช จากนั้นก็บอกมาติดตามนายเนวิน ชิดชอบ ก็ขอแก้ข่าวว่า ผมไม่ได้เดินตามนายเนวิน ไม่ได้เป็นตำรวจติดตาม แต่รักนายเนวิน เพราะนิสัยเหมือนกัน เป็นไงเป็นกัน ผมเป็นตำรวจติดตามก่อนคุณเนวินเป็นส.ส.ด้วยซ้ำ เมื่อเจอกัน เป็นคนประเภทเดียวกัน ก็คบกันได้ เค้าเคารพผมเหมือนพี่ เราก็เคารพกัน เป็นเพื่อน นี่คือความผูกพัน”

เมื่อถามว่า พูดเต็มปาก ว่ารักชอบพอกับนายเนวิน ไม่กลัวหรือ ผู้ช่วยผบ.ตร.ผู้นี้ ตอบว่า “ไม่กลัวครับ นสพ.เขียน ถ้าไม่จริง ผมจะตอบโต้ แต่เค้าเขียนเรื่องจริง ผมไม่อายหรอก ถ้าผมปฏิเสธว่าไม่เคย ก็โกหก เค้าบอกว่า ผมเป็นเพื่อนคุณวิชัย (รักศรีอักษร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด) เป็นเพื่อนคุณกนกศักดิ์ (ปิ่นแสง) บอกผมชอบเล่นหุ้น เขียนไปแล้ว ผมไม่ว่า ผมเล่นหุ้นก็ใช้เงินผม ไม่ได้สนใจเงินสีดำ สีเทา หรือเงินเน่าๆ ในวงการตำรวจ ผมอยู่ได้อย่างสง่าผ่าเผย ถามเลย ใครเคยเอาเงินมาให้ผม ผมชอบเล่นหุ้นมันผิดกฎหมายหรือครับ เงินที่เข้า-ออก บัญชีผม มาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เจ๊งบ้าง-รวยบ้าง ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ผมได้ดัง”

เมื่อถามว่า พูดเต็มปาก เดินตามนายมนตรี แต่ไม่ได้เดินตามนายเนวิน แค่รักชอบพอกัน แถมรู้จักนายวิชัย-นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง และเล่นหุ้นจริง พล.ต.ท.สมยศตอบว่า “ใช่...ไม่ว่ากัน”

ถามอีกว่า ถ้าลงไปเคลื่อนสำนวนในคดีพันธมิตรฯ ไม่ยิ่งโดนหนักกว่านี้หรือ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ถ้าเป็นหน้าที่ก็ต้องทำ ถ้าไม่อยากทำ ก็ลาออก ต้องดูกันต่อไป เพราะขีดความอดทนไม่เหมือนกัน บางคนอาจโดนปั๊ง-สองปั๊งก็อถอดใจ ผมอาจโดนสักร้อยปั๊ง ถึงถอดใจ”

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวต่อว่า การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของพัชรวาท มันมีสองแง่สองง่าม บางท่านก็บอกว่า ต้องหยุดทันที บางท่านก็บอกว่า ไม่ต้องหยุด เพราะพล.ต.อ.พัชรวาทไม่ใช่ข้าราชการเมือง ตนก็เคารพภูมิปัญญาทุกท่าน คนหนึ่งเห็นอย่าง อีกคนเห็นอย่าง ก็ต้องถกเถียงกัน

เมื่อถามว่า หากทางกฎหมาย บอกว่า พล.ต.อ.พัชรวาทต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คำสั่งตั้งพล.ต.ท.สมยศ ก็หมดสภาพ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ไม่ขอวิจารณ์ ผมแค่พอรู้กฎหมาย แต่ไม่แตกฉานในเรื่องกฎหมายสำคัญ ให้ผู้รู้ว่ากันไปดีกว่า”

“ถ้ารักษาการผบ.ตร. (พล.ต.อ.ธานี) เรียกไป ก็ต้องหารือถึงแนวทางและวิธีการ แต่เท่าที่ทราบ สำนวนการสอบสวนมันจบไปแล้ว ผมมาทำอะไรไม่ได้ มันสรุปแล้วว่า ข้อหาเป็นอย่างนั้นจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ระบบยุติธรรมของไทย เป็นระบบกล่าวหา ให้ไปต่อสู้กันในศาล” ผู้ช่วยผบ.ตร.ผู้นี้ระบุ

เมื่อถามว่า สำนวนคดีปิดสนามบิน ถือว่าจบแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไปถึงขั้นตั้งข้อกล่าวหา และมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่มารับทราบข้อกล่าวหา จากพนักงานสอบสวน ตามหมายเรียก ก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน จะออกหมายเรียก หรือทำเรื่องไปถึงศาล เพื่อขออออกหมายจับ แต่ตามป.วิอาญา ไม่ได้บอกว่า จะต้องออกหมายเรียกกี่ครั้ง อยู่ที่ดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน

ถามอีกว่า แต่เค้า (แกนนำพันธมิตรฯ) ไปปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานสอบสวน แต่ไม่รับทราบข้อกล่าวหา ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ถ้าผมมารับงานในหน้าที่นี้แล้ว ก็ต้องหารือกับคณะกรรมการ ที่สอบสวนเรื่องนี้ ไม่อยากตัดสินโดยลำพัง ขอถามก่อนว่า เค้าคิดอย่างไร แต่ขั้นตอนการดำเนินการตามป.วิอาญา มันมีอยู่”

เมื่อถามต่อถึงคดีรีสอร์ตของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร. ออกหมายเรียกไปกี่ครั้ง พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “3-4 ครั้งแล้ว”

ถามต่อว่า แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า “ท่านไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวน แต่ทราบว่าล่าสุดไปขึ้นศาล จึงไม่ได้มา เราก็เข้าใจ ก็ต้องออกหมายเรียกซ้ำอีกที โดยกำหนดให้มาวันที่ 14 ก.ย.นี้ เวลาบ่ายโมง ให้มาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เลย”

"ธานี" ฟิตจัดเรียกประชุมคลี่คลายคดีลอบยิงสนธิ

พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. ในฐานะ รรท.ผบ.ตร. ได้เรียกรองผบ.ตร. ,จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) และตำแหน่งเทียบเท่า ประชุมภายหลังเข้ารับตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. โดยใช้เวลาการประชุมประมาณ 30 นาที พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้เชิญรองผบ.ตร. จตช. และตำแหน่งเทียบเท่า เข้าประชุม ตนไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ ได้แจ้งว่าให้ทุกท่านทำงานไปตามปกติ ส่วนกรณีที่พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มีคำสั่งเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีปิดล้อมสนามบิน จากพล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผช.ผบ.ตร. เป็นพล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผช.ผบ.ตร. ก็ให้เป็นไปตามนั้น คำสั่งที่ผบ.ตร.ลงนามไว้ ก็จะถูกแจกจ่ายไปยังผู้ปฎิบัติ ในการทำคดีก็ให้อำนาจหัวหน้าพนักงานสอบสวนไปดำเนินการได้เต็มที่

พล.ต.อ.ธานี กล่าวถึงคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพธม. ก็คืบหน้าไปทุกๆด้าน และเวลา 14.00 น.วันนี้ก็จะเรียกประชุมติดตามความคืบหน้าจากคณะทำงาน ซึ่งก็จะมารายงานในสิ่งที่ตนได้สั่งการไป

เมื่อถามว่ากดดันหรือไม่ เพราะเหลือเวลาเพียง 19 วันก็จะเกษียณอายุราชการ พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า ไม่ได้กดดันอะไร มีหน้าที่ก็ทำไป เมื่อวานที่ไปพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯก็ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่บอกว่า ให้ปฎิบัติหน้าที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สิ่งที่ท่านเป็นห่วงคือความมั่นคง การชุมนุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น


คดีสนธิ'หมิ่นภูมิธรรม' ศาลลดโทษ'คุก6เดือน' ลิ้มปากดี:กี่คดีไม่ยี่หระ ติดคุกเกียรติยศยิ่งใหญ่

Thai Insider
“ศาลอุทธรณ์” ลดโทษให้ “สนธิลิ้ม” จากคุก 2 ปี เหลือ 6 เดือน แต่ไม่รอลงอาญาเหมือนเดิม ในคดีหมิ่น “ภูมิธรรม” ด้านแกนนำพธม.ไม่ยี่หระว่าจะโดนกี่คดี ลั่นวันที่เดินเข้าคุก จะเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่

วันที่ 11 ก.ย. 2552 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่นายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตรมช.คมนาคมและอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด, นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล, นายพชร สมุทวณิช, นายขุนทอง ลอเสรีวณิช, นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท แมแนเจอร์ มีเดียร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), นายสุวัฒน์ ทองธนากุล, นายมรุชัช รัตนปรารมย์, นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์, นายวิรัตน์ แสงทองคำ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีเมื่อที่ 25 พ.ย.2548 ซึ่งนายสนธิ จำเลยที่ 5 และน.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมกันจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 10 ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ทำนองว่า เป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่เคารพสถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งเกี่ยวข้องกับการจัดทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง โดยถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ของจำเลยที่ 1 และยังบันทึกเป็นวีซีดี และดีวีดีออกเผยแพร่ รวมทั้งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับเสาร์-อาทิตย์ 26-27 และ 28 พ.ย.2548 และในเว็บไซต์ผู้จัดการ

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้จำคุกนายสนธิเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนบริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ให้ปรับเงิน 200,000 บาท และให้ทำลายวีซีดี ดีวีดี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 10 และ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 26-27 และ 28 พ.ย.2548

ต่อมานายภูมิธรรม โจทก์ และบริษัทไทยเดย์ จำเลยที่ 1 และนายสนธิ จำเลยที่ 5 ยื่นอุทธรณ์โดยจำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลลดโทษและค่าปรับด้วย

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 มีความผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 238 ฐานหมิ่นประมาท แต่เป็นการกระทำผิดในการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งเดียว จึงเห็นควรกำหนดโทษให้เหมาะสม พิพากษาให้ลดโทษจำคุก จำเลยที่ 5 นายสนธิไว้ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท คงไว้

จากนั้นนายสนธิ ให้สัมภาษณ์หลังประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาทว่า พร้อมจะยอมเข้าคุก โดยจะยื่นฎีกาตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น เกิดในช่วงที่สู้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องสู้ทุกรูปแบบ และไม่กลัวที่จะถูกฟ้อง หากกลัวก็สู้ไม่ได้ ตนสู้เพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ยี่หระ ว่าจะมีกี่คดี จะสู้ให้เห็นว่าศาลยุติธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อบ้านเมือง วันที่เดินเข้าคุกจะเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่


คน'พท.'ฟัดกันเองแล้ว เสด็จพี่กริ้วลั่นฟ้องกรุง กล่าวหาอมเงินเลือกตั้ง อัดหวังดิสเครดิตพรรค

Thai Insider
"พร้อมพงศ์" ลั่นฟ้องแพ่ง-อาญา "กรุง ศิวิไล" กล่าวหาอมเงินหาเสียงเลือกตั้งสุราษฎร์ธานี อัดกรุงต้องการดิสเครดิตพรรคและผู้ใหญ่ในเพื่อไทย

วันที่ 11 ก.ย.2552 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณีที่นายอดิสราช ธรรมพิทักษ์ อดีต ผอ.เลือกตั้ง จ.สุราษฎร์ธานี พรรคเพื่อไทย ระบุว่า นายพร้อมพงศ์เชื่อถือไม่ได้กรณีเงินหาเสียงเลือกตั้ง จ.สุราษฎร์ธานีว่า การเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยนั้นมีคณะทำงานที่คอยประสานงานเรื่องนี้อยู่แล้ว หากมีการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อการสียงเลือกตั้งจริงก็มั่นใจว่าไม่มีปัญหา หากมีบิลหรือใบเสร็จรับเงินเรียบร้อยก็นำไปแจ้งกับผู้สมัครก็สามารถเบิกเงินได้ เพราะจะมีบัญชีของพรรคที่ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะตนอยู่ในตำแหน่งของโฆษกพรรคนั้นเป็นกรรมการบริหารพรรค ไปมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบัญชีหาเสียงเลือกตั้งไม่ได้ เพราะมันเป็นบัญชีเฉพาะและเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค เนื่องจากอาจจะทำให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่ไม่รู้ว่าการมาเคลื่อนไหวของนายอดิสราชนั้น เป็นเพราะต้องการดิสเครดิตผู้ใหญ่ในพรรค สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของ นายนที สุทินเผือก หรือ กรุง ศิวิไล ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาบอกว่าตนอมเงินหาเสียงเลือกตั้ง จ.สุราษฎร์ธานี ในระยะเวลาใกล้เคียงกันพอดี

“คุณกรุงออกมาพูดเรื่องพรรคนั้นฟังดูเหมือนจะดิสเครดิตพรรคและผู้ใหญ่ในพรรค ซึ่งไม่ทราบว่ามีนัยยะการเมืองในพรรค นอกพรรคแอบแฝงหรือเป็นการรับงานมาพูดหรือไม่ เพราะถ้าไม่รู้ว่าคุณกรุง เป็นส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ใครได้ยินก็คิดว่าเป็นการโจมตีของคนนอกพรรคหรือพวกการเมืองขั้วตรงข้าม ซึ่งคุณกรุงควรมาสอบถามกันในพรรคก่อนที่จะออกมาพูดเรื่องนี้ และผมเป็นคนประสานเอาดาราลงไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งหลายคนไม่ว่าจะเป็นน.ส. ลีลาวดี วัชโรบล อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคพลังประชาชน นายฤทธิ์ ลือชา ดารานักแสดง หรือนายเจ๋ง ดอกจิก ลงไปช่วยหาเสียงไม่มีปัญหา แต่คุณกรุงไม่ได้ลงไปช่วยหาเสียงกลับมีปัญหา ซึ่งผมไม่ทราบว่า การออกมาพูดของคุณกรุงมีผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าเป็นการพูดแล้วเป็นการใส่ร้ายป้ายสี พบว่าเป็นเรื่องการเมืองจากนอกพรรค"

"ผมคงต้องฟ้องร้องคุณกรุงทั้งทางอาญาและแพ่ง เหมือนกันที่ผมกำลังจะไปฟ้องนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยหมิ่นประมาทผม เรื่องถ่ายหนังโป๊ ผมรู้จักคุณกรุงมา 20 ปี จึงอยากให้ชี้แจงว่า เอาข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน ไปฟังมาจากใคร ซึ่งผมเองก็ไม่อยากรบกับใคร แต่เพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล หากไม่มีข้อเท็จจริงแล้วมาพูดทำให้เราเสียหาย ทำให้พรรคเสียหายก็ต้องฟ้อง ซึ่งถ้ากรุง ศิวิไล อยากพิสูจน์ความจริงในศาลเหมือนศิริโชค ผมก็พร้อมจะฟ้องทั้งแพ่งและอาญาด้วย” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่าสำหรับกรณี นายเมธี อมรวุฒิกุล ดารานักแสดงที่ไปทำร้ายนายอดิศราช ที่มีข่าวออกมาว่า ตนเป็นคนให้ท้ายนายเมธี และผลักดันนายเมธีให้เข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยนั้นไม่เป็นความจริงเลย เพราะแม้ตนและนายเมธี จะเป็นดารานักแสดงมาด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะนายเมธี เป็นดารารุ่นน้องหลายปี แต่หากนายเมธี จะก้าวเข้ามาเล่นการเมืองด้วยการลงสมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยนั้นตนเห็นว่า ถ้านายเมธี มีความพร้อม เรื่องจิตอาสา มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์และเวลา ก็สามารถลงสมัครส.ส.กทม.ได้ แต่จะได้ลงหรือไม่ก็ต้องไปสอบถามกับกรรมการภาค กทม.และนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.ว่าจะส่งลงหรือไม่


Label Cloud