Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Tuesday, September 8, 2009

‘จอม เพชรประดับ’ สัมภาษณ์ ‘ทักษิณ’

โปรดใช้วิจารณญานในการเชื่อ
หากท่านติดตามข่าวสารรอบด้าน ท่านจะทราบได้ทันทีว่า อะไรจริง อะไรเท็จ ใครเอนเอียงไปทางใคร

‘จอม’ สัมภาษณ์ ‘ทักษิณ’ | ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์


สัมภาษณ์โดย จอม เพชรประดับ
รายการ exclusive 100.5 เมกกะเฮิร์ต โมเดิร์นไนน์ เรดิโอ
6 กันยายน 2552

...

ตอนนี้ ท่านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในสายแล้ว สวัสดีครับ
ทักษิณ : สวัสดีครับคุณจอมครับ พูดเสียน่ากลัวมาก น่ากลัวมากเลย

จอม (หัวเราะ) : มีเรื่องน่ากลัวมากมายที่พูดถึงตัวท่านในประเทศไทย แต่ผมว่าน่าคือช่องทางหนึ่งที่ประชาชนจะได้รับฟังจากเสียงของท่านเองว่า ความน่ากลัวทั้งหลายที่คนไทยมองท่าน ท่านจะอธิบายอย่างไร

ทักษิณ : ปัญหาของเราวันนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า เรากำลังปล่อยให้มีสถานีที่โกหกรายวัน และกรอกหูประชาชนเป็นเวลานาน และทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะบอกความจริง ก็หาเรื่องถูกทุบตีเรื่อย หาเรื่องปิดบ้างอะไรบ้าง ถ้าสังคมไหนไม่มีกติกา คนโกหกสามารถโกหกได้ตลอดไป คนที่พูดความจริงก็กลายเป็นบุคคลที่มีปัญหา

จอม : แต่อีกฝั่งหนึ่งก็มองว่า ท่านก็พูดโกหกเหมือนกัน ( หัวเราะ)
ทักษิณ : คือเวลานี้ คนที่โกหก แล้วทำให้คนอื่นเสียหายนี่ ขึ้นศาล ก็ไม่เป็นธรรม ศาลก็ไม่รับ บางคดีถูกกล่าวหาคดีรุนแรง ศาลถอนคดีให้ ถอนข้อกล่าวหาให้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประวัติ ตั้งแต่ตั้งศาลไทยมา แต่ก็ทำมาแล้วโดยการถอนข้อกล่าวหาให้ มันเอียงกันอย่างชัด ๆ คือสรุปแล้ว ม็อบมีเส้น กับม็อบไม่มีเส้น ใครเข้าม็อบมีเส้นก็สามารถพูดอะไรก็ได้ โกหกอะไรก็ได้ และขึ้นศาลก็ไม่มีความผิด บางทีขึ้นศาลก็ถูกยกคดีไปทุกที่ ที่ไหนไม่มีความเป็นธรรม สังคมไม่มีความสงบหรอกครับ เพราะกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ระบบยุติธรรมไม่มีความยุติธรรม ไม่มีทางหรอกครับ

จอม : ท่านบอกว่า อยากจะกลับบ้านเต็มที อยากมาช่วยชาติบ้านเมือง คิดว่าถ้าท่านกลับมา กระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่เวลานี้ จะให้ความเป็นธรรมกับท่านได้หรือไม่
ทักษิณ : คือความยุติธรรมของประเทศไทยในวันนี้ ถ้าไม่มีคนดึงอยู่ข้างหลัง ระบบเขาดีอยู่แล้ว เพราะศาลส่วนใหญ่ วันนี้เขาก็อึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมันมีบางคน คอยไปจิก ไปจี้ เรื่องบางเรื่อง obvious มากเลยครับว่า ต้องผิด แต่ปรากฏว่าไม่ผิด เรื่องบางเรื่องชัดเจนมากว่า มันไม่ผิด แต่ก็ผิด ยกตัวอย่าง เรื่องของการทำกับข้าวของคุณสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกมาก และเรื่องมาตรา 100 ที่เล่นงานผมนี่ คือ การซื้อขายไม่ผิด แต่ผมอนุญาตให้ภรรยาไปเซ็นนิติกรรมรับโอนขึ้นมา และใช้บัตรของนายกรัฐมนตรี ซึ่งบังเอิญมันมีบัตรที่มีเลขประจำตัวประชาชนอยู่ในนั้น ซึ่งใช้แทนบัตรประชาชนได้นั้น ก็ผิดมาตรา 100 จำคุก 2 ปี แต่ไปบุกรุกป่าสงวน ยึดยอดเขาทั้งยอดเขา ไม่มีความผิด คือความไม่เป็นธรรมมันรุนแรง

จริง ๆ แล้ว วัตถุประสงค์คือ ต้องการเปลี่ยนข้างการเมืองเท่านั้นเอง เพราะถ้าลงไปเลือกตามประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางชนะ ก็เลยต้องใช้ทุกวิถีทาง และวันนี้คุณสังเกตดูไหมว่า แกนนำรัฐบาล มีจำนวน ส.ส.ในสภาน้อยกว่าแกนนำฝ่ายค้าน เพราะมีการบังคับให้เกิด position ใหม่ โดยการไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ผมว่าวันนี้ ต้องเอาความจริงมาพูดกัน

จอม : ถ้าท่านมองว่า นี่คือความจริงอีกด้านหนึ่งที่สังคมไทยควรจะรู้ ถ้าท่านมีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ผมก็ยืนยันว่า ท่านก็คงมีความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองอยู่ แต่จะให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงในปัญหาที่ท่านมองเห็น ท่านกลับมาช่วยแก้ไขไม่ดีกว่าหรือ
ทักษิณ : แล้วจะให้แก้อย่างไรละ

จอม : ท่านอาจจะกลับมา แล้วหาทางแก้กันดู ประสานงานกัน แก้ปัญหาบบ้านเมืองร่วมกัน
ทักษิณ : ผมไม่รู้จะพูดกับใคร จะให้ผมพูดกับใคร ใครจะพูดกับผมล่ะ ไม่มีหรอก คนที่กำลังสร้างปัญหาอยู่ และแอบกดดันสั่งการอยู่ข้างหลังนั้น คือคนที่ไม่รับผิดชอบอะไรทางการเมืองเลย และไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย แต่ใช้บารมีสั่งการอยู่อย่างนี้ และระบบยุติธรรมก็เสียหายหมด แล้วจะให้ผมคุยกับใคร วันนี้ผมอยากจะคุย แล้วจะให้ผมคุยกับใคร

จอม : ท่านรองสุเทพ บอกว่า พยายามหลายครั้งที่จะคุยกับท่าน
ทักษิณ – ไม่มีทาง

จอม : ไม่มีทาง เพราะท่านไม่อยากคุยหรืออย่างไร
ทักษิณ : ไม่ใช่ เขาไม่เคยมาพูดเลย

จอม : ไม่เคยติดต่อมาหาท่านเลยหรือ
ทักษิณ : ไม่เคยเลย คือประชาธิปัตย์นี่เก่งมากในการพูดให้คนอื่นเสีย แล้วให้ตัวเองดูดี ไม่มีเลยฮะ ไม่โทรหาผมแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยให้ใคร on behalf หรือเป็นตัวแทนเขาโทรติดต่อผม ไม่มีเลย

จอม : ถ้าในทางกลับกัน ให้ท่านยอมเสียสละศักดิ์ศรี เกียรติยศบ้างบางส่วน โทร.คุยกับคุณสุเทพ เพื่อหาทางสมานฉันท์ จะทำได้ไหมครับ
ทักษิณ : ผมไม่เห็นมีอะไร เดี่ยวก่อนนะฮะ คุณสุเทพเป็นใคร ทำไมต้องคุยกับคุณสุเทพ ถ้าคุณสุเทพโทรมา

จอม : เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ : รองนายกฯ ไม่ใช่หัวหน้าพรรค วันนี้รองนายกฯ จะตั้งคนหนึ่ง นายกฯ จะตั้งคนหนึ่ง ยังตั้งไม่ได้เลย เถียงกันไม่จบเลย วันนี้จะให้ฟังใคร ถามจริงๆ คุณจอม คุณจอมช่วยไปหาคนซึ่งเป็นคนที่สามารถมีอำนาจตัดสินใจได้ แล้วคุยกับผม แล้วบอกผมหน่อย อำนาจการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์อยู่กับใคร บอกมาเลย แล้วผมคุยได้

จอม : ท่านคิดว่า ไม่ใช่คุณสุเทพใช่มั้ยครับ ในการตัดสินใจในพรรคประชาธิปัตย์
ทักษิณ : ไม่ใช่หรอก เดี่ยวนี้คุณสุเทพยังทะเลาะกับคุณอภิสิทธิ์อยู่เลย

จอม : ถ้ามองว่า นายกรัฐมนตรีคือผู้นำสูงสุดที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย แก้ปัญหาของบ้านเมือง ท่านจะลองคุยกับท่านนายกฯ อภิสิทธิ์มั้ยครับ แล้วหาทางปรองดองกัน คุยกัน
ทักษิณ : ก็ไม่เห็นมีอะไร ไม่มีปัญหาเลย ผมคุยกับคนได้ทุกคน

จอม : แต่ใครจะเป็นคนเริ่มคุยก่อน
ทักษิณ : ได้ทั้งนั้นแหละครับ ผมไม่มีปัญหา ถ้าอยากคุยก็คุยกัน ไม่มีปัญหาเลย คนไทยด้วยกัน เพียงแต่ว่า คุยแล้ว เขามีอำนาจตัดสินใจไหม ผมไม่เชื่อว่า คุณอภิสิทธิ์เองจะมีอำนาจตัดสินใจ ผมไม่เชื่อหรอก เพราะวันนี้คุณอภิสิทธิ์จะตั้ง ผบ.ตร. ยังตั้งไม่ได้เลย

จอม : ถ้าอย่างนั้น ปัญหาจะจบลงอย่างไร
ทักษิณ : คุณจอม ผมจะบอกให้ บ้านเมืองที่ยุ่งวันนี้ โครงสร้างปกติไม่สามารถทำงานได้ปกติ เพราะคนที่อยู่นอกโครงสร้างของการบริหารจัดการ เข้ามาสั่งการใช้บารมี ใช้อำนาจจัดการตรงนั้นตรงนี้ ทำให้คนที่อยู่ในโครงสร้างทำงานไม่ได้ ผมเจอปัญหานี้ตอนที่ผมเป็นนายกฯ ปีสุดท้าย ที่สร้างขบวนการพันธมิตรประชาชนฯ เข้ามาไล่ผม เพื่อเป็นเหตุในการปฎิวัต ตรงนั้นต่างหากละ

ผมมาโดยครรลองที่ถูกต้อง ประชาชนเลือกมาถึง 377 เสียงใน 500 เสียง แต่ปรากฏว่า มีม็อบมาอีกกลุ่มหนึ่ง ม็อบกลุ่มซึ่งผม handle อะไรไม่ได้เลย ผมจัดการอะไรไม่ได้เลย เพราะมีคนแอบสั่งการ ศาลก็ไม่ทำงาน ผมเป็นนายกฯ มาจากประชาชน ผมทำงานไม่ได้ เพราะมีคนแอบสั่งการ เสร็จแล้วหลังจากนั้นยังไม่พอ หาเรื่องหาเหตุจนให้มีการปฎิวัต วันนั้นต่างหาก 3 ปีที่แล้วต่างหากที่เป็นเหตุทั้งหมด แล้วตั้งแต่ปฎิวัต ผมออกไปแล้ว บ้านเมืองเป็นอย่างไร บ้านเมืองเละตุ้มเปะ ระบบยุติธรรมเสียหาย สองมาตรฐานเกิดขึ้นอย่างชัดเจน อย่างนี้ คุณเห็นไหม

จอม : ถ้ามองว่า โครงสร้างของบ้านเมืองผิดเพี้ยนไป ไม่มีความถูกต้อง มีสองมาตรฐาน ท่านเองก็มีพลังประชาชนอยู่ เราให้พลังประชาชนมาร่วมกันทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติไม่ดีกว่าหรือ
ทักษิณ : คุณจอมฮะ กลไกของระบบราชการ เขาไม่ได้ฟัง เขาไม่ได้ฟังโดยตรงจากกลไกของประชาชนหรอก มันมีการเข้าแทรกแซงในหลายระดับ ซึ่งตราบใดที่โครงสร้างไม่ชัดเจน รัฐธรรมนูญไม่ชัดเจน แล้วยังมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารแอบสั่งการอย่างนั้น สั่งการนี้ ไม่มีทางที่บ้านเมืองจะสงบหรอกครับ ประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่มี ไม่สงบหรอกครับ คือวันนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า เราดูเหมือนเป็นประชาธิปไตยนะ แต่มันไม่ใช่ มันไม่เป็นไปตามกลไกประชาธิปไตย คุณจอม ก็รู้ดีว่า ประชาธิปไตยมันคืออะไร

จอม : ท่านเคยบอกว่าเหมือนกันว่า ถ้าท่านกลับมา ท่านก็พร้อมที่จะอโหสิกรรมให้กับทุกฝ่าย แต่ฟังจากท่านตอนนี้ ดูเหมือนว่า ท่านยังไม่พร้อมที่จะอโหสิกรรมให้กับใคร
ทักษิณ : มันไม่เกี่ยวเลยครับ อันนี้ไม่ใช่เรื่องการอโหสิกรรม เรากำลังวิจารณ์กันถึงเรื่องว่า กลไก มันจะเดินอย่างไร ถ้าทุกคนวางมือหมด คืนความเป็นธรรมให้ทุกฝ่าย ไม่ต้องมานั่งทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วกลับไปหาประชาชนนะ ให้ประชาชนตัดสินทั้งหมด แล้วให้โครงสร้างเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียที บ้านเมืองมันก็สงบได้ ผมกำลังบอกว่า ผมไม่ได้อาฆาตใคร แต่ผมกำลังจะบอกว่า ปัญหามันอยู่ที่ไหน

ไม่ต้องอะไรมาก เมื่อเร็ว ๆ นี้เลยนะคุณจอม เมื่อ 7 ตุลาคม การสลายม็อบเป็นไปตามหลักวิชาทุกอย่าง มีขั้นตอน มีการใช้แก๊สน้ำตา แต่การสลายม็อบที่ดินแดงตี 4 ยังไม่ทันไรเลย เอาเอ็ม 16 สาดเข้ามา แล้วอีกฝ่ายหนึ่งต้องถูกดำเนินคดีทั้งอาญา ทั้งวินัย ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีคลิปเสียงตำรวจพิสูจน์ออกมาแล้วว่า รอยตัดช่วงที่ไปตัดนะ มีความสมบูรณ์ในตัวเองว่า มีการใช้ความรุนแรง แล้วมีอะไรเกิดขึ้นไหม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือมันชัด ๆ ว่า จะเข้าข้างฝั่งนี้แหละ จะเก็บฝั่งนี้ไว้แหละ อีกฝั่งหนึ่งอย่าเข้ามายุ่งนะ

จอม : ท่านคิดอย่างไร กับสิ่งที่สังคมกลุ่มหนึ่งกำลังจะร้องขอและวิงวอนจากท่านบอกว่า ยุติการเคลื่อนไหวเสียทีเถอะ ยุติการทำร้ายประเทศไทยเสียทีเถอะ ขอให้สังคมสงบ แล้วเดินหน้าต่อไปได้
ทักษิณ : แล้ววันนี้สรุปแล้ว หมายความว่า ถ้าปล้นอำนาจเสร็จก็บอกว่า หยุดเถอะนะ ง่าย ๆ อย่างนี้หรือ สมมุติง่ายๆ นะว่า คุณจอมไปปล้นเงินเขามา ได้เงินมาแล้วก็จะไปกินก๋วยเตี๋ยว และเมื่อเจ้าทรัพย์มาตามว่า เฮ้ย! เอาเงินผมคืนมา แล้วคนที่ปล้นเงินเขามาก็บอกว่า เนี่ยมายุ่งกับเงินผม จนผมกินก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ ร้านก๋วยเตี๋ยวก็โกรธ แหวใส่ แทนที่จะอุดหนุนร้านก๋วยเตี๋ยวผมเลยทำไม่ได้ มันถูกไหมละ คือต้องดูต้นเหตุ ไม่ใช่ดูปลายทาง พอดูปลายทางแล้วสรุป ไม่ได้

คือวันนี้ จุดอ่อนของเรา คือการศึกษาของเรา มันสอนให้คนท่องจำ เพราะฉะนั้นมันมี knowledge without understanding คือมีความรู้ แต่ไม่มีความเข้าใจ วิเคราะห์อะไรไม่เป็น พอใครพูดอะไรกรอกหูก็เชื่อเลย ต้องไปหารากฐานเลยว่า หนึ่ง เราเป็นประชาธิปไตยอยู่ดี ๆ ใช่มั้ย สอง บ้านเมืองเรามันดีๆ ใช่ไหม สาม มันมีคนเสียผลประโยชน์คนหนึ่ง รวมตัวกันแล้วขึ้นมาประท้วง เสร็จแล้วก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนเอาอำนาจเข้าไปสนับสนุน เช่น ไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็ดี บุคคลที่อยู่นอกโครงสร้างก็ดี เข้ามายุ่ง ยุ่งแล้วก็หาเรื่องปฎิวัติ วันนี้บ้านเมืองย่อยยับก็มาจากการปฎิวัติ คุณจอม หลังปฎิวัติทุกครั้งเขาไม่ทำกันอย่างนี้ แต่นี่เมื่อปฎิวัติแล้ว เอาคนที่เป็นปฎิปักษ์ทางการเมืองมานั่งสอบสวน หาเรื่องมันทุกเรื่อง อีกฝ่ายหนึ่งผิดก็ไม่ทำอะไร อย่างคนสอบสวนผมคนหนึ่งนี่ พบว่าโกงเครื่องบินโดยสารของการบินไทย ก็ไม่สอบสวนจนป่านนี้

จอม : เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ท่านก็เปิดตัวรายการวิทยุเฉพาะของท่านเอง talk around the world ทาง www.thaksinlive.com พอรายการนี้ออกวันแรก ทางคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็บอกว่า ทำอย่างนี้ สักวันหนึ่งหรือสุดท้ายคุณทักษิณก็คงจะรู้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง และวันเกิดของท่าน ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ได้อวยพรให้ท่านด้วย ท่านอภิสิทธิ์บอกว่า ขออวยพรให้ท่านทักษิณมีความสุข มีความสมหวัง แล้วสักวันหนึ่งก็คงได้มีดวงตาที่เห็นธรรม คิดอย่างไรกับคำอวยพรนี้
ทักษิณ : เป็นวันเกิดผม ผมก็ขอบคุณคุณอภิสิทธิ์ไป แต่วันนี้ คุณอภิสิทธิ์เองก็คงดวงตาเห็นธรรมแล้วละว่า การที่มาเป็นนายกฯ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง คงเห็นธรรมแล้วละ

จอม : เรื่องของกลุ่มคนเสื้อแดง ตอนนี้เห็นว่ามีการแตกคอกันค่อนข้างมาก คุณจักรภพ คุณสุรชัย คุณณัฐวุฒิ คุณจตุพร ก็แตกกันออกมา และมีการตั้งกลุ่มแดงสยามขึ้นมาด้วย ท่านมองปัญหานี้อย่างไร
ทักษิณ : ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องจากที่มันมีแกนนำหลายคน ความคิดเห็นต่างกันก็มีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แน่นอน มีความเห็นต่างกันเยอะ แต่ส่วนใหญ่แล้วจริง ๆ เขาต้องการเห็นบ้านเมืองมีประชาธิปไตย ไร้ซึ่งความอยุติธรรมแบบนี้ แล้วให้ระบบสองมาตรฐานหมดไป เขาต้องการอย่างนั้น อยากเห็นการคืนอำนาจให้กับประชาชนเสีย แล้วให้โครงสร้างทุกอย่างทำงานตามปกติ อย่าได้เป็นสองมาตรฐาน หรืออย่าให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม เพราะกระบวนศาล เขาสร้างกันมาเป็นเวลาหลายชั่วคนมากนะครับ และเขาก็สร้างมาเป็นที่ยอมรับนับถือ แต่มาถึงวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันตลกมาก เรื่องของการยุบพรรคไทยรักไทย สืบพยานเช้าบ่ายยุบ ศาลมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง มากกว่าองค์กรใดๆ ในโลก ซึ่งไม่มีใครเขาทำกัน

จอม : เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา คุณจักรภพก็ออกมาพูดเหมือนกันว่า ความพยายามของคนเสื้อแดงที่จะนำท่านกลับมาเมืองไทยไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจจะเป็นฝันสลายก็ได้ โดยบอกว่า ฝันไปเถอะ ถ้าท่านทักษิณกลับมา ก็เป็นเป้าของปืนเสียเปล่าๆ ท่านรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ หรือว่า ถึงวันนี้ ขณะที่เดินทางอยู่ในต่างประเทศ ท่านรู้สึกว่ามีคนพยายามจะปองร้าย หรือเอาชีวิตของท่านหรือไม่
ทักษิณ : ในต่างประเทศไม่มีครับ แต่อยู่ในประเทศไทยโดนหลายรอบแล้วครับ คุณจักรภพก็คงห่วงใยผม ถ้าผมกลับเมืองไทย เมื่อเหตุการณ์ไม่สงบ ถ้าผมกลับไป ผมอาจจะถูกลอบฆ่าอีกก็ได้ หลายคนอาจจะกลัวผม คิดว่าผมจะไปแก้แค้น แอบยิงผมก่อน

จอม : ท่านคิดอย่างนั้นไหมครับ
ทักษิณ : ก็เป็นไปได้ ซึ่งผมเองก็ต้องคิดเวลาผมกลับไป ต้องคิดว่า กลับไปแล้วจะมีปัญหาไหม จริงๆ แล้ว คุณจอมฮะ ผมไม่ได้ซีเรียสว่าจะกลับหรือไม่กลับ ผมจะเล่าให้ฟังว่า ผมเองตอนนี้เหมือนหนู คุณจุดไฟไหม้ป่า ผมก็ตกใจ ผมก็วิ่งเข้าไปอยู่ในโพลงไม้ ตอนแรกก็อึดอัดว่า นอนอยู่ในบ้านดีๆ ตอนนี้กลับมานอนในโพลงไม้ แต่ผมนอนไปสักพักหนึ่ง ผมมีความรู้สึกว่า ฝนตกผมก็ไม่เปียกนี่หว่า แดดออกผมก็ไม่ร้อนนี่หว่า ก็เริ่มปรับตัวว่า เออ ก็เริ่มอยู่ได้เหมือนกัน อยู่ไปอยู่มา ผมก็เริ่มหาอาหารกินได้แล้ว ซึ่งอยู่ในต่างประเทศอาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์เหลือเกิน ผมก็เลยอยู่ของผมได้

แต่ปัญหาก็คือ บ้านที่ไฟไหม้อยู่ตอนนี้ เจ้าของบ้านก็ดี คนอยู่ในบ้านก็ดี ไม่ช่วยกันดับ แล้วถามว่า แล้วหนูตายไหม หนูก็ไม่ได้ตายหรอก เพราะหนูมันอยู่นอกบ้านแล้ว อยู่โพรงไม้ และอ้วนด้วยนะ แต่ที่บ้านที่กำลังมีปัญหาอยู่ จะทำอย่างไร ถ้าจะดับไฟก็ช่วยกันดับ แล้วบอกว่า จะให้หนูไปช่วยซ่อมแซมบ้าน หนูก็ไป เพราะหนูตัวนี้นั้น ถึงแม้จะปรับตัวได้ อยู่ได้ แต่มันก็รักบ้านของมัน

จอม : กำลังจะถามต่อพอดีว่า หนูตัวนี้ มีความรักบ้านของตัวเองอยู่หรือเปล่า หรือยังเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่หรือเปล่า
ทักษิณ : แน่นอนครับ รักอย่างสุดๆ ไม่ใช่รักแบบธรรมดาด้วย และรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณคนที่ห่วงใยผม เอาอย่างนี้ ลองถามคนที่เกลียดผมสุดๆ นี่ ถามว่า ตั้งแต่ผมออกมาแล้ว ประเทศดีขึ้นไหม ตั้งแต่ปฎิวัติ แล้วผมเงียบ ผมไม่ได้ยุ่งอะไร ผมเล่นฟุตบอลของผมอย่างเดียวนี่ ถามว่าบ้านเมืองดีขึ้นไหม ก็แย่ลง ดาวนด์ลงทุกวัน เพราะอะไร เพราะความพยายามที่จะขจัดให้สิ้นซาก โดยยอมให้ระบบทั้งหลายเสียหายหมด ยอมให้เกิดระบบสองมาตรฐาน เพราะต้องการขจัดให้สิ้นซาก และผลสุดท้ายมันไม่จบหรอกครับ

นี่นะคุณจอม มีสงครามที่ไหนบ้าง ที่จบด้วยสงคราม มันต้องจบด้วยการเจรจาทั้งนั้น

จอม : ก็นั่นสิครับ ทำไมท่านถึงไม่เริ่มต้นก่อน
ทักษิณ : จะให้ผมเริ่มต้นอย่างไร วันนี้ ถามจริง ๆ เถอะว่า ใครมีอำนาจจะคุยกับผมละ

จอม : ผมว่าท่านรู้นะว่าใครมีอำนาจ
ทักษิณ : เดี่ยวๆ คุณจอม ไปหาให้ผมเลย แล้วเอาเบอร์โทรศัพท์มาเลย แล้วผมจะโทรไปหา

จอม : แต่ผมเชื่อว่าท่านรู้ ใครมีอำนาจที่สุด
ทักษิณ : นี่ ขนาดผมเป็นนายกฯ ผมยังไม่มีอำนาจเลย ผมเป็นนายกฯ ผมมี 377 เสียงนะ ผมยัง solid มากกว่าคุณอภิสิทธิ์วันนี้อีก แต่ผมยังไม่มีอำนาจเลย วันนี้คุณอภิสิทธิ์รู้ดี เพราะจะตั้ง ผบ.ตร. ยังตั้งไม่ได้เลย โธ่! ประเทศไทย โครงสร้างมันเพี้ยน

จอม : มีข้อกล่าวหาที่จะเรียกว่าร้ายแรงก็ว่าได้ ที่มีคนกลุ่มหนึ่งกล่าวหาท่านว่า ท่านไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน
ทักษิณ : อันนี้เป็นข้ออ้างที่ใช้ในการโค่นล้มทางการเมือง ตั้งแต่หลายสิบปีมาแล้ว และเรื่องนี้ ประชาธิปัตย์ถนัดอยู่แล้ว ผมบอกได้เลย ผมเป็นคนที่มีความจงรักภักดีสูงมาก เนื่องจากผมเป็นนักเรียนเตรียมทหาร เป็นนักเรียนนายร้อย เวลาเราวิ่งไป เราจะพูดว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราท่อง เราปฎิญาณตนทุกวันก่อนนอน แล้วยังไม่พอ ผมสมรสพระราชทานนะครับ พ่อตาผมก็เป็นราชองครักษ์ แล้วผมเองก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณหลายเรื่อง ภรรยาผมได้รับพระราชทานเป็นคุณหญิง โดยสมเด็จฯ เป็นคนพระราชทานให้นะ

จอม : ความพยายามจะขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งที่ทางราชการบอกว่า เป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง แต่กลุ่มคนเสื้อแดงก็พยายามจะขอพระราชทานอภัยโทษให้กับท่าน แต่สุดท้ายเมื่อไม่สามารถทำได้ด้วยวิธีการหรือระเบียบการก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสายตาของคนบางกลุ่มคือ กระเทือนต่อสถาบัน
ทักษิณ : ผมจะพูดคำเดียว แล้วไม่ต้องถามผมต่อนะ ผมรู้ข้อกฎหมาย และได้ทำในส่วนที่ถูกกฎหมายไปเรียบร้อยแล้วครับ แค่นั้นจบ

จอม : ขออนุญาตที่จะถามเรื่องนี้ เพราะมีคนฝากถามมาว่า ในขบวนการคนเสื้อแดงตอนนี้ มีส่วนหนึ่งจริงหรือเปล่าที่จะล้มสถาบัน แล้วท่านจะจัดการอย่างไร
ทักษิณ : คนเป็นล้านเนี่ยนะ เราไม่สามารถสกรีนได้ทุกคนหรอก แต่ถ้าเมื่อไหร่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้น ผมขวางแน่นอน ผมขวางแน่นอน และผมจะไม่ให้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่เป็นกองเชียร์ผมตกเป็นเครื่องมือแน่นอน แต่วันนี้นี่ คนที่ไปรวมกัน บางคนคิดอย่างไร ผมไม่รู้ เพราะผมไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ผมอาจจะมีการพูดคุยกับคนบางคน แต่ไม่มีเป้าหมายในเรื่องที่จะไปทำอะไรที่เสียหายต่อ พระราชวงศ์ เพราะผมจงรักภักดี ผมไม่ยอม ถ้าเมื่อไหร่ใครจะเอาขบวนการเสื้อแดงไปทำถึงขั้นนั้น ผมขวางแน่นอน

จอม : พูดคุยกับคนบางคน แค่ระดับไหนอย่างไรครับ
ทักษิณ : ผมก็พูดคุยบ้างละครับ อย่างคุณวีระ คุณจตุพร คุณณัฐวุฒิ ผมก็คุยบ้าง แต่ไม่คุยทุกคน ส่วนใหญ่มือถือก็จะโทรหาคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้

จอม : คนเสื้อแดงกำลังต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตย ถ้าจะขีดเส้นของคำว่า ‘อำมาตยาธิปไตย’ มันแค่ไหน สูงแค่ไหน หรือลงมาแค่ไหน
ทักษิณ : อำมาตยาธิปไตย คืออำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน และ over rule ยกตัวอย่าง เช่น อยู่ๆ ตั้งใครก็ไม่รู้ ข้าราชการเกษียณ มีอยู่คนหนึ่งให้สามารถปลดนายกฯ ได้ โดยที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน แต่นายกฯ มาจากประชาชน กระบวนการประชาธิปไตยนั้น อำนาจอะไรก็แล้ว มันจะต้องเชื่อมโยงไปที่ประชาชน แต่วันนี้ มีการตั้งข้าราชการเกษียณ แล้วแค่หยิบมือ ตั้งกันขึ้นมา ตั้งขึ้นมาแล้วสามารถมีอิทธิฤทธิ์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดด้วยซ้ำ เขียนกฎหมายเองว่างั้นเถอะ ศาลบางศาล อย่างศาลรัฐธรรมนูญ บางครั้งพิจารณาคดี มีการเขียนกฎหมายขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ ไม่มีกฎหมาย ยกตัวอย่างเรื่องของคุณสมัคร เปรียบเสมือนการเขียนกฎหมายขึ้นมาไหมล่ะ กฎหมายไม่มี เปิดพจนานุกรมเอาอย่างเนี่ย คนที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่ ๆ บอกว่าให้โฆษะ

จอม : อย่างคำว่า อำมาตย์ หรือกลุ่มอำมาตย์ ที่คนเสื้อแดงกำลังคัดค้านหรือต่อสู้อยู่นั้น จะรวมแค่ไหนอย่างไร เพราะบางคนบอกว่า เกี่ยวพันถึงสถาบันด้วย
ทักษิณ : บอกแล้วไงว่า ถ้าเมื่อไหร่เกี่ยวพันกับสถาบัน ผมขวางแน่ ผมขวางแน่ และผมเชื่อว่า จะให้คนเสื้อแดงกลุ่มใหญ่ที่สนับสนุนผมไม่ให้ล่วงเลยได้ แต่วันนี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาคิดแค่โครงสร้าง ที่คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจของประชาชนเข้ามาลบล้างอำนาจประชาชน ใม่ใช่ให้คนหลายสิบล้านคนลงไปเลือกตั้ง เลือกตั้งขึ้นมาแล้ว ให้คนไม่กี่คน ไม่กี่หยิบมือทำตามคำสั่ง คนนั้นสะกิด คนนี้สะกิด ล้มล้างอำนาจของประชาชน ตรงนี้มันไม่เป็นประชาธิปไตยครับ ไม่รู้นะ ผมไม่ได้คุยกัน แต่ทุกฝ่ายต้อง limit หรือขีดเส้นอยู่แค่นี้ ล้มล้างระบบอำมาตย์ ก็คือล้มล้างระบบแต่งตั้ง ลากตั้งที่มีเหนืออำนาจของประชาชน เท่านั้นเอง ถ้าเกินกว่านี้ ผมไม่เอาด้วย

จอม : ตอนนี้ท่านอยู่ในต่างประเทศ แน่นอนค่าใช้จ่ายสูง คนสงสัยว่าท่านเอาเงินจากที่ไหนมาใช้จ่าย เงินส่วนหนึ่งก็ถูกรัฐบาลไทยยึดไปหมดแล้ว หรือว่ามีเงินบางส่วนท่านแอบไปซ่อนไว้ในต่างประเทศ ไปทำเรื่องฟอกเงินอยู่ในต่างประเทศ จึงเอาเงินเหล่านั้นมาใช้อย่างสบาย เอารายได้มาจากไหน กับการใช้จ่ายในแต่ละวัน แต่ละเดือน
ทักษิณ : ผมมีทีมฟุตบอลของผม จำได้มั้ยครับ (จอม : ครับจำได้)

จอม : แต่เงินที่ได้มาก็โดนรัฐบาลอังกฤษยึดไปไม่ใช่หรือ
ทักษิณ : ใครบอกครับ ผมไม่มีเงินฝากที่อังกฤษแม้แต่บาทเดียวครับ นี่ไงฮะ แม้แต่คุณจอมก็ยังเชื่อเขาเลย เพราะมันโกหกทุกวัน

จอม : ผมอยู่ในสื่อเมืองไทยครับท่าน ผมอยู่ประเทศไทยครับ ( หัวเราะ )
ทักษิณ : คุณจำรองนายกฯ หน้าดำๆ ได้ไหม บอกว่า ผมขนเงินกลับมาเมืองไทย 1 หมื่นล้านบาท เพื่อมาเลือกตั้ง พรรคพลังประชาชนก่อนหน้านั้น สถานีโกหกรายวัน บอกว่า ผมขนเงินออกไปตอนไปประชุมนิวยอร์ค ก่อนปฎิวัติ ขนเงินไป 30 กระเป๋า อะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรือ่งการปล่อยข่าว และคนที่ใจไม่ชอบกันอยู่แล้วนี่ มันก็เชื่อเลย คนเหล่านี้ก็หลงเชื่อ

จอม : แล้วเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายตอนนี้ครับ
ทักษิณ : เอ้า ก็ผมขออนุญาตแบงค์ชาติ เอาเงินไปซื้อทีมฟุตบอลจำได้ไหม แล้วผมก็ขายทีมฟุตบอล แล้วผมก็มีกำไรของผมไง

จอม : เงินที่ไปซื้อเหมืองเพชร เหมืองทอง อันนี้ก็มาจากการขายทีมฟุตบอลด้วยใช่ไหมครับ
ทักษิณ : ใช่ครับ นี่เหมืองพวกนี้ไม่กี่ตังค์นะ คุณอย่าคิดว่าเหมืองมันแพงนะ ไม่กี่ตังค์ ไม่แพงหรอก ซึ่งก็แล้วแต่ว่า ซื้อแล้วมันแจ็คพอตไหม สมมุติไปซื้อเหมืองทอง มันอาจจะไม่ได้ทองก็ได้ แต่เราได้ศึกษาล่วงหน้าอย่างดี เช่น เหมืองทอง ถ้าขุดดินขึ้นมาแล้วมีทองอยู่ 2 กรัม ก็ถือว่าคุ้มทุนนะ เกินกว่า 2 กรัมก็ถือว่ากำไรนะ ก่อนที่ผมจะเลือกบล็อก ผมเห็นเหมืองข้างๆ ผม เขาขุดอยู่แล้ว เขาได้ทองวันหนึ่งถึง 25 กรัม และเราดูสายแร่ ดูแล้วสายแร่มาจากที่เรา ดังนั้นของเรา ขี้หมูขี้หมามันต้องมีทองแน่ เราไปเลือกเอาอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่า มีการศึกษา มีไหวมีพริบ แล้วตอนนี้ต่างประเทศ คนมาเจ๊งกันเยอะ เนื่องจากแบงค์เขาไม่ปล่อยกู้ คนก็หยุดการลงทุนกันหมด ก็ไปหาช่องทางอื่นกัน

จอม : การเดินทางในต่างประเทศของท่าน เจ้าของประเทศไม่รู้สึกระอักกระอ่วนใจหรือครับ เพราะรัฐบาลไทยกำลังตามตัวท่านอยู่
ทักษิณ : เขากระอักกระอ่วนกับรัฐบาลไทย เขาไม่กระอักกระอ่วนกับผม เขาว่าไปยุ่งกับเขาทำไม เขาบอกว่า เขามีอธิปไตยเหนือดินแดนของเขา ทำไมเราไปยุ่งกับเขา เขารับใคร ไม่รับใคร เป็นเรื่องของเขา แล้วเราเที่ยวทำจดหมายไปหาเขา เขาบอกว่า เขารำคาญ

เวลาผมจะเดินทางไปไหน ผมจะติดต่อประเทศนั้นก่อนว่า ผมจะไปนะ จะเป็นอะไรไหม นอกจากบางประเทศบอกว่า ไม่ mind มาคุยกันหน่อยสิ เขาก็ให้ผมไปพบ

จอม : มีบางประเทศไหมครับ ที่อาจจะบอกว่า ขอโทษ ที่ไม่อาจจะรับท่านได้
ทักษิณ : มีฮะ บางประเทศเขาบอกว่า เขารำคาญรัฐบาลไทย เขาบอกว่า อย่าเพิ่งมาเลยตอนนี้ อย่าเพิ่งมาเลย เขาขี้เกียจทะเลาะกับรัฐบาลไทย เอาไว้เงียบ ๆ อีกหน่อยแล้วค่อยมา ก็มีฮะ

จอม : แต่อาจจะมีบางประเทศที่บอกว่า ท่านไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของศาลประเทศไทย
ทักษิณ : ไม่มีประเทศใดคิดเช่นนั้น เพราะเขารู้ เขาอ่านคำพิพากษา เขาก็ตลกกันหมดแล้ว การซื้อขายไม่ผิด คนซื้อไม่ผิด คนขายไม่ผิด แต่สามีคนซื้ออนุญาตให้ใช้บัตรประชาชนไปรับโอนนิติกรรม ผิด จำคุก 2 ปี แต่บุกรุกป่าสงวน ไม่เป็นไร อะไรอย่างนี้ เขารู้ครับว่า การเมืองเมืองไทยนั้นกำลังเป็นการเมืองขจัดฝ่ายอยู่

จอม : นอกจากมีเหมืองเพชร เหมืองทองแล้ว ท่านยังมีอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ อีกหรือไม่ เห็นว่ามีเครื่องบินส่วนตัว มีบอดี้การ์ดชั้นเยี่ยมในการดูแลความปลอดภัยของท่าน
ทักษิณ : ไม่มี อันนี้ก็ตลกอีกแหละ ผมไม่มีบอดี้การ์ดชั้นเยี่ยมจากที่ไหนหรอก ผมไม่กลัวอยู่แล้ว ผมเป็นคนที่คิดว่า เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว และผมคิดว่า พระเจ้ายังไม่เอาผมไปหรอก ผมโดนกี่รอบแล้วตอนเป็นนายกฯ ยังไม่เป็นไรเลย

จอม : ท่านเคยบอกว่า ท่านจะตายไม่ได้ จนกว่าจะค้นพบความยุติธรรมบนโลกใบนี้
ทักษิณ : ใช่ครับ

จอม : ถ้ามองเมืองไทยตอนนี้ ก่อนที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาอะไรก็ตาม สังคมไทยอยากเห็นการร่วมมือกัน การประนีประนอม การพูดจากัน การสร้างความสมานฉันท์ ผมขอกลับมาถามคำถามเดิมอีก
ทักษิณ : คุณจอม ประกาศไปแรง ๆ เลยนะ ว่าผมพร้อมเจรจากับทุกคน ก็คนอย่างคุณจอม ยังติดต่อผมได้เลย แล้วทำไมคนที่มีอำนาจในประเทศไทยจะติดต่อผมไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร
วันนี้ ผมจะบอกให้นะคุณจอม แม้กระทั่งคนขับแท็กซี่ ยังมีเบอร์โทรศัพท์ผมเลย เบอร์โทรศัพท์ผม ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ยังโทรมาหาผม เพราะฉะนั้น มีคนที่ไม่มีโทรศัพท์ผม ก็คงเป็นคนในทำเนียบรัฐบาลนั่นแหละ นอกนั้นมีหมดเลย ดังนั้นผมไม่ใช่คนที่ติดต่อยากอะไรที่ไหนเลย คุณจอมประกาศไปดังๆ เลยนะ ขนาดผมโทรคุยกับแท็กซี่ยังคุยเลย ตำรวจชั้นผู้น้อยก็ยังคุย แม่ค้าขายข้าวหมาก ผมก็ยังคุยเลย เพราะฉะนั้น ทำไมผมจะไม่คุยกับคนที่เป็นระดับนายกรัฐมนตรีก็ดี หรือรองนายกรัฐมนตรีก็ดี ถึงแม้จะหน้าดำหน่อย ผมก็คุยได้

จอม : เอาเป็นว่า ผมสมมติเอาว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ โทรมาหาท่าน บอกว่า ท่านครับขอหยุด เรามาร่วมกันสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศเราได้หรือเปล่า สิ่งที่ท่านจะตอบกับท่านอภิสิทธิ์ และเงื่อนไขที่ท่านจะบอกกับท่านอภิสิทธิ์คืออะไร
ทักษิณ : ก็ยังไงละ บอกผมมาสิ

จอม : ก็เนี่ยไงฮะ
ทักษิณ : หมายถึง เราจะร่วมมือกันอย่างไร

จอม : ครับ เราจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อให้บ้านเมืองสมานฉันท์ เสื้อแดง เสื้อเหลืองทำให้เป็นสีเดียวกัน
ทักษิณ : ผมยินดีเลย จะให้ผมทำอะไรบ้าง บอกมาสิ และรัฐบาลจะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดความปรองดอง ไม่ใช่ให้เกิดความปรองดองข้างเดียว ไม่ใช่ปล้นทรัพย์มา แล้วพอเจ้าทรัพย์มาทวงก็บอกว่า เฮ้ย! เจ้าทรัพย์ไปไกลๆ อย่างเพิ่ง เดี่ยวผมกินก่วยเตี๋ยวก่อน ถ้าบอกว่า เอาละ เราจะคุยกันอย่างไรที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสม เราจะกำหนดความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างไร

จอม : ถ้าท่านอภิสิทธิ์บอกว่า ท่านกลับมา แล้วมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย จากนั้นเรามาหาทางสมานฉันท์
ทักษิณ : แล้ววันนี้ กระบวนการยุติธรรมมันยุติธรรมหรือเปล่าละ ผมคิดว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่ยุติธรรม เป็นคนดี แต่บางคนก็รับคำสั่ง โดยเฉพาะศาลตอนนี้อึดอัดกันมาก

จอม : ในทางกลับกัน ถ้าท่านอภิสิทธิ์บอกว่า ท่านคิดว่ากระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรมตรงไหน แล้วเรามาแก้ร่วมกันอย่างนี้โอเคไหมครับ
ทักษิณ : ( หัวเราะ) คุณอภิสิทธิ์ ไม่อยู่ในฐานะที่แก้ได้

จอม : แต่ท่าน เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
ทักษิณ : วันนี้ ถ้าจะแก้กัน ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายเดียวครับ เพราะศาลเขามีความเป็นอิสระของเขา แต่วันนี้คนที่มีอำนาจเหนือกว่าศาล เข้าไปแทรกแซง ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา ถ้าอำนาจอธิปไตยมีระบบที่เรียกว่า check and balance มีความสมดุล มีการถ่วงดุลกันเอง ผมคิดว่าบ้านเมืองมันไปได้ครับ ความจริงระบบเดิมมันดีอยู่แล้ว มันมาป่วนตรงที่จะล้มผมนี่แหละ จะล้มผมแล้วไปใช้เครื่องมือทางศาล ใช้เครื่องมือทางด้านทหาร เขาอยากจะล้มผม เพราะล้มผมโดยตรงไม่ได้ เพราะเลือกตั้งทีไรก็ชนะ แต่ก็อยากจะล้ม โดยยอมให้ระบบเสียหายเพื่อที่จะล้มผม

ความจริงวันนั้นถ้าพูดกับผมดีๆ บอกผมว่า เออ ไม่ไหวโว้ย ชนะบ่อยแล้ว ขอให้เลิกเถอะ ผมก็เลิก เฮ้ย! ชนะบ่อยแล้ว ปล่อยให้คนอื่นชิงบ้าง ให้เลิกไปแขวนนวมเสีย ผมก็แขวน ผมไม่ได้บ้าอยากอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า ผมอยากทำภารกิจตอนนั้นให้เสร็จ ผมกะว่าครบสองเทอม ผมจะแก้ปัญหาความยากจนไปให้ได้ เมื่อแก้ได้ ผมก็โอเค ผมมี legendary ในชีวิตของผม ผมก็พอแล้ว ผมอยากทำงานให้บ้านเมืองแค่นั้นแหละ จบ นี่วันนี้นะ ผมไม่เป็นนายกฯ ถึงแม้ผมอยู่เมืองนอก แต่ผมเชื่อว่าความเครียดของผมน้อยกว่าคุณอภิสิทธิ์นะ หน้าผมใสเลยนะตอนนี้ ขนาดปล่อยข่าวว่าผมเป็นมะเร็ง ทำคีโมทุกวัน แต่ ทำไมผมดกดำอย่างนี้

จอม : ขอบพระคุณท่านมากที่พูดคุยนะครับ ขอให้ปลอดภัยครับ




Reblog this post [with Zemanta]

ป.ป.ช. ฟันคดี7ตุลา

โพสต์ ทูเดย์ - Breaking News - ป.ป.ช.ฟันคดี7ตุลา
ป.ป.ช.ลงดาบสมชาย-จิ๋ว-พัชรวาท-สุชาติบิ๊กตร.เจอ2เด้งผิดวินัย

วันนี้(7กันยายน) นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยหลังการประชุม ป.ป.ช.พิจารณาสำนวนการไต่สวนคดีการสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมากว่า ที่ประชุมมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นฐานเป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม

นอกจากนั้น ยังมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา และวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียวกับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ แต่กลับไม่มีการสั่งให้หยุดการสลายการชุมนุม ทั้งที่มีผู้บาดเจ็บและชีวิตในช่วงเช้า

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาอีก 5 คน ระดับรองผบ.ตร. และรองผบช.น. คณะกรรมการฯ เห็นว่าไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะแถลงในเวลา 15.00 น. วันนี้โดยนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ และโฆษก ป.ป.ช.

ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้มีการพิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมการไต่สวนเหตุสลายการชุมนุม และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยที่ประชุมมีมติ 8 ต่อ 1 ชี้มูลความผิดคดีอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฐานสั่งการให้ตำรวจสลายการชุมนุม

ส่วนพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น ถือว่ามีความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรง

ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาอีก 5 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ และ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไม่ถูกชี้มูลความผิด เนื่องจากทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกชี้มูลความผิดทางคดีอาญา ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้อัยการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอยู่ในเวลาดำเนินการ 7-15 วัน ส่วนความผิดทางวินัยร้ายแรง จะส่งเรื่องถึงผู้บังคับบัญชาให้พิจารณาภายใน 3 วัน


ฟัน 4บิ๊ก ฆ่า7ตุลา อัปยศ!'ชาย-จิ๋ว-ป๊อด'โทษลูกน้อง

ฟัน 4บิ๊ก ฆ่า7ตุลา อัปยศ!'ชาย-จิ๋ว-ป๊อด'โทษลูกน้อง | ไทยโพสต์
ป.ป.ช.เชือดคนสั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาแล้ว "สมชาย-บิ๊กจิ๋ว" ผิดอาญา ส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองลงทัณฑ์ ส่วน "พัชรวาท-สุชาติ" ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อ่วมทั้งอาญาและวินัยร้ายแรง โทษต้องออกสถานเดียว ประเทศไทยสุดชีช้ำ โคตรอัปยศ! หาชายชาตรีไม่ได้ พบคำให้การโยนเป็นทอดๆ "ชายกระโปรง" ป้ายขี้ให้ตำรวจ อ้างยังไม่แถลงนโยบายสั่งตำรวจไม่ได้ "ป๊อด" เหลวไหลโทษลูกน้อง "สุชาติ" รับสภาพ "ดีแล้วที่ความผิดสุดท้ายจบลงที่ผม ไม่มีความผิดไปถึงน้องๆ" ฝ่ายค้านจุดไฟต่อ ปูดเป็นแผนตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่

เมื่อวันจันทร์ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประชุมนัดพิเศษ พิจารณาข้อกล่าวหานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพวก รวม 9 คน กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่กรณีสั่งให้มีการสลายการชุมนุมผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ใช้เวลานานถึง 6.30 ชั่งโมง

จากนั้น นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษก ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมว่า ป.ป.ช.ได้พิจารณาข้อเท็จจริง ตลอดจนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อกล่าวหาแล้วเห็นว่า

1.นายสมชาย ได้เรียกประชุม ครม.เป็นนัดพิเศษเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2551 เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของผู้ชุมนุม โดยเรียก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เข้าประชุม และสั่งการให้ไปดำเนินการให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมเพื่อรับฟังการแถลงนโยบายต่อรัฐบาลให้ได้ นอกจากนี้ ครม.ได้มีมติมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ติดตามตรวจสอบสถานการณ์และกำกับดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในวันประชุมร่วมรัฐสภา โดยให้ประสานสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งหลังการประชุม พล.อ.ชวลิตได้เดินทางไปมอบนโยบายให้ สตช.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยให้นโยบายสรุปว่า "พรุ่งนี้ต้องใช้รัฐสภาเป็นที่ประชุม โดยพยายามเอาตำรวจเข้าไปเพื่อรักษาสถานที่ก่อน จะทำอย่างไร จะเอากำลังเข้าไปเท่าไรก็ได้ สิ่งที่สำคัญจะต้องเปิดเส้นทางให้ ส.ส.และ ส.ว.เข้าไปให้ได้ในเวลา 09.30 น." เมื่อ พล.อ.ชวลิตเดินทางกลับ สตช.จึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายกฯ และรองนายกฯ

นายกล้านรงค์แถลงว่า นายสมชายได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า 1.มิได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาทมาพบ 2.ไม่มีคำสั่งให้เปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุม 3.การดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่กระทำผิดกฎหมาย และหน้าที่และดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4.แม้ ครม.จะมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิตเป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ แต่อยู่ในฐานะกำกับนโยบาย อำนาจยังเป็นของเจ้าหน้าที่ตามแผนกรกฎ 48 5.ครม.ยังมิได้แถลงนโยบายต่อสภา จึงไม่มีอำนาจในการบริหารและสั่งการตำรวจ

โฆษก ป.ป.ช.กล่าวว่า ป.ป.ช.ได้พิจารณาการแก้ข้อกล่าวหาของนายสมชายแล้ว มิอาจหักล้างข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนได้ เนื่องจากพบว่ามีคำให้การของพยานบุคคลที่เป็น ส.ส.คนหนึ่งยืนยันว่า นายสมชายเป็นคนสั่งให้โทรศัพท์ไปเรียก พล.ต.อ.พัชรวาทไปพบที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว นอกจากนี้ พล.ต.อ.พัชรวาทยังยืนยันว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.อ.ชวลิตให้เปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุม และเข้าพบนายสมชายเพื่อขอคำยืนยัน

"ปรากฏจากรายงานการประชุม ครม. ระบุว่ามีมติมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิตประสานกับ สตช.เพื่อสั่งการให้ตำรวจเปิดเส้นทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมให้ได้ จึงต้องถือว่าเป็นมติของ ครม.ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมชายนายกฯ ขณะนั้น"

มติ 8 ต่อ 1 ฟัน "สมชาย"

นายกล้านรงค์กล่าวว่า การที่นายสมชายอ้างว่ายังไม่มีอำนาจนายกฯ เนื่องจากยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เห็นว่าอำนาจนายกฯ ได้นับแต่วันที่โปรดเกล้าฯ พร้อมถวายสัตย์ฯ แล้ว จึงถือว่านายกฯ มีอำนาจของนายกฯ สมบูรณ์ มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน เหนือข้าราชการทุกกระทรวง ทบวงและกรม และมีอำนาจยับยั้งการปฏิบัติการใดๆ ได้

"ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เหตุการณ์ในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 มีประชาชนได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมจนขาขาด ดังนั้นนายกฯ จึงควรยับยั้งไม่ให้ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เช่นนั้นอีก แต่นายสมชายก็หาได้สั่งการไม่ กลับปล่อยให้เจ้าหน้าที่กระทำซ้ำอีกในช่วงบ่ายและค่ำ ฉะนั้นการกระทำของนายสมชายที่ควรบริหารให้บ้านเมืองมีความปลอดภัย เคารพสิทธิการแสดงออกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ"

เขาระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ว่าการกระทำหรือละเว้นการกระทำของนายสมชาย มีมูลความผิดทางอาญาฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

2.พล.อ.ชวลิต คืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 เมื่อ พล.อ.ชวลิตเดินทางกลับยังได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.บุญฤทธิ์ รัตนพร นายตำรวจนอกราชการ พล.ต.ต.สุรพงศ์ สิริภักดี ผู้บังคับการตำรวจรถไฟ อยู่ติดตามและตรวจสอบสถานการณ์ การดำเนินการตามคำสั่งของ พล.อ.ชวลิตได้ใช้กำลังเพื่อเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมได้ โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. และการเปิดทางดังกล่าว ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ แม้ต่อมา พล.อ.ชวลิตจะประกาศความรับผิดชอบด้วยการลาออกเวลา 09.00 น.

พล.อ.ชวลิตได้ชี้แจงข้อกล่าวหาโดยสรุปว่า 1.รัฐบาลนายสมชายยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภา จึงไม่มีอำนาจในการสั่งการ การดำเนินการใดๆ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานตามกฎหมาย 2.ก่อนประชุม ครม. พล.อ.ชวลิตมิได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาทไปสั่งการเปิดทางเข้ารัฐสภาโดยวิธีการสลายการชุมนุม และมิได้สั่งการเช่นเดียวกับที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 3.เมื่อเกิดเหตุการณ์ในช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม พล.อ.ชวลิตได้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นการแสดงการรับผิดชอบทางการเมือง มิใช่การยอมรับผิดตามที่กล่าวหา 4.ครม.มอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต อำนวยการและควบคุม แต่ไม่มีอำนาจในการสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผลักดันผู้ชุมนุม

คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า พล.อ.ชวลิตสั่งให้เปิดทางเข้าประชุมในเวลา 09.30 น. ของวันที่ 7 ต.ค.ให้ได้ สอดคล้องกับเทปบันทึกเสียงที่ พล.อ.ชวลิตสั่งการว่า "จะต้องเปิดเส้นทางให้ ส.ว.และ ส.ส.เราเข้าไปให้ได้" โดยการสั่งการดังกล่าวย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางเข้าสู่ประตูปราสาทเทวฤทธิ์

"คำปฏิเสธว่าลาออกแล้ว พิจารณาจากผลการกระทำของตำรวจจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง การแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หาได้พ้นความรับผิดในฐานะเป็นผู้สั่งการไม่ ซึ่งการกระทำดังกล่าว พล.อ.ชวลิตได้ติดตามโดยตลอด โดยให้ พล.ต.อ.บุญฤทธิ์ และ พล.ต.ต.สุรพงศ์ เป็นผู้ติดตามสถานการณ์โดยตลอด การที่ พล.อ.ชวลิตอ้างว่า ไม่ได้รับรายงานและทราบข่าวจากสื่อมวลชนตอนเช้านั้นจึงฟังไม่ขึ้น การตัดสินใจลาออกจึงเป็นการหลีกหนีความรับผิดชอบ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติด้วยเสียง 6 ต่อ 3 ว่ามีมูลความผิดทางอาญา ฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157"

"ป๊อด"โยนให้"สุชาติ"

3.พล.ต.อ.พัชรวาท เมื่อ พล.ต.อ.พัชรวาทเดินทางไปถึงทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว ก็ได้พบกับ พล.อ.ชวลิต และได้รับการแจ้งว่า การประชุมวันที่ 7 ตุลาคม จะต้องมีการประชุมรัฐสภาให้ได้ พล.ต.อ.พัชรวาทแสดงความเห็นว่าน่าจะเปลี่ยนสถานที่หรือเลื่อนการประชุม แต่ไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด หลังจากนี้ พล.อ.ชวลิตได้เดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และสั่งการให้เปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าฟังการแถลงนโยบายในเวลา 19.30 น.

พล.ต.อ.พัชรวาทได้ปฏิเสธและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาสรุปได้ว่า การสั่งการของนายสมชายและ พล.อ.ชวลิต ถือเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ต้องปฏิบัติตาม ส่วนการใช้แก๊สน้ำตาถือเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีความรุนแรง การเสียชีวิตของนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ไม่ได้เกิดจากแก๊สน้ำตา นอกจากนี้ พล.ต.ท.สุชาติ ผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นผู้สั่งการตามแผนกรกฎ 48 โดยไม่ต้องเสนอผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้หน่วยที่สลายการชุมนุมไม่ใช่หน่วยอรินทราช 26 หรือหน่วยนเรศวร 261 ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติจาก ผบ.ตร. และเหตุการณ์ 7 ตุลาคมไม่เคยได้รับรายงานหรือขอให้สลายการชุมนุมตามแผนกรกฎ 48 แต่อย่างใด

คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาจากการโยนและยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมจนทำให้มีเสียหายในตอนเช้า และกระทำซ้ำในตอนบ่าย พล.ต.อ.พัชรวาทมีอำนาจบังคับบัญชาใน สตช.และแต่งตั้งให้ พล.ต.ท.สุชาติเป็นผู้บังคับบัญชาเหตุการณ์ แม้แผนกรกฎ 48 พล.ต.อ.พัชรวาทจะมิได้ลงนาม แต่ก็จัดทำในนาม ผบ.ตร. ฉะนั้นเมื่อทราบว่าในการผลักดันผู้ชุมนุมมีเหตุรุนแรง ผบ.ตร.ย่อมมีอำนาจสั่งการให้หยุดยั้งการกระทำที่เป็นอันตรายต่อประชาชนได้ การกล่าวอ้างว่าไม่เคยได้รับรายงานหรือขออนุมัติในการใช้กำลังสลายการชุมนุม ไม่มีเหตุผลให้พ้นความผิดได้

คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงเห็นด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ว่า พล.ต.อ.พัชรวาทได้กระทำการใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 79 (5) (6) และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

4.พล.ต.ท.สุชาติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบช.น. ในฐานะผู้บังคับบัญชาเหตุการณ์ ตามแผนกรกฎ 48 ได้ปฏิบัติหน้าที่เกิดกว่าเหตุจนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อทราบเหตุการณ์ในช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค.แล้วมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก แต่เวลา 16.00 และ 19.00 น. พล.ต.ท.สุชาติก็ยังคงสั่งให้ใช้แก๊สน้ำตาผลักดันผู้ชุมนุมอีก จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต ขาขาด มือขาด โดยไม่ดำเนินการทบทวนวิธีการหรือหยุดยั้งการกระทำดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 เห็นว่า การกระทำของ พล.ต.ท.สุชาติ มีมูลความผิดฐานทำร้ายประชาชนและประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 79 (3) (5) (6) และมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

สำหรับ พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น., พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น., พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น. รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกปฏิบัติการสลายการชุมนุมทั้งหมด เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามการสั่งการของ ผบช.น. ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ และ ผบ.ตร. ส่วน พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. ไม่พบพยานหลักฐานว่ามีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

นายกล้านรงค์กล่าวว่า หลัง ป.ป.ช.มีมติชี้มูล สำหรับความผิดทางอาญาก็จะส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองต่อไป ส่วนความผิดทางวินัย ก็จะส่งให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาบทลงโทษภายใน 30 วัน โดยคาดว่าจะสามารถส่งเอกสารทั้งหมดได้ในเวลา 2 สัปดาห์

โทษ"พัชรวาท"ออกสถานเดียว

สำหรับโทษของ พล.ต.อ.พัชรวาท ในความผิดทางวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง มีโทษเพียงปลดออกหรือไล่ออกเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลต่อบำเหน็จบำนาญด้วย ส่วนการพิจารณาให้พักราชการ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาตรา 55 เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาต่อไป

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวทันทีโดยบอกว่า มั่นใจเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยในวันที่มีการชุมนุม ระหว่างที่ตนจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งในคืนวันที่ 6 ตุลาคม ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปปิดล้อมอาคารรัฐสภาเป็นจำนวนมากอย่างผิดปกติ ตนจึงได้เชิญ ครม.มาหารือ โดยมีการบันทึกการประชุม ครม.ในคืนนั้นด้วย ซึ่งตนได้แจ้งกับที่ประชุม ครม.และรัฐมนตรีหลายคนได้ให้ความเห็นว่า น่าจะมีการย้ายการประชุม ครม.หรือเลื่อนการแถลงนโยบาย

อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ตนก็ได้ให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์หารือกับนายชัย ซึ่งนายชัยก็ระบุว่าให้ดำเนินการไปตามที่สั่งไว้ ตนจึงสั่งให้รัฐมนตรีไปดูข้อเท็จจริงที่สภาว่าเข้าประชุมได้หรือไม่ หากเข้าไม่ได้ ก็ให้รอคำสั่งจากประธานสภาฯ เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นก็ทราบข่าวว่ามีการใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุม จึงได้ให้ ผบ.ตร.มาให้ข้อมูลกับ ครม.อีกครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องรักษาสถานการณ์บ้านเมืองตามหน้าที่

"เราในฐานะที่เป็น ครม.ไม่สามารถสั่งการอะไรได้ เพราะยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา" นายสมชายโยนความผิดไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

เขายังบอกว่า เช้าวันนั้นได้รับแจ้งให้เข้าสู่สภาจนตนแถลงนโยบายเสร็จประมาณ 11 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจให้รีบออกจากสภา เพราะจะมีผู้ชุมนุมบุกเข้ามาทำร้าย โดยจะเปิดทางข้างหน้า แต่จะทำหรือไม่ทำ จะใช้แก๊สหรือไม่ ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่ว่าตำรวจทำแล้วจะมีความผิด เพราะเป็นการทำไปตามอำนาจหน้าที่

"ผมยอมเสียศักดิ์ศรีความเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กับผู้ชุมนุม โดยปีนออกไปข้างหลังยังพระที่นั่งวิมานเมฆ แต่ยังออกไปไม่ได้เพราะมีการปิดทุกประตู จนสุดท้ายก็ต้องมีการประสานงานเจ้าหน้าที่พระที่นั่งวิมานเมฆให้เฮลิคอปเตอร์มารับผมออกไป หลังจากออกมา ไปประชุมที่กองทัพไทย ก็ได้รับแจ้งว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะบุกเข้าไปทำร้าย ส.ส.และ ส.ว. แต่ผมไม่อยู่ในอำนาจ ที่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจมีแผนกรกฎที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว" อดีตนายกฯ พยายามปัดความผิดให้พ้นตัว

นายสมชายกล่าวว่า ได้ไปแก้ข้อกล่าวหาโดย ป.ป.ช.ที่ไม่ได้มีการเรียกให้ตนไปให้การใดๆ เลย ซึ่งตนเป็นผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องมีสิทธิในการแก้ข้อกล่าวหาและดูเอกสารหลักฐานการกล่าวหา ตนได้ไปร้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร โดยได้มีหนังสือกลับมาถึงตน 2 ฉบับในการเร่งตัดสินว่า ตนสามารถดูเอกสารจากทาง ป.ป.ช.ให้เร็วที่สุด

"และในปลายเดือนสิงหาคม คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารนัดให้ ป.ป.ช.ไปให้ข้อมูลวันที่ 8 กันยายน แต่ ป.ป.ช.กลับนัดลงมติกรณีผมในวันที่ 7 กันยายน จนกระทั่งวันที่ 4 กันยายน ผมก็ได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้พิจารณาว่าผมมีสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ที่จะมีสิทธิตรวจสอบเอกสาร พยาน และหลักฐานตามที่ ป.ป.ช.ใช้ในการกล่าวหา เพราะเท่าที่ปรากฏข้อเท็จจริงกับผมนั้น ไม่มีสิ่งที่ ป.ป.ช.กล่าวหาอยู่ แต่สุดท้าย ป.ป.ช.ก็รีบเร่งมีมติและชี้มูลออกมาในวันที่ 7 กันยายนโดยไม่รอฟังคำสั่งศาล ทำให้ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้ โดยแสดงให้เห็นว่า ป.ป.ช.ไม่ยอมรับระบบของความยุติธรรมตามกฎหมาย และไม่สนใจการดำเนินการของศาลปกครอง"

"ชายกระโปรง"สู้ต่อ

นายสมชายได้ยืนยันว่า หลังจากนี้จะแต่งตั้งทนายความเพื่อต่อสู้คดี แต่จะไม่ฟ้องกลับไปที่ใครทั้งนั้น แต่จะสู้คดีไปตามที่ตนมีสิทธิ์ต่อสู้คดีต่อไป

เขายังได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า "ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการกล่าวหาข้าพเจ้าในครั้งนี้ ถือเป็นคดีทางการเมือง"

ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ยืนกรานที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยบอกว่า "ทำไมจะปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ไม่มีข้อห้าม จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งตามกฎหมายออกมา ไม่มีข้อห้ามตรงไหนในการปฏิบัติ"

ด้าน พล.ต.ท.สุชาติบอกว่า เคารพกติกา เพราะเป็นนักกีฬา ผลออกมาอย่างไรก็เคารพ เพราะได้ทำหน้าดีที่สุดแล้ว จะตัดสินอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น

"ดีแล้วที่ความผิดสุดท้ายจบลงที่ผม ไม่มีความผิดไปถึงน้องๆ ผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะต้องได้รับคำสั่งมาจากผม ซึ่งถูกต้องตามสายบังคับบัญชาและทำตามกฎหมาย แต่ผมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเหนือกว่าผม แต่ก็ดีที่ผมยังมีที่ยืน"

ด้าน พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ กล่าวว่า คิดว่าต้องดูถ้อยคำแถลงและคำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่ามีเหตุผลอย่างไร มีการพิจารณาพยานหลักฐานครอบคลุมทุกด้านหรือไม่ และได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกชี้มูลพอเพียงหรือไม่ มีการสอบปากคำเจ้าหน้าที่รัฐสภา ส.ส.ที่มีชีวิตอยู่ใกล้อันตรายเพียงใด รวมทั้งมีการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยหรือไม่ สมาคมตำรวจซึ่งมีนักกฎหมาย และที่ปรึกษาที่มีความรู้ด้านกฎหมายจะมีการช่วยเหลือแนะนำในเรื่องพยานหลักฐานใหม่ เพื่อใช้ในการต่อสู้ในเรื่องนี้

"ขอเตือนสังคมต้องช่วยกันดูแลตำรวจให้ดีพอสมควร เพราะตำรวจเป็นเครื่องมือรักษาความสงบเรียบร้อย จัดระเบียบสังคม อย่าให้รู้สึกว่าตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสังคม มีการบีบคั้นจนตำรวจไม่มีทางออก อย่าทำกันถึงขั้นนั้นเลย"

เขายังบอกว่าข้อสังเกตการชี้มูลของ ป.ป.ช. จงใจให้ออกมาเพื่อให้นัดประชุม ก.ต.ช.แต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ โดยมีการแต่งตั้งรักษาการ ผบ.ตร.เข้ามาเป็นกรรมการ ก.ต.ช.แทน พล.ต.อ.พัชรวาท หาเสียงสนับสนุนการตั้ง ผบ.ตร.ของนายอภิสิทธิ์เป็นที่น่าสังเกตว่ามีความเป็นไปได้เหมือนกัน

พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์และการเมืองของพรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตว่า พล.ต.อ.พัชรวาทจะหมดโอกาสเข้าร่วมประชุม ก.ต.ช. เพื่อเลือก ผบ.ตร.ทันที ทำให้คะแนนที่สนับสนุนนายตำรวจคนที่นายอภิสิทธิ์เสนอเท่ากับคะแนนฝ่ายตรงข้าม ล่าสุดทราบว่าจะมีขบวนการบีบให้นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะ ก.ต.ช. ลงคะแนนเลือกคนที่นายกฯ เสนอ หากไม่ยอมทำตามจะถูกเล่นงานในกรณีที่ดินอัลไพน์ ที่อาจจะถูกเด้งไปช่วยราชการ และไม่มีสิทธิ์เข้าประชุม ก.ต.ช.

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทำหน้าที่ ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.พัชรวาทว่า ถ้า ป.ป.ช.ชี้แล้วก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งตนจะไปดูคำวินิจฉัยก่อน

ถามว่า จะมีการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ก็จะมีการพิจารณาแต่งตั้งรักษาการแทน ส่วนจะเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา สบ.10 หรือไม่ ขอไปดูคำวินิจฉัยก่อน.


เปลว สีเงิน | แล้ว"พัชรวาท"ก็ไม่พ้นอาถรรพณ์ผบ.ตร.!

แล้ว"พัชรวาท"ก็ไม่พ้นอาถรรพณ์ผบ.ตร.! | ไทยโพสต์
แค่วันที่ ๗ เดือน ๙ เท่านั้น ยังไม่ถีงวันที่ ๙ เดือน ๙ เลย "ปรากฏกรรม" ก็ผ่าเปรี้ยงลงที่ "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ทีเดียว ๒ ครั้งซ้อน นายตำรวจดำเป็นตอตะโกคาที่ไป ๑๑ นาย ทราบชื่อเพียง ๒ คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. ส่วนอีก ๙ นายยังไม่ทราบชื่อ!?

ครับ..ท่านคงงงว่าผมพูดถึงอะไร ก็เมื่อวานนี้ไงครับ (๗ ก.ย.๕๒) ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทั้งทางอาญา และทางวินัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ไปเรียบร้อยแล้ว ในคดี "ตำรวจฆ่าประชาชน ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑" ที่หน้ารัฐสภา และบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าครั้งนั้น

นอกจากต้องถูกดำเนินคดีทางอาญาด้วยความผิดตามมาตรา ๑๕๗ แล้ว ทั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ซึ่งยังอยู่ในราชการ ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดทางวินัยขั้นร้ายแรงด้วย

ตามกฎระเบียบบอกว่า ความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงอย่างนี้ ไม่ต้องไปฟ้องให้ศาลลงโทษ ป.ป.ช.ส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาของนายตำรวจทั้ง ๒ ให้พิจารณาโทษทางวินัยได้ทันที

ผู้บังคับบัญชาของตำรวจก็คือ "นายกรัฐมนตรี" นั่นก็คือ ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้นายกฯ อภิสิทธิ์ปุ๊บ ภายใน ๓ วัน ๗ วัน นายกฯ ก็ต้องนำเรื่องลงโทษวินัยร้ายแรงกับ พล.ต.อ.พัชรวาทเข้าที่ประชุม ก.ต.ช.ซึ่งตามกฎ "ผิดวินัยร้ายแรง" มีโทษ ๒ สถานเท่านั้น คือ ปลดออก หรือไล่ออกในทันที!

ตรงนี้-ถ้าเราอยากจะรู้ว่าอภิสิทธิ์ "มีความรู้สึกอย่างไร" ต่อผู้ทำผิดวินัยขั้นชั่วร้ายแรงที่ชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็คอยสังเกตบทลงโทษ ถ้ามีเยื่อใยไมตรี ก็คงลงโทษแค่ "ปลดออก" นับว่ายังได้รับบำเหน็จ-บำนาญอยู่

แต่ถ้าตัดบัวไม่เหลือใย เฉียบขาดตามเจตนารมณ์ของคำว่า "ผิดวินัยร้ายแรง" จะฟันฉับด้วยโทษ "ไล่ออก" สถานเดียว ซึ่งจะทำให้ไม่ได้รับบำเหน็จ-บำนาญเลย!

ส่วน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ซึ่งเป็น ผ.บชภ.๔ อยู่ขณะนี้ ก็เหมือนกัน ก.ตร.จะพิจารณาโทษภายใน ๓๐ วัน โทษก็มี ๒ สถานเหมือนกัน คือถ้าไม่ปลดออก ก็ไล่ออก บทอวสานของ "บิ๊กเบื๊อก" นรต.รุ่น ๒๖ เพื่อนร่วมรุ่นของ "บิ๊กแม้ว" ก็เป็นประการฉะนี้

พูดถึง พล.ต.อ.พัชรวาท ในที่สุดท่านก็ไม่สามารถ "ลบอาถรรพณ์" สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปได้ คือยังไม่มี ผบ.ตร.คนไหนที่อยู่ในตำแหน่งจนถึงวันเกษียณได้สักราย ล้วนแล้วแต่ "มีอันเป็นไป" ดีบ้าง-ร้ายบ้างกระเด็นไปจากเก้าอี้ก่อนทั้งนั้น แต่ส่วนมากกระเด็นไปแบบร้าย มากกว่าแบบดี!

ที่เห็นชัดๆ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส แล้วก็มา พล.ต.อ.พัชรวาทนี่แหละ ที่อีก ๒๓ วันจะครบเกษียณคาตำแหน่ง "ล้างอาถรรพณ์" ได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องตกเก้าอี้ไปจนได้ "กงกรรม-กงเกวียน" ของคนในวงการตำรวจโดยแท้

คงไม่ต้องลุ้นหรอกครับว่า นายกฯ อภิสิทธิ์รับเรื่องจาก ป.ป.ช.แล้วจะแกล้ง "ดึงๆ ดองๆ" เอาไว้จนเลย ๓๐ กันยา.เพื่อช่วยให้ พล.ต.อ.พัชรวาทได้ชื่อว่า "เกษียณอายุในตำแหน่ง" แล้วค่อยนำเรื่องเข้าที่ประชุม ก.ต.ช. เพราะขืนทำอย่างนั้น ก็จะต้องมีนายกรัฐมนตรีอีกคนที่เจออาญา มาตรา ๑๕๗ ฐานจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี คงทั้งสร้างและทั้งทำลายสถิติ "ผบ.ตร.รักษาการ" มากสมัยที่สุด ช่วงไม่ถึงเดือนมั้ง ได้เป็น "ผบ.ตร.รักษาการ" ไปแล้ว ๒ ครั้ง และนี่ทำท่าว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ตร.รักษาการอีกเป็นครั้งที่ ๓!?

นายกฯ อภิสิทธิ์น่ะ เรื่องเก่งคงไม่เท่าไร แต่เรื่องเฮงน่ะ...ผมว่า "ก๊กเฮง" ยังต้องชิดซ้าย ก็เมื่อฟ้าผ่า ผบ.ตร.คาที่ไปต่อหน้า-ต่อตาอย่างนี้ การประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือกตัว "ผู้บัญชาการตำรววจแห่งชาติ" คนใหม่ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม จากนี้ก็คงโล่ง-โปร่งสบาย อย่างน้อยที่สุด ในเมื่อ พล.ต.อ.วิเชียรมานั่งเก้าอี้ ก.ต.ช.แทนพัชรวาท

เสียงสนับสนุนนายกฯ ที่เสนอ "พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ" เป็น ผบ.ตร.ก็เป็นที่วางใจได้!

พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ หรือ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ใครคือ...ผบ.ตร.นาทีนี้คงไม่ต้องพูด แต่เมื่อยังไม่ถึงวันที่ ๑ ตุลา. "ระบบเมืองไทย" นั้น จะฟันธงโครมครามคนใดลงไปเห็นจะยังไม่ได้

เพราะ "ข้อมูลใหม่" กับเมืองไทย เป็นของคู่กัน!

ผมบอกไว้ข้างต้นว่าฟ้าผ่านายตำรวจ ๑๑ นาย อ่านถึงตรงนี้เห็นมีแค่ ๒ นาย แล้วอีก ๙ ที่ไม่ทราบชื่อนั่นคือใคร คืออย่างนี้ครับ เมื่อวาน-วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะอุนกรรมการ ก.ตร.ชุดพิเศษ ที่ตั้งขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีซื้อขายตำแหน่ง พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ในฐานะโฆษกฯ ท่านก็แถลงผลสอบว่า

"เชื่อว่ามีการแทรกแซงอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรววจประจำปี ๒๕๕๑"

และเชื่อว่า..."การแต่งตั้งส่อไปในทางทุจริตและแสวงหาผลประโยชน์"!

ประมาณ ๘-๙ นายตำรวจครับที่คณะอนุฯ ก.ตร.เสนอว่ามีความผิดในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนั้น ส่วนจะเป็นใครบ้าง "ก็...รู้ๆ กันอยู่" จะมีอีจ๋อย..อีจ่อย..อะไรนั่นด้วยหรือไม่ รอเขาเสนอเรื่องถึง "รองฯ สุเทพ" ก่อน แล้วให้เขาแถลงออกมา

ตอนนี้กลัวอยู่อย่างเดียวคือ กลัวสองชายม่วงปิดห้องกอดกันแล้วยิงตัวตายหนีคดีรุ้มเร้า!!!

ปีที่แล้ว "๗ ตุลาคม ๒๕๕๑" ฟ้าผ่าหน้ารัฐสภา และบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เจ็บ-ตายเกลื่อนกลาด

ปีนี้ "๗ กันยายน ๒๕๕๒" ฟ้าผ่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ส.ต.ช.) ทั้ง ผบ.ตร.และทั้งคณะแก๊งผู้มีความประพฤติชั่วร้ายตายเกลื่อนกลาด!

ปรากฏกรรม หรือ กรรมติดจรวด นั่นแล!

แต่ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับนายตำรวจอีก ๕ นาย ที่อยู่ในวงเวียนเดียวกัน แต่โชคดี-รอดจากการถูกฟ้าผ่าตายไปได้ชนิดต้องจำไปจนตาย ก็มี พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล, พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา, พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ และ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ออกปฏิบัติหน้าที่สลายม็อบวันนั้น

ป.ป.ช.ชี้มูลว่า "ไม่มีความผิด" เพราะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา!

สรุปก็คือ ในคดี ๗ ตุลา.มีผู้ถูกกล่าวหารวม ๙ นาย ป.ป.ช.ชี้มูลว่าไม่มีความผิดไป ๕ นายข้างต้น และชี้มูลว่ามีความผิดทั้งอาญาและทั้งวินัยร้ายแรง ๔ นาย คือ

๑.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเรียกประชุม ครม.นัดพิเศษในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 โดยมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้สั่งการ และเปิดทางให้ ส.ส.และ ส.ว.เข้าสู่รัฐสภา

ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1

๒.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ และสั่งการให้ตำรวจผลักดันผู้ชุมนุมโดยใช้แก๊สน้ำตา

ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 6 ต่อ 3

๓.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะ ผบ.ตร.ซึ่งรับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ เมื่อเกิดเหตุรุนแรงจนถึงขั้นผู้ชุมนุมบาดเจ็บสาหัส ถึงขนาดขาขาด-แขนขาด ก็ต้องยับยั้งมิให้เหตุการณ์ลุกลามต่อไป และมีการให้การจากพยานว่า เป็นผู้สั่งการสลายการชุมนุม จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีความผิดวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๗๙ (๕) (๖)

ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1

๔.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ และเป็นเจ้าของพื้นที่ มีความผิดวินัยร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๗๙ (๓) (๕) (๖) และอาญา เช่นกัน

ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 8 ต่อ 1

สรุปถึงขั้นตอนปฏิบัติ ในด้านข้อหาอาญา ป.ป.ช.จะส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณา แล้วนำตัวทั้ง ๔ ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง เฉพาะ พล.ต.อ.พัชรวาท กับ พล.ต.ท.สุชาติ มีความผิดวินัยร้ายแรงด้วย ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้นายกฯ จัดการ "ปลดออก-ไล่ออก" ต้องรู้ผลภายใน ๑๕ วัน!

แหม..เหลือที่ข้างท้ายนี้ ....



Label Cloud