กษิตเจอห้องเย็น มาร์คฉุนนัดคุยเรื่องปาก บิ๊กทหารฮึ่ม!เรียงหน้าโต้ | ไทยโพสต์
นายกฯ ตบปาก "กษิต" หลังอ้างขนคนมาเป็นแสนหนุนหลังให้อยู่ต่อได้ ชี้พูดอะไรต้องระวัง แต่ยังอุ้มจนถึงที่สุด เผยกลับจากนิวซีแลนด์ต้องเรียกมาคุยยาว บิ๊กทหารฮึ่ม! อนุพงษ์-แม่ทัพภาคที่ 1 สวน รมว.บัวแก้ว-อัดสื่อยันไม่มีเอี่ยวปลดพ้นเก้าอี้ สภาสูงชี้คนในรัฐบาลวางแผนล่อกันเอง รัฐศาสตร์จุฬาฯ ฟันธงจากอาการฟิวส์ขาด ไม่รอดแน่หลังอาเซียนซัมมิต
หลังจากนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ออกมาทิ้งบอมบ์ข้ามประเทศจากนิวซีแลนด์ แสดงความไม่พอใจที่มีการรายงานข่าวว่า มีนายทหารในกองทัพต้องการให้นายกรัฐมนตรีปรับเขาออกจากตำแหน่ง หลังจากถูกตำรวจออกหมายเรียกในคดีบุกสนามบินสุวรรณภูมิ โดยพูดเป็นนัยทางการเมืองว่ากำลังถูกรุมกินโต๊ะจากหลายฝ่าย และให้สัมภาษณ์หลายประเด็นที่พาดพิงไปถึงกองทัพ อาทิ "ทหารเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์ผมได้ ผมรับฟัง แต่ถามทีว่าใครปองร้ายนายกรัฐมนตรี และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งนายสุเทพ (เทือกสุบรรณ) คงต้องตอบ" และย้ำว่า "ที่บอกว่ากระแสกดดันให้ลาออก ผมเอาออกมาเป็นแสน ถ้าจะเรียกร้องให้คนออกมาสนับสนุนก็ทำได้"
เรื่องนี้ทำให้หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นทันที โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่นายกษิตออกมาระบุว่า มีกลุ่มนายทหารออกมาเสนอให้นายกรัฐมนตรีปลดเขาออกจากตำแหน่ง ภายหลังถูกตำรวจออกหมายเรียกในคดีร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ โดย ผบ.ทบ.กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "เรื่องนี้อย่ามาถามผม ผมไม่มีความเห็น"
เมื่อถามว่า จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ ในแง่ที่ว่าทหารเข้าไปยุ่งกับการเมืองหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า "ขอให้ฟังให้ชัดๆ ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พวกหนังสือพิมพ์เป็นคนเขียนก็ให้ไปถามกันเองก็แล้วกัน ผมไม่เกี่ยว"
พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ทหารไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินกระแสข่าวที่เกิดขึ้น และคนในกองทัพเองก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งที่ผ่านมา ผบ.ทบ.ก็ไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวเช่นกันว่า ไม่รู้ว่าที่ท่านกษิตพูดนั้นหมายถึงใคร เพราะเราก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ การจะพูดหรือวิจารณ์อะไรนั้นอาจจะไม่เหมาะสม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ถึงกรณีนายกษิตถูกตำรวจออกหมายเรียกว่า จริงๆ จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต้องขอบคุณทุกคน ที่เห็นความสำคัญในการให้รัฐมนตรีได้ปฏิบัติภารกิจในส่วนของอาเซียน ขอบอกว่ารัฐมนตรีก็ปฏิบัติหน้าที่และประสานงานกับอาเซียนได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด แล้วจะต้องทำงานนี้อย่างต่อเนื่องไป ในช่วงของการประชุมสำคัญระหว่างที่เราเป็นประธานอาเซียน และอยากบอกว่ามีประเด็นที่ตั้งคำถามมาว่า ที่เคยพูดถึงกฎเหล็กมาตรฐานทางการเมือง ขอยืนยันว่ายังรักษามาตรฐานนั้นไว้ทุกประการ
"มาตรฐานที่ว่านั้นคือ ผมจะไม่ต้องรอให้เรื่องของคดีความต่างๆ ไปถึงที่สุด แล้วก็เป็นประเด็นในทางกฎหมายที่บอกว่าบุคคลในรัฐบาลต้องพ้นจากตำแหน่งไป แต่กรณีของ รมว.การต่างประเทศ ต้องรอจนศาลพิพากษาถึงจะมีผลทางกฎหมาย ผมบอกว่าผมจะไม่รอถึงมาตรฐานตรงนั้น แต่ว่ามาตรฐานที่บอกว่าถ้าเป็นกรณีที่ถูกตั้งข้อกล่าวหา ตำรวจออกหมายเรียกแล้วแปลว่าไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้ ผมคิดว่าก็ดูจะเกินเลยมาตรฐานที่มีการปฏิบัติโดยทั่วไป ผมจึงอยากจะเรียนว่า ในชั้นนี้ท่านรัฐมนตรีได้แสดงความพร้อมในการที่จะไปต่อสู้คดี และผมยืนยันครับว่าท่านไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ ความจริงท่านได้ไปรายงานตัว เพราะว่าในวันที่นัดหมายซึ่งเป็นวันหลังจากนี้ ท่านก็มีภารกิจที่ต้องปฏิบัติ" นายกฯ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าในทุกคดี รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองจะไม่เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม สิ่งเดียวที่เราจะทำก็คือการเร่งรัด และการดูแลว่าถ้าหากว่ามีการร้องเรียนเรื่องความไม่ธรรมในขั้นตอนใดๆ อย่างเช่นในหลายคดี รวมทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ก่อนหน้านี้มีการร้องเรียนให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวน เพราะเกรงเรื่องความไม่เป็นกลาง อย่างนี้รัฐบาลดำเนินการได้ แต่ว่าถ้าจะให้ไปบอกว่าคดีนี้คนนี้ต้องผิด คนนี้ไม่ให้ผิด อันนั้นจะเป็นการทำร้ายและทำลายทั้งกระบวนการยุติธรรม ระบบการเมืองและประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ทำ ดังนั้นไม่ว่าฝ่ายใดที่คิดว่ารัฐบาลกำลังจะช่วย เพราะว่ามีคนของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีคนคิดไปถึงขั้นว่ามีการกลั่นแกล้ง เพราะมีความขัดแย้งภายใน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และขอยืนยันว่าบุคคลทุกคนจะต้องได้รับความเป็นธรรม ถ้าหากว่ามีเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างไรก็สามารถใช้สิทธิ์ตามกฎหมายได้
"การพิจารณาสถานะของ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันว่าในชั้นการถูกออกหมายเรียกไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องปรับท่านออกจากตำแหน่ง ท่านควรจะได้ทำหน้าที่ในการทำงานในด้านของอาเซียนและในด้านอื่นๆ ในฐานะ รมว.ต่างประเทศต่อไป ผมได้ตรวจสอบในเบื้องต้นก็ไม่เห็นมีปัญหาความน่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้นในการทำงานของท่าน อยากจะให้ความมั่นใจ ยืนยันในส่วนนี้" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวมีกลุ่มทหารกดดันให้นายกษิตลาออกว่า เข้าใจว่ามันมีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ที่มีการพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนายกษิต คงไม่มีอะไรมากกว่านั้น รอนายกษิตกลับมาก็คุยด้วย
ส่วนที่นายกษิตบอกว่า มีคนเพียงไม่กี่คนที่อยากให้ออกจากตำแหน่ง แต่มีคนเป็นแสนอยากให้อยู่ในตำแหน่งนั้น นายกฯ กล่าวว่า "อยากให้ระมัดระวัง คิดว่าจริงๆ แล้วได้อธิบายการตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้น นายกษิตเองก็น่าจะสามารถอธิบายการตัดสินใจของตัวเองได้เช่นกัน ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล อย่าลืมว่าวันนี้มีงานสำคัญรออยู่ก็ให้นายกษิตเร่งทำไป"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทหารบีบให้นายกษิตลาออกหรือไม่ นายกฯ ปฏิเสธว่าไม่มี ตรงนี้ตำรวจต้องทำการชี้แจง ถ้ามีใครแทรกแซงคงไม่ได้ และถ้าใครมีหลักฐานก็มาบอกได้ จะได้แก้ไขให้มันถูกต้อง ทหารให้ความร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายรัฐเป็นอย่างดี เมื่อถามต่อไปว่า ภาพที่ออกมาดูเหมือนรัฐบาลยังถูกครอบงำโดยทหารอยู่ นายกฯ ย้อนถามว่าเรื่องไหนล่ะ ที่อ่านดูเร็วๆ นี้เห็นท่านถูกสอบถามเรื่องรายงานข่าวว่าทหารแสดงความคิดเห็น ท่านก็ถามว่าเป็นใคร ก็เท่านั้นเองไม่กังวล ไว้รอนายกษิตกลับจากต่างประเทศคงพูดกันยาว
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.ในฐานะผู้ที่เคยถูกตั้งข้อหาก่อการกบฏภายในราชอาณาจักร เนื่องจากเข้าร่วมปราศรัยกับแกนนำพันธมิตรฯ ขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ข้อหาก่อการร้ายที่ตำรวจเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ ถือเป็นข้อหาที่แรงเกินไป เป็นข้อหาที่ฝ่ายการเมืองต้องการเล่นเกมทางการเมือง เพื่อหวังสกัดกั้นและบีบให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีมากกว่า
"ดิฉันเคยโดนข้อหานี้ในช่วงที่กำลังจะได้รับตำแหน่ง ส.ว. ซึ่งก็เหมือนกับกรณีของคุณกษิต ที่โดนขัดขาตอนเป็นใหญ่เป็นโตเช่นกัน การขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เพียงครั้งเดียวไม่น่าจะโดนข้อหาเช่นนี้ อย่างไรก็ตามอยากแนะนำให้ รมว.ต่างประเทศต่อสู้ต่อไป โดยการยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอความเป็นธรรม นอกจากนี้เชื่อว่า หากนายกษิตดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปจะไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และไม่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ในการประชุมผู้นำอาเซียน" น.ส.รสนากล่าว
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา บอกเช่นกันว่า นายกษิตแค่เป็นผู้ต้องหาเท่านั้น ยังไม่ชัดเจนว่าผิด ต้องรอให้อัยการมีคำส่งฟ้องก่อนจึงจะถือว่าให้หยุดปฏิบัติหน้าที่และลาออกได้
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว.กล่าวถึงกระแสข่าวกองทัพบีบนายกษิตว่า นายกษิตเป็นอดีตข้าราชการหัวแถวที่ออกมาท้าทายระบอบทักษิณ เพราะทนไม่ไหวที่เห็นความไม่ชอบธรรมสมัยเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลทักษิณ นายกษิตเป็นเหยื่อทางการเมืองแน่นอน ดังนั้นจึงอยากให้นายกษิตออกมาเพื่อพิทักษ์ความชอบธรรมให้กับตัวเอง
นางสิริพันธ์ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกระแสข่าวทหารขอให้นายกรัฐมนตรีปรับนายกษิตออกว่า หากเป็นจริงจะชี้ให้เห็นว่าทหารยังคงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่ตลอดเวลา แต่ต้องดูว่าเป็นทหารกลุ่มไหน เพราะทหารเองก็มีหลายกลุ่ม ไม่เป็นเอกภาพ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับนักการเมืองในสังคมไทยมีมายาวนานและซับซ้อน แม้จะมีกระแสเรียกร้องให้นายกษิตลาออก แต่ในส่วนของทหารเห็นว่าไม่ควรแทรกแซงการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ทหารไม่ใช่ประชาชน แต่ทหารเป็นหน่วยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคม
"หากมีการบีบให้นายกษิตลาออกจริง ก็สงสัยว่าเขาใช้ความชอบธรรมใดเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจของนายกฯ จะมาอ้างว่าเพื่อลดกระแสกดดันรัฐบาล หรือหวังดีต่อประเทศชาติก็เป็นเรื่องไม่เหมาะสมทั้งสิ้น"
นางสิริพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่นายกษิตระบุว่า มีคนจำนวนเรือนแสนหนุนให้อยู่ ว่าเป็นวิธีเดียวกับที่พันธมิตรฯ เคยเรียกร้องให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง แต่ทั้งสองคนก็อ้างมวลชนของตนเองมาขู่ เนื่องจากอำนาจในการวัดความผิดถูกของสังคมแทบจะไม่มี
"สองวันมานี้จะเห็นนายกษิตออกมาตอบโต้ด้วยท่าทีและคำพูดที่เผ็ดร้อน ทั้งที่บทบาทของ รมว.ต่างประเทศไม่ควรเป็นแบบนี้ เป็นนิสัยส่วนตัว คือปากไว แต่ก็เป็นบทเรียนว่า คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้วจะเป็นนาย ซึ่งได้ปรากฎชัดแล้ว เชื่อว่านายกษิตจะไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง ยกเว้นจะถูกผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจในบ้านเมืองขอร้อง เชื่อว่าตำแหน่งนี้จะถูกเปลี่ยนก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และหลัง กกต.ลงมติเรื่อง ส.ส.ถือหุ้นสัมปทานรัฐ" นักวิชาการผู้นี้ระบุ.