เปลว สีเงิน ไทยโพสต์ 20-04-2009
ก็ผ่านยกที่ ๒ ไปได้แบบใจหาย-ใจคว่ำ สำหรับ "นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า "ยืนครบ ๕ ยก หรือไม่ครบ" จากวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ ไปถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ นับเป็นยกที่ ๓ และระหว่างเดือนพฤษภาคม-๙ มิถุนายน คือตอนกลางๆ ยก ฝ่ายตรงข้าม (ก็ยังไม่รู้ว่าใคร) อาจประเคนอาวุธทุกชนิดเข้าใส่หวังเผด็จศึกอีก หมายความว่า "นายกฯ ต้องต่อสู้ทุกวินาที ต่อสู้ทั้งคู่ชก ต่อสู้ทั้งกรรมการ ต่อสู้ทั้งพี่เลี้ยง ต่อสู้ทั้งคนดู ไม่มีเวลาให้พักหายใจ แต่ไม่เป็นไร เพราะราศี "สุภาพบุรุษสังเวียน" เริ่มจับแล้ว!
แบบนี้แหละที่เรียกว่า "รสชาติของชีวิต" เป็นนายกฯ ให้เขาอิจฉา ดีกว่าเป็นนายกฯ ให้เขาสมเพชเวทนา ต่อยมา ๒ ยกถึงเลือดโชกแต่ก็คุ้ม เพราะได้ใจประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไปพะเรอเกวียน ถ้ายก ๓ นี้ไม่ถูกเขาน็อก สามารถโชว์ลีลางามๆ อีกซักดอก-สองดอก ผมเชื่อว่า ไม่มีใครกล้าเรียก "นายกฯ คุณหนู" อีกต่อไป
ศรัทธาจากประชาชนนั่นแหละ จะเกิดเป็นรังสีที่เรียกว่า "บารมีผู้นำ" ๓-๔ เดือนที่ผ่านมา ท่านเป็นนายกฯ ที่บรรดาข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ ทุกกระทรวง ทบวง กรม "ท้าทายอำนาจ" นั่งที่ไหนก็นินทารัฐบาลใหม่กันที่นั่น ซึ่งก็น่าเห็นใจ เพราะเขาเติบโต-ไต่เต้า ชินกับการอยู่-การกินภายใต้ระบอบทักษิณมาตั้ง ๕-๖ ปี
เมื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ มันทำใจยาก...ว่างั้นเถอะ อย่าว่าแต่ตำรวจ-ทหารเข้าแถวรับเครื่องแบบ "แดงทักษิณ" สวมทับเครื่องแบบตำรวจ-ทหารเลย ที่เห็นเสื้อแดงมาชุมนุมกันเป็นหมื่นๆ นั่นน่ะ ส่วนหนึ่งคือบรรดา "คุณครู" ที่ใช้เวลาว่างตอนปิดเทอมมาทำประโยชน์ให้สังคมด้วยการ "สวมเสื้อแดง"!
การปักทวนสู้มรสุมศึกของอภิสิทธิ์ครั้งนี้ นอกจากประชาชนหันมาเทกำลังใจ หนุนหลังให้ "สู้มัน" แล้ว ผมสังเกตว่า นับจากวันที่ ๑๔ เมษายนเป็นต้นมา ใจบรรดาข้าราชการใหญ่ นายทหาร-นายตำรวจ ระดับแม่ทัพ นายกอง เริ่มเปิดอ้ารับบารมีอภิสิทธิ์ในฐานะ "ผู้นำอำนาจ" บ้างแล้ว
ย้อนหลังกลับไปวัน-สองวัน วันที่นายกฯ อภิสิทธิ์ออกแถลงการณ์ โดยมีแม่ทัพใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งปลัดกระทรวงนั่งล้อมรอบโต๊ะประชุมรูปไข่โดยมีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ผมเห็นคนเดียว คนไทย-เทศที่ดูโทรทัศน์ทั่วประเทศ หรือทั่วโลกต่างก็เห็น....
เห็นอะไรล่ะ?
เห็นหน้า รมว.กลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สวุรรณ เห็นหน้า ผบ.สส.พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ เห็นหน้า ผบ.ทบ.พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เห็นหน้า ผบ.ทร.กำธร พุ่มหิรัญ และ ฯลฯ
นายกฯอภิสิทธิ์-สู้ ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อหน้าแม่ทัพ นายกอง และบรรดาข้าราชการใหญ่
แต่...ตั้งแต่รัฐมนตรีกลาโหมลงไปยันแม่ทัพ-นายกองทั้งหลายที่นั่งเป็นพระอันดับ ต่างก้มหน้า หลุบสายตา ในขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์พูดให้ความมั่นใจกับประชาชนไป แต่ดูเหมือนใจของคนที่นั่งอยู่รอบๆ ตัวท่าน ต่างโผบินไปสยบอยู่ใต้บารมีเสื้อแดงทักษิณหมดแล้ว!?
สถานการณ์จาก ๑๑-๑๒-๑๓ เม.ย.ทั้งตำรวจ ทั้งทหาร ทั้งข้าราชการ "ทุกคน-ทุกฝ่าย" ลงความเห็นตรงกันว่า "อภิสิทธิ์ตายแน่" ตายในทันทีที่ "ตำรวจ-ทหารบก-ทหารเรือ" เปิดทางให้ม็อบเสื้อแดงบุกโรงแรมรอยัลคลิฟ พังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (นายกฯ อภิสิทธิ์ตายเพราะ "ตายใจ" ให้กับ "นายสุเทพ-นายเนวิน" ที่วางตนเป็น "ขุนพลใหญ่" ในวันนั้นตะหาก)!
จนกระทั่งเช้ามืดวันที่ ๑๔ เม.ย.หลังจากที่เปลี่ยนตัวผู้อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน จากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปเป็นพลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ และยุทธการ "นิ้วมือไหมบีบไข่แม้ว" ได้เริ่มขึ้นจนม็อบเสื้อแดงแตกสลาย แกนนำ ๒-๓ คนเข้ามอบตัว ฝ่ายรัฐบาลสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด
ประชาชนเฮ....ซูกฮกยกอภิสิทธิ์เป็น "สุภาพบุรุษนักสู้หน้าหยก" ตัวจริง!
ไม่เพียงประชาชนมั่นใจในตัวนายกฯ ของเขาเท่านั้น ตัวนายกฯ เองก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะสิ่งที่เคลือบแคลงสงสัยมานาน บัดนี้ก็หายสงสัยเข้าใจกระจ่างแล้วว่า ถ้าจริงใจต่อประชาชน ประชาชนก็ย่อม "มีใจ" ให้เสมอ
ที่ผมพูดย้อนเรื่องเก่ามา ๒-๓ พารากราฟนี้ เพราะเมื่อวานนี้ (๑๙ เม.ย.) นายกฯ เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงที่ทำเนียบรัฐบาล มี ๔ ผบ.เหล่าทัพเป็นตัวยืน นานกว่า ๒ ชั่วโมง ผมไม่ต้องการทราบหรอกว่าเขาประชุมเรื่องอะไรกันบ้าง แต่ต้องการ "เห็น" มากกว่า และก็ได้เห็นแล้ว เห็นจากภาพในอินเทอร์เน็ต
ก็เสียดายแทนท่านผู้อ่านที่ไม่ได้เห็น เหมือนตอนนายกฯ ออกทีวีพูล "โดดเดี่ยว" ท่ามกลางแม่ทัพ นายกอง และบรรดาข้าราชการใหญ่ที่นั่งรอบโต๊ะประชุม แต่ใจไปอยู่เสียอีกทาง ในขณะที่ภายนอก ทัพเสื้อแดงกำลังฮือโหมรุกประชิดเผาเมือง!
ผมเห็นหน้าชัดๆ ของพลเอกประวิตร พลเอกอนุพงษ์ และ ฯลฯ จากอินเทอร์เน็ต เห็นแล้วก็ต้องแอบถอนหายใจด้วย "สบายใจขึ้น" แทนนายกฯ เพราะว่า มาเที่ยวนี้ แต่ละท่านดูขมีขมัน "วิญญาณทหาร" ข้นคลั่ก ลงจากรถก็พึ่บพั่บตรงเข้าห้องประชุม ครั้นประชุมเสร็จก็พึ่บพั่บออกมา
หน้าตาจากดอกยี่หุบเมื่อวันโน้น แต่ละท่านบานเป็นด้งไปตามๆ กันเมื่อวานนี้!
นี่เห็นบอกว่าวันนี้ (๒๐ เม.ย.) พลเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะ ผบ.ตร.จะออกโทรทัศน์ แถลงการณ์เป็นเรื่อง-เป็นราวรายงานให้ประชาชนทราบ เรื่องอะไรบ้างผมก็ไม่สนใจหรอก แต่สะดุดใจตรงที่ว่า บ้านเมืองแทบแหลกสลาย ประชาชนมองหาใครเป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายโดยตรง เพิ่งคิดจะโผล่หน้าออกมาพูดจากับประชาชน?
แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าเราเป็นพราน แล้วต้องฆ่าเสือที่แยกเขี้ยวใส่ทุกตัว เว้นไว้แต่เสือที่กระดิกหางให้ เราก็คงได้แต่หมามาเลี้ยงแทนเสือเท่านั้น นายกฯ อภิสิทธิ์ ถ้าไม่มีธาตุแท้ผู้นำอยู่บ้างก็คงไม่สามารถยืนอยู่ได้ในวันนี้ ฉะนั้น เมื่อขึ้นชั้นสังฆราชก็ไม่จำเป็นต้องให้เณรน้อย-เณรใหญ่เทศน์ให้สังฆราชฟัง ในทางกลับกัน คอยนั่งดูลีลาสังฆราชประกาศธรรมจะเข้าท่ากว่า
นั่นก็คือ ระยะนี้เจี๊ยวจ๊าวกันไปหมดว่า ปลดคนโน้นซี ย้ายคนนี้ซี ล้วนแต่หวังดีกับนายกฯ ทั้งนั้น แต่ผมว่าฝ่าด่าน ฝ่าสถานการณ์มาถึงขณะนี้ ประสบการณ์บอกแล้วว่า การพูด กับการทำมันคนละเรื่อง และการทำอะไรที่ไม่ประกอบด้วยกาล ด้วยสถานที่ ด้วยบุคคล ด้วยเวลา จะเสียทั้งงาน เสียทั้งคน แล้วลงท้ายก็จะ..จนใจตัวเอง!
ในความเห็นผม หน้าสิ่ว-หน้าขวาน อย่างนี้ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ใช้อำนาจไปโยกย้ายใครนอกกาล-นอกฤดูเลย ส้มในเข่งมาจากสวนพันธุ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเลือกหยิบลูกไหนขึ้นมา มันก็เปรี้ยวหรือหวานเหมือนกันแหละ ฉะนั้น ลูกที่ปอกเปลือกอยู่ในจานตรงหน้านั่นแหละ "หวาน" ถูกปาก-ถูกคอดีที่สุด
จุกหลุด เปลือกเหลือง "ลืมต้น-ลืมพันธุ์" เอาเกลือ-น้ำตาลมาคลุกจิ้มอีกซักหน่อย จะหวานตาหยี-อร่อยอย่าบอกใครเชียว!
ผมสังเกตว่า ตอนนี้ฝ่ายรัฐบาล โดยนายกฯ กับฝ่ายข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ มีใจ-คือมีน้ำอกน้ำใจที่จะร่วมแก้ไขปัญหาบ้านเมืองมากขึ้นแต่ก่อนแล้ว เรียกว่าคุณอภิสิทธิ์ผ่านด่านการ "ลองของ" จากบรรดาข้าราชการไปจนได้ใจ อะไรๆ ทำนองนั้น
นั่นคือ การยุบสภา การย้าย ๒-๓ บิ๊ก ที่พูดจากันอยู่ ควรจะพับไว้ และนายกฯ ควรใช้บารมีที่ได้มาตอนนี้ "สมานกับทุกเหล่าข้าราชการ" หาวิธีสมัครสมานพี่น้องไทยฝ่ายเหลือง-ฝ่ายแดงให้มาเข้าใจกันให้ได้ในระดับหนึ่ง
ไม่ต้องถึงขั้นลืมขั้วแล้วมาจ๊วบ..จ๊วบ..กันหรอก เพราะมันยังเป็นไปไม่ได้ เอาที่เป็นไปได้คือ ใครแยกข้าง-แบ่งขั้ว-แบ่งสี ก็เชิญแบ่งกันตามสบาย แต่ทำยังไงจะให้แต่ละฝ่าย แสดงบทกันไปภายใต้ "กรอบ-กฎ-กติกา" อย่าทำลาย-ทำร้ายบ้านเมือง และสถาบันระบอบอันดีงามของชาติอันเป็นส่วนรวมกันเลย
แล้วหาทางให้ตัวแทนแต่ละฝ่ายมานั่งโต๊ะหารือร่วมกัน ทั้งฝ่ายข้าราชการ ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง คุณจะเอาทักษิณ ไม่ทักษิณ "ได้ทั้งนั้น" ข้อสำคัญคือว่า ร่างกฎกติกาออกมาแล้ว ทุกฝ่ายต้องเคารพและเล่นกันไปตามนั้น เฉพาะหน้านี้จะแก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือว่าครอบคลุมแนวทาง "นิรโทษกรรม" คดีการเมือง ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา ถ้าตกลงร่วมกันได้ ก็ตกลงกันไป
เรียกว่ากู้รถไฟประชาธิปไตยที่ตกราง ให้ขึ้นมาวิ่งกันบนรางใหม่อีกครั้ง เมื่อร่างกติกากันเรียบร้อย การเมืองจะเข้าเส้นสตาร์ทใหม่พร้อมๆ กัน โดยยุบสภา แล้วให้แต่ละพรรค รวมทั้งที่จะตั้งใหม่ ไม่ว่าจะฝักใฝ่เหลือง-แดง หรืออะไรก็ช่าง มาเข้าสู่เส้นสตาร์ทพร้อมๆ กัน แล้วให้ประชาชนตัดสินใจ
ประชาชนส่วนใหญ่เลือกใคร ก็ให้คนนั้น-พรรคนั้นเขาไป ใครแพ้ขืนวอแว-ถีบมันเลย!
ฝ่ายสีเหลือง หรือพันธมิตรฯ นั้นผมไม่ค่อยห่วงหรอก แต่ผมห่วงพี่น้องเสื้อแดง เพราะเขาตกอยู่ในสภาพลูกที่พ่อแม่ไม่รัก แถมพี่น้อง-เพื่อนฝูงก็รังเกียจ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น จากเหตุการณ์จลาจลเผาบ้าน-เผาเมือง และฆ่าพี่น้องประชาชนด้วยกัน เขากลายเป็นตัวผู้ร้าย เป็นศูนย์รวมความโกรธ-เกลียด-แค้น-ชิงชัง ไปเลย
น่าเห็นใจมากครับ และใครก็ไม่พยายามเข้าใจเขา ซึ่งในข้อเท็จจริง พี่น้องเสื้อแดงก็เหมือนพี่น้องเสื้อเหลืองนั่นแหละ ที่มีการแสดงออกตามความเห็น-ความเชื่อของตนทางการเมือง แต่ทีนี้ในฝ่ายเสื้อแดงนั้น มีคนบางคนแอบแฝง อาศัยคราบ "แดงบริสุทธ์" เอา "แดงอสัตย์" แฝงเข้ามาใช้บท "โจรป่า" ปล้นบ้าน-ปล้นเมือง เลยเสียชื่อป่นปี้ไปด้วยกันหมด
นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องรัก ด้วยเข้าใจพี่น้องเสื้อแดงให้มากเข้าไว้ และบนความเป็นองคาพยพแห่งรัฐทั้งหมด ฝ่ายไหน-หน่วยไหน หรือทั้งหมด จะร่วมทำกันอย่างไรให้พี่น้องเสื้อแดงได้เข้าใจว่า พี่น้องร่วมชาติด้วยกันทุกคน ยังรัก ยังผูกพัน ฉันท์เลือดร่วมชาติเหมือนเดิม ไม่ได้ผลักไส หรือมองว่าเป็นฝ่ายร้าย-ฝ่ายเลวอย่างที่มีคนเป่าหูด้วยหวังตอกลิ้มให้แตกแยกแต่อย่างใดเลย
ตรงนี้ผมว่าสำคัญนะครับ คนที่ร้ายทุกวันนี้ ลองไปไล่เรียงแล้วแยกแยะดูแต่ต้นเถอะ จะพบว่าสาเหตุ "ร้าย" มาจาก" ขาดรัก-ขาดความเข้าใจ" จากคนรอบข้างก่อนทั้งนั้น!
จะอะไรกันนักหนามนุษย์เรา ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ ๖๐ ก็เกษียณไปเป็นพ่อเฒ่า-แม่แก่อยู่กะบ้าน นักการเมือง สูงสุด ๔ ปีก็ต้องถอดหัวโขน ทั้งอภิสิทธิ์ ทั้งทักษิณ รวมทั้ง ผบ.๔ เหล่าทัพ กระทั่งไพร่ราบพลเลวอย่างผม มียาดีวิเศษขนาดไหน มันก็เกินร้อยปีไปไม่ได้หรอก แถมมันจะซี้เสียก่อนด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ลดๆ ละๆ อย่าเห็นแก่เงิน แก่ยศ แก่ตำแหน่ง แก่ความสุขสบายเฉพาะตัวจนลืมชาติบ้านเมืองอันเป็นมรดกที่บรรพบุรุษฝากฝังให้รักษาต่อๆ กันมาตามสายเลือดไทยให้มากนักเลย กินก็แค่ชั่วอิ่ม ต่อให้ใครปลูกบ้านใหญ่ยกให้อยู่ในย่านเซนต์ จอห์น วูด มันก็เท่านั้น กตัญญูต่อคนซื้อบ้านให้โดยยอมขายประเทศ ไม่รู้สึกทุเรศตัวเองบ้างหรือไง อะไรที่ถึงคราต้องเปลี่ยน ก็ให้มันเปลี่ยนไปตามครรลองของมัน ข้อสำคัญ "คนหลวง" อย่าเป็นตัวทะลวงแผ่นดิน.
ก็ผ่านยกที่ ๒ ไปได้แบบใจหาย-ใจคว่ำ สำหรับ "นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า "ยืนครบ ๕ ยก หรือไม่ครบ" จากวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๒ ไปถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ นับเป็นยกที่ ๓ และระหว่างเดือนพฤษภาคม-๙ มิถุนายน คือตอนกลางๆ ยก ฝ่ายตรงข้าม (ก็ยังไม่รู้ว่าใคร) อาจประเคนอาวุธทุกชนิดเข้าใส่หวังเผด็จศึกอีก หมายความว่า "นายกฯ ต้องต่อสู้ทุกวินาที ต่อสู้ทั้งคู่ชก ต่อสู้ทั้งกรรมการ ต่อสู้ทั้งพี่เลี้ยง ต่อสู้ทั้งคนดู ไม่มีเวลาให้พักหายใจ แต่ไม่เป็นไร เพราะราศี "สุภาพบุรุษสังเวียน" เริ่มจับแล้ว!
แบบนี้แหละที่เรียกว่า "รสชาติของชีวิต" เป็นนายกฯ ให้เขาอิจฉา ดีกว่าเป็นนายกฯ ให้เขาสมเพชเวทนา ต่อยมา ๒ ยกถึงเลือดโชกแต่ก็คุ้ม เพราะได้ใจประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไปพะเรอเกวียน ถ้ายก ๓ นี้ไม่ถูกเขาน็อก สามารถโชว์ลีลางามๆ อีกซักดอก-สองดอก ผมเชื่อว่า ไม่มีใครกล้าเรียก "นายกฯ คุณหนู" อีกต่อไป
ศรัทธาจากประชาชนนั่นแหละ จะเกิดเป็นรังสีที่เรียกว่า "บารมีผู้นำ" ๓-๔ เดือนที่ผ่านมา ท่านเป็นนายกฯ ที่บรรดาข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ ทุกกระทรวง ทบวง กรม "ท้าทายอำนาจ" นั่งที่ไหนก็นินทารัฐบาลใหม่กันที่นั่น ซึ่งก็น่าเห็นใจ เพราะเขาเติบโต-ไต่เต้า ชินกับการอยู่-การกินภายใต้ระบอบทักษิณมาตั้ง ๕-๖ ปี
เมื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ มันทำใจยาก...ว่างั้นเถอะ อย่าว่าแต่ตำรวจ-ทหารเข้าแถวรับเครื่องแบบ "แดงทักษิณ" สวมทับเครื่องแบบตำรวจ-ทหารเลย ที่เห็นเสื้อแดงมาชุมนุมกันเป็นหมื่นๆ นั่นน่ะ ส่วนหนึ่งคือบรรดา "คุณครู" ที่ใช้เวลาว่างตอนปิดเทอมมาทำประโยชน์ให้สังคมด้วยการ "สวมเสื้อแดง"!
การปักทวนสู้มรสุมศึกของอภิสิทธิ์ครั้งนี้ นอกจากประชาชนหันมาเทกำลังใจ หนุนหลังให้ "สู้มัน" แล้ว ผมสังเกตว่า นับจากวันที่ ๑๔ เมษายนเป็นต้นมา ใจบรรดาข้าราชการใหญ่ นายทหาร-นายตำรวจ ระดับแม่ทัพ นายกอง เริ่มเปิดอ้ารับบารมีอภิสิทธิ์ในฐานะ "ผู้นำอำนาจ" บ้างแล้ว
ย้อนหลังกลับไปวัน-สองวัน วันที่นายกฯ อภิสิทธิ์ออกแถลงการณ์ โดยมีแม่ทัพใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งปลัดกระทรวงนั่งล้อมรอบโต๊ะประชุมรูปไข่โดยมีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ผมเห็นคนเดียว คนไทย-เทศที่ดูโทรทัศน์ทั่วประเทศ หรือทั่วโลกต่างก็เห็น....
เห็นอะไรล่ะ?
เห็นหน้า รมว.กลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สวุรรณ เห็นหน้า ผบ.สส.พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ เห็นหน้า ผบ.ทบ.พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เห็นหน้า ผบ.ทร.กำธร พุ่มหิรัญ และ ฯลฯ
นายกฯอภิสิทธิ์-สู้ ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อหน้าแม่ทัพ นายกอง และบรรดาข้าราชการใหญ่
แต่...ตั้งแต่รัฐมนตรีกลาโหมลงไปยันแม่ทัพ-นายกองทั้งหลายที่นั่งเป็นพระอันดับ ต่างก้มหน้า หลุบสายตา ในขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์พูดให้ความมั่นใจกับประชาชนไป แต่ดูเหมือนใจของคนที่นั่งอยู่รอบๆ ตัวท่าน ต่างโผบินไปสยบอยู่ใต้บารมีเสื้อแดงทักษิณหมดแล้ว!?
สถานการณ์จาก ๑๑-๑๒-๑๓ เม.ย.ทั้งตำรวจ ทั้งทหาร ทั้งข้าราชการ "ทุกคน-ทุกฝ่าย" ลงความเห็นตรงกันว่า "อภิสิทธิ์ตายแน่" ตายในทันทีที่ "ตำรวจ-ทหารบก-ทหารเรือ" เปิดทางให้ม็อบเสื้อแดงบุกโรงแรมรอยัลคลิฟ พังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (นายกฯ อภิสิทธิ์ตายเพราะ "ตายใจ" ให้กับ "นายสุเทพ-นายเนวิน" ที่วางตนเป็น "ขุนพลใหญ่" ในวันนั้นตะหาก)!
จนกระทั่งเช้ามืดวันที่ ๑๔ เม.ย.หลังจากที่เปลี่ยนตัวผู้อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน จากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปเป็นพลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ และยุทธการ "นิ้วมือไหมบีบไข่แม้ว" ได้เริ่มขึ้นจนม็อบเสื้อแดงแตกสลาย แกนนำ ๒-๓ คนเข้ามอบตัว ฝ่ายรัฐบาลสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด
ประชาชนเฮ....ซูกฮกยกอภิสิทธิ์เป็น "สุภาพบุรุษนักสู้หน้าหยก" ตัวจริง!
ไม่เพียงประชาชนมั่นใจในตัวนายกฯ ของเขาเท่านั้น ตัวนายกฯ เองก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะสิ่งที่เคลือบแคลงสงสัยมานาน บัดนี้ก็หายสงสัยเข้าใจกระจ่างแล้วว่า ถ้าจริงใจต่อประชาชน ประชาชนก็ย่อม "มีใจ" ให้เสมอ
ที่ผมพูดย้อนเรื่องเก่ามา ๒-๓ พารากราฟนี้ เพราะเมื่อวานนี้ (๑๙ เม.ย.) นายกฯ เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงที่ทำเนียบรัฐบาล มี ๔ ผบ.เหล่าทัพเป็นตัวยืน นานกว่า ๒ ชั่วโมง ผมไม่ต้องการทราบหรอกว่าเขาประชุมเรื่องอะไรกันบ้าง แต่ต้องการ "เห็น" มากกว่า และก็ได้เห็นแล้ว เห็นจากภาพในอินเทอร์เน็ต
ก็เสียดายแทนท่านผู้อ่านที่ไม่ได้เห็น เหมือนตอนนายกฯ ออกทีวีพูล "โดดเดี่ยว" ท่ามกลางแม่ทัพ นายกอง และบรรดาข้าราชการใหญ่ที่นั่งรอบโต๊ะประชุม แต่ใจไปอยู่เสียอีกทาง ในขณะที่ภายนอก ทัพเสื้อแดงกำลังฮือโหมรุกประชิดเผาเมือง!
ผมเห็นหน้าชัดๆ ของพลเอกประวิตร พลเอกอนุพงษ์ และ ฯลฯ จากอินเทอร์เน็ต เห็นแล้วก็ต้องแอบถอนหายใจด้วย "สบายใจขึ้น" แทนนายกฯ เพราะว่า มาเที่ยวนี้ แต่ละท่านดูขมีขมัน "วิญญาณทหาร" ข้นคลั่ก ลงจากรถก็พึ่บพั่บตรงเข้าห้องประชุม ครั้นประชุมเสร็จก็พึ่บพั่บออกมา
หน้าตาจากดอกยี่หุบเมื่อวันโน้น แต่ละท่านบานเป็นด้งไปตามๆ กันเมื่อวานนี้!
นี่เห็นบอกว่าวันนี้ (๒๐ เม.ย.) พลเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะ ผบ.ตร.จะออกโทรทัศน์ แถลงการณ์เป็นเรื่อง-เป็นราวรายงานให้ประชาชนทราบ เรื่องอะไรบ้างผมก็ไม่สนใจหรอก แต่สะดุดใจตรงที่ว่า บ้านเมืองแทบแหลกสลาย ประชาชนมองหาใครเป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายโดยตรง เพิ่งคิดจะโผล่หน้าออกมาพูดจากับประชาชน?
แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าเราเป็นพราน แล้วต้องฆ่าเสือที่แยกเขี้ยวใส่ทุกตัว เว้นไว้แต่เสือที่กระดิกหางให้ เราก็คงได้แต่หมามาเลี้ยงแทนเสือเท่านั้น นายกฯ อภิสิทธิ์ ถ้าไม่มีธาตุแท้ผู้นำอยู่บ้างก็คงไม่สามารถยืนอยู่ได้ในวันนี้ ฉะนั้น เมื่อขึ้นชั้นสังฆราชก็ไม่จำเป็นต้องให้เณรน้อย-เณรใหญ่เทศน์ให้สังฆราชฟัง ในทางกลับกัน คอยนั่งดูลีลาสังฆราชประกาศธรรมจะเข้าท่ากว่า
นั่นก็คือ ระยะนี้เจี๊ยวจ๊าวกันไปหมดว่า ปลดคนโน้นซี ย้ายคนนี้ซี ล้วนแต่หวังดีกับนายกฯ ทั้งนั้น แต่ผมว่าฝ่าด่าน ฝ่าสถานการณ์มาถึงขณะนี้ ประสบการณ์บอกแล้วว่า การพูด กับการทำมันคนละเรื่อง และการทำอะไรที่ไม่ประกอบด้วยกาล ด้วยสถานที่ ด้วยบุคคล ด้วยเวลา จะเสียทั้งงาน เสียทั้งคน แล้วลงท้ายก็จะ..จนใจตัวเอง!
ในความเห็นผม หน้าสิ่ว-หน้าขวาน อย่างนี้ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ใช้อำนาจไปโยกย้ายใครนอกกาล-นอกฤดูเลย ส้มในเข่งมาจากสวนพันธุ์เดียวกัน ไม่ว่าจะเลือกหยิบลูกไหนขึ้นมา มันก็เปรี้ยวหรือหวานเหมือนกันแหละ ฉะนั้น ลูกที่ปอกเปลือกอยู่ในจานตรงหน้านั่นแหละ "หวาน" ถูกปาก-ถูกคอดีที่สุด
จุกหลุด เปลือกเหลือง "ลืมต้น-ลืมพันธุ์" เอาเกลือ-น้ำตาลมาคลุกจิ้มอีกซักหน่อย จะหวานตาหยี-อร่อยอย่าบอกใครเชียว!
ผมสังเกตว่า ตอนนี้ฝ่ายรัฐบาล โดยนายกฯ กับฝ่ายข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ มีใจ-คือมีน้ำอกน้ำใจที่จะร่วมแก้ไขปัญหาบ้านเมืองมากขึ้นแต่ก่อนแล้ว เรียกว่าคุณอภิสิทธิ์ผ่านด่านการ "ลองของ" จากบรรดาข้าราชการไปจนได้ใจ อะไรๆ ทำนองนั้น
นั่นคือ การยุบสภา การย้าย ๒-๓ บิ๊ก ที่พูดจากันอยู่ ควรจะพับไว้ และนายกฯ ควรใช้บารมีที่ได้มาตอนนี้ "สมานกับทุกเหล่าข้าราชการ" หาวิธีสมัครสมานพี่น้องไทยฝ่ายเหลือง-ฝ่ายแดงให้มาเข้าใจกันให้ได้ในระดับหนึ่ง
ไม่ต้องถึงขั้นลืมขั้วแล้วมาจ๊วบ..จ๊วบ..กันหรอก เพราะมันยังเป็นไปไม่ได้ เอาที่เป็นไปได้คือ ใครแยกข้าง-แบ่งขั้ว-แบ่งสี ก็เชิญแบ่งกันตามสบาย แต่ทำยังไงจะให้แต่ละฝ่าย แสดงบทกันไปภายใต้ "กรอบ-กฎ-กติกา" อย่าทำลาย-ทำร้ายบ้านเมือง และสถาบันระบอบอันดีงามของชาติอันเป็นส่วนรวมกันเลย
แล้วหาทางให้ตัวแทนแต่ละฝ่ายมานั่งโต๊ะหารือร่วมกัน ทั้งฝ่ายข้าราชการ ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง คุณจะเอาทักษิณ ไม่ทักษิณ "ได้ทั้งนั้น" ข้อสำคัญคือว่า ร่างกฎกติกาออกมาแล้ว ทุกฝ่ายต้องเคารพและเล่นกันไปตามนั้น เฉพาะหน้านี้จะแก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือว่าครอบคลุมแนวทาง "นิรโทษกรรม" คดีการเมือง ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา ถ้าตกลงร่วมกันได้ ก็ตกลงกันไป
เรียกว่ากู้รถไฟประชาธิปไตยที่ตกราง ให้ขึ้นมาวิ่งกันบนรางใหม่อีกครั้ง เมื่อร่างกติกากันเรียบร้อย การเมืองจะเข้าเส้นสตาร์ทใหม่พร้อมๆ กัน โดยยุบสภา แล้วให้แต่ละพรรค รวมทั้งที่จะตั้งใหม่ ไม่ว่าจะฝักใฝ่เหลือง-แดง หรืออะไรก็ช่าง มาเข้าสู่เส้นสตาร์ทพร้อมๆ กัน แล้วให้ประชาชนตัดสินใจ
ประชาชนส่วนใหญ่เลือกใคร ก็ให้คนนั้น-พรรคนั้นเขาไป ใครแพ้ขืนวอแว-ถีบมันเลย!
ฝ่ายสีเหลือง หรือพันธมิตรฯ นั้นผมไม่ค่อยห่วงหรอก แต่ผมห่วงพี่น้องเสื้อแดง เพราะเขาตกอยู่ในสภาพลูกที่พ่อแม่ไม่รัก แถมพี่น้อง-เพื่อนฝูงก็รังเกียจ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น จากเหตุการณ์จลาจลเผาบ้าน-เผาเมือง และฆ่าพี่น้องประชาชนด้วยกัน เขากลายเป็นตัวผู้ร้าย เป็นศูนย์รวมความโกรธ-เกลียด-แค้น-ชิงชัง ไปเลย
น่าเห็นใจมากครับ และใครก็ไม่พยายามเข้าใจเขา ซึ่งในข้อเท็จจริง พี่น้องเสื้อแดงก็เหมือนพี่น้องเสื้อเหลืองนั่นแหละ ที่มีการแสดงออกตามความเห็น-ความเชื่อของตนทางการเมือง แต่ทีนี้ในฝ่ายเสื้อแดงนั้น มีคนบางคนแอบแฝง อาศัยคราบ "แดงบริสุทธ์" เอา "แดงอสัตย์" แฝงเข้ามาใช้บท "โจรป่า" ปล้นบ้าน-ปล้นเมือง เลยเสียชื่อป่นปี้ไปด้วยกันหมด
นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องรัก ด้วยเข้าใจพี่น้องเสื้อแดงให้มากเข้าไว้ และบนความเป็นองคาพยพแห่งรัฐทั้งหมด ฝ่ายไหน-หน่วยไหน หรือทั้งหมด จะร่วมทำกันอย่างไรให้พี่น้องเสื้อแดงได้เข้าใจว่า พี่น้องร่วมชาติด้วยกันทุกคน ยังรัก ยังผูกพัน ฉันท์เลือดร่วมชาติเหมือนเดิม ไม่ได้ผลักไส หรือมองว่าเป็นฝ่ายร้าย-ฝ่ายเลวอย่างที่มีคนเป่าหูด้วยหวังตอกลิ้มให้แตกแยกแต่อย่างใดเลย
ตรงนี้ผมว่าสำคัญนะครับ คนที่ร้ายทุกวันนี้ ลองไปไล่เรียงแล้วแยกแยะดูแต่ต้นเถอะ จะพบว่าสาเหตุ "ร้าย" มาจาก" ขาดรัก-ขาดความเข้าใจ" จากคนรอบข้างก่อนทั้งนั้น!
จะอะไรกันนักหนามนุษย์เรา ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ ๖๐ ก็เกษียณไปเป็นพ่อเฒ่า-แม่แก่อยู่กะบ้าน นักการเมือง สูงสุด ๔ ปีก็ต้องถอดหัวโขน ทั้งอภิสิทธิ์ ทั้งทักษิณ รวมทั้ง ผบ.๔ เหล่าทัพ กระทั่งไพร่ราบพลเลวอย่างผม มียาดีวิเศษขนาดไหน มันก็เกินร้อยปีไปไม่ได้หรอก แถมมันจะซี้เสียก่อนด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ลดๆ ละๆ อย่าเห็นแก่เงิน แก่ยศ แก่ตำแหน่ง แก่ความสุขสบายเฉพาะตัวจนลืมชาติบ้านเมืองอันเป็นมรดกที่บรรพบุรุษฝากฝังให้รักษาต่อๆ กันมาตามสายเลือดไทยให้มากนักเลย กินก็แค่ชั่วอิ่ม ต่อให้ใครปลูกบ้านใหญ่ยกให้อยู่ในย่านเซนต์ จอห์น วูด มันก็เท่านั้น กตัญญูต่อคนซื้อบ้านให้โดยยอมขายประเทศ ไม่รู้สึกทุเรศตัวเองบ้างหรือไง อะไรที่ถึงคราต้องเปลี่ยน ก็ให้มันเปลี่ยนไปตามครรลองของมัน ข้อสำคัญ "คนหลวง" อย่าเป็นตัวทะลวงแผ่นดิน.