Find Other Sides of Thai Politic. Update you on the political turmoil in Thailand.

อ่าน ทวิตเตอร์

Upcoming

Thursday, April 2, 2009

ประชาชน-ผู้ตามในยาม"ผู้นำหลงป่า"

"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี"  ทรงยิ่งใหญ่  มวลประชาไทยรุ่งเรือง-ไพศาล  วันนี้-วันที่  ๒  เมษายน  ๒๕๕๒  ย้อนกลับไปเมื่อ  ๕๔  ปีที่แล้ว  จะเป็นวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนฯ   ของปวงพสกนิกรไทย  และในวโรกาสคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพอันเป็นมงคลยิ่ง  ณ  วันนี้  กราบแทบพระบาทถวายพระพรชัย  ขอให้สมเด็จพระเทพรัตนฯ  ทรงพระเกษมสำราญ  พระบารมีไพศาลประสานสุขสามัคคีพสกไทย  ทรงมีพระพลานามัยเข้มแข็ง  เป็นแสงแห่งความหวังและศรัทธา  นำความไพบูลย์วัฒนาสู่สยาม  ณ  ไทยกระเดื่องเกียรติในสากล  มวลชนประชาปริ่มสุข-สิ้นทุกข์ขุกเข็ญ  ฉ่ำเย็นทั่วหล้า...ด้วยพระมหาบารมีแห่งสมเด็จพระเทพรัตนฯ  นี้..นิรันดร์

     ตราบใด-ที่ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่   ตราบนั้น-ไพร่ฟ้าประชาชนชาวไทย  และผู้ได้พึ่งอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารยังหวังได้ซึ่งสุขจากสงบ  ความเห็นต่างบางเรื่อง-บางกรณีในหมู่ชนของสังคมชาติอันสืบเนื่องมาจากแรงปลุกปั่นของบุคคล  "เพื่อผลประโยชน์ผ่านการเมือง"  นั้น

     เป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้าเฉพาะกาลเท่านั้น  แต่ลึกลงไปในหัวจิต-หัวใจ  คนไทยไม่ว่าอยู่ในสีไหน  ไม่มีใคร  "ใจคิดห่าง"  ต่อสถาบันหลักของชาติ  โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์  จะมีก็เพียงมิจฉาทิฐิ  "บางคน"  เท่านั้น  อย่าเครียดกันไปให้มากนัก  ก็ขนาดในกาลสมัย  "สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า"  พระองค์ทรงคุณประเสริฐเลิศเหนือมวลหมู่เทพและมนุษย์ถึงปานนั้น

     ก็ยังไม่วาย  มีผู้เป็นทั้งศิษย์และพระญาติพระตถาคตนามว่า  "พระเทวทัต"  สร้างความวิบัติให้กับตัวเองด้วยพฤติกรรม  ทำร้ายพระพุทธองค์  แยกสงฆ์-แยกพระพุทธศาสนา

     และวาระสุดท้าย  ไม่มีใครทำอะไร  ด้วยกรรมใด-ใครสร้าง  "ฟ้า-ดิน"  ก็ทำหน้าที่ "ธรณีสูบ"  พระเทวทัตลงสู่นรกขุมลึกสุด!

     ฉะนั้น  จงเชื่อด้วยศรัทธาในสถาบันนำชาติเถิด  ถ้าพวกเราไม่มั่นใจในความเป็นคนไทยด้วยกัน  ใจไม่ปักมั่นอยู่ในแกนในคือสถาบันหลักของชาติแล้ว  ใคร-ที่ไหนล่ะมาจะมามั่นใจในความเป็นคนไทย  และประเทศไทยของพวกเรา

     เรื่องที่ว่า  "ไทยจะแตกชาติ"  นั้น  ก็แค่วิตกจริตกันไปในหมู่คนไร้สติ  และไร้ความเชื่อมั่นในตัวเอง  จะมีเป็นเทศกาลบางครั้ง-บางคราวก็แค่  "แยกเขี้ยวใส่กัน"  เพราะคนไทยเรา  "กินดี-อยู่ดี"  กันมานานจนรำคาญความสามัคคี  อยากจะแสวงหาสิ่งแปลกใหม่มาบำรุง-บำเรอใจไปชั่วครั้ง-ชั่วคราวเท่านั้นเอง!

     แต่ผมอยากพูดให้คนในรัฐบาลได้คิด   รัฐบาลนั้นเป็นองค์กรนำสังคมชาติสูงสุดทางบริหาร  ต้องเข้าใจให้ชัดอย่างหนึ่งว่า  ธรรมชาติของประชาชน  คือ  "ผู้ตาม"

     ฉะนั้น  ใครก็ได้  ถ้าสามารถโน้มน้าว  ชักนำให้ประชาชนเกิดความเชื่อ-ความศรัทธาได้  ประชาชนก็พร้อมจะตาม  เพราะความเชื่อ-ความศรัทธาที่ค่อยๆ  สั่งสมนั้น  มายาภาพจะถูกแปลงเป็นจินตภาพ  และจินตภาพของประชาชนนั้นจะถูกแปลงอีกทอดเป็น  "ความหวังใหม่"

     และนั่นแหละ  "ตัวโค่นล้ม-ทำลาย"  ที่แท้จริงละ  โค่นล้มรัฐบาลมันเรื่องจ้อย  ประเทศชาตินั่นก็สามารถโค่นล้มได้  เพราะระลอกแล้ว-ระลอกเล่าที่ปล่อยสะสมเป็นลูกคลื่น  มันจะไล่หลังตะปบกลืนคลื่นลูกเก่าได้เสมอ

     ตรงนี้ก็จงเข้าใจให้ถูกเถอะว่า  ตีนของมวลชนไม่ว่าสีไหนที่ย่ำกันไป-ย่ำกันมา  ขณะนี้นั้น  เป็นแค่  "กลไก"  รับสั่งการจากสมองเท่านั้น  เป็นเพียง  "รูปธรรม"  ของพลังงานที่เรียกว่า  "ศรัทธาและความเชื่อ"  ที่บ่าไหลไปสู่เป้าหมายใหม่ด้วย  "ความหวังใหม่"  ในจินตภาพนั้น

     ตะเกียงขาดไส้  ไฟย่อมไม่ติด  ฉันใด  ถ้าคนสิ้นหวัง-สิ้นศรัทธาจากสิ่งไหน  สิ่งนั้นก็ย่อมอยู่ไม่ได้  ฉันนั้น!

     ก็อยากจะถามว่า  รัฐบาลก็ดี  ตำรวจก็ดี  ทหารก็ดี  บรรดาข้าราชการทั้งหลายก็ดี  พวกคุณทำหน้าที่ด้วยความเข้าใจว่า  "โลกนี้อยู่ได้ด้วยความเชื่อในศรัทธา"  ขนาดไหน  อย่างไร?

     พวกคุณกำลังจนมุมตัวเองด้วยความตีบตื้นว่า  "เขาทำตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย"  มันไม่ใช่อย่างนั้น  ถ้าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับว่า  บริโภคประชาธิปไตยด้วยความโง่เขลา  และเอาประชาธิปไตยมาบดทำลายสังคมชาติ-สังคมประเทศตัวเอง

     มีประชาธิปไตยที่ไหนในโลกนี้มั้ย  ที่ปล่อยให้โจรผู้ร้ายใช้เครื่องมือสื่อสารปลุกปั่น-ปลุกระดมผู้คนให้กระด้างกระเดื่องต่อระบบรัฐอย่างชัดแจ้ง  คำว่าแดงทั้งแผ่นดิน  พูดในเจตนาไหน  คำว่าให้มารวมตัวกันปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล  ขัดขวางไม่ให้คณะรัฐบาลเข้าทำงาน  เจตนามันคืออะไร  คำว่าให้บุกยึดศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ  มันบ่งบอกถึงอะไร?

     การให้ด่า  "ประธานองคมนตรี"  แถมถ่ายทอดวิทยุกระจายเสียงทั้งวัน-ทั้งคืน  ซึ่งคนเป็นเจ้าของกิจการได้มี  ๒  หน่วยเท่านั้นคือ  ทางราชการ  และทางกองทัพ  ก็รู้ใช่มั้ยว่าตำแหน่งประธานองคมนตรี  และองคมนตรีมาจากไหน  มีหน้าที่อะไร  แล้วปล่อยให้ใส่ร้ายป้ายสีหวังเซาะทำลายสถาบันหลักของชาติ  ไม่ว่าจะเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์  สถาบันองคมนตรี  สถาบันศาล  อยู่อย่างนี้ได้อย่างไร?

     อ้างว่า  "ถอดเทปแล้วยังไม่พบว่ามีการพูดจาเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน"  นี่น่ะเรอะการวินิจฉัยที่ลุ่มลึกของตำรวจที่มาจาก  "กระบี่แตะบ่า"  และเมื่อจนตา-จนท่าเข้าก็อ้างว่า...ทำอะไรไม่ได้  เพราะเขาชุมนุมกันตามประชาธิปไตย

     รัฐบาลอ้างประชาธิปไตยแบบ  "ตาบอดคลำช้าง"  หรือเปล่า  กฎหมายบ้านเมืองก็ดี  กฎหมายทางศาสนาก็ดี  ตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ  "ยึดเจตนา"  เป็นศูนย์กลางแห่งการวินิจฉัยผิด-ถูก  แล้วท่านเข้าใจมั้ยว่า  พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระเบิดพลีชีพตัวเองครั้งนี้  "เจตนา"  คืออะไร  ถ้าจะบอกว่า  "ตีไม่ออก"  ก็ไม่เป็นไร

     แหกหูฟังที่ทักษิณมันพูดแต่ละวัน-แต่ละคำบ้างมั้ยว่า  นั่นมันส่อเจตนาจะเป็น  "ผีบุญคนที่ ๒"  ของเมืองไทยใช่ไหม!?

     กองทัพแดงของทักษิณนั้น  ผมสมเพชมากกว่าเกลียดชัง  มันทำอะไรกันเป็นนอกจากดมขี้ตีนพันธมิตรฯ  แล้วทำตาม  แต่ถ้าดมขี้ตีนแล้วทำตามให้ตลอดมันก็ดี  และมันจะไม่เป็นอย่างนี้  เพราะที่พันธมิตรฯ  เขาทำ  ทำด้วยเจตนาบนเป้าหมาย  "พิทักษ์รักษาสถาบัน"  บากบั่น-พิฆาตไอ้ชั่วชาติโกงบ้าน-กินเมือง  ไม่มีเรื่องแยกอำนาจ-แยกประเทศเพื่อสถาปนาตัวข้าเป็นอำนาจใหม่

     นี่..ตัวอย่างดีๆ  ของพันธมิตรฯ  อย่างนี้  กลับไม่ลอกไปทำตาม  ดันไปลอกตัวอย่างไม่ดี  เช่น  ยึดทำเนียบฯ  ดาวกระจายไปทำตาม  แล้วก็มาอ้างว่า  "พันธมิตรฯ  ทำได้  เสื้อแดงก็ทำได้"  อย่างนี้  มันเป็นตรรกะที่ใช้อิงเพื่ออ้างไม่ได้  เหมือนเห็นโจรปล้นร้านทอง  ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้  ก็จะอ้างปล้นบ้าง  ตำรวจจะจับก็เถียงว่า..ก็ทีไอ้นั่นยังจับไม่ได้  แล้วจะมาจับข้าได้ยังไง

     พันธมิตรฯ   ยอมทำผิดบางครั้ง  ก็เพื่อพิทักษ์รักษาสิ่งดี  ด้วยพร้อมยอมรับในความผิดนั้น  แต่กองทัพแดง  ไปจำลองผิดเขามาทำผิด  เพื่อพิทักษ์สิ่งจัญไรนายแม้ว  และสร้างความฉิบหายขายบ้าน-ขายเมือง  ซ้ำแข็งขืนขัดเคืองต่อระบบรัฐ-อำนาจรัฐ

     อย่างนี้มัน  "ประชาธิปไตยในรอยตีนควาย"  เถลือกไถลไปข้างๆ  คูๆ  ก็สมแล้วที่เป็นสมุนเจ้ามูลแม้ว  ตามคำโบราณที่ว่า  "นายเป็นแบบไหน  ขี้ข้าก็เป็นแบบนั้น"  เปี๊ยบเลย!

     ผมพูดถึง  "ผีบุญ"  ไว้ข้างบน  บางท่านอาจฉงนมันคือใคร?  ก็อยากเฉลยซักนิด  ย้อนไปเมื่อปี  พ.ศ.๒๕๐๒  ในยุคจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ปฏิวัติครั้งที่  ๒  และเป็นนายกรัฐมนตรี  มีเหตุเกิดขึ้นที่อำเภอโชคชัย  จังหวัดนครราชสีมา  ชาวบ้านร้อยกว่าคนฆ่านายอำเภอ  ครู ผู้ใหญ่บ้าน  และข้าราชการอีกหลายคนตาย  เมื่อเจ้าหน้าที่ยกกำลังไป  กองทัพชาวบ้านก็รบต้าน-รักษาเมือง

     สุดท้ายถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปราบ  ตายไปก็มี  หนีกันแตกฉานซ่านเซ็นไปก็มี  ถูกจับกุมได้ก็มี  โดยเฉพาะ  "หัวหน้าใหญ่"  พาเมียสาวพร้อมลูกน้องจำนวนหนึ่งแหกวงล้อมเจ้าหน้าที่หนีไปได้

     โน่นแน่ะ  หนีจากโคราชไปเข้าป่าลึกทางอุบลราชธานี  เตรียมจะหนีออกประเทศลาว  ตำรวจจับได้เอาขึ้นรถไฟมาขังไว้ที่โคราช  จอมพลสฤษดิ์ให้เอาตัวมาที่กองปราบปรามสามยอด  กรุงเทพฯ  และไปสอบสวนด้วยตัวเอง  เสร็จแล้วให้เอาตัวกลับไปขังไว้ที่โคราชตามเดิม

     แล้วเมื่อวันที่  ๒๖  มิถุนายน  ๒๕๐๒  (๒๖  เหมือนกัน  แต่คนละเดือน-คนละปีที่ทักษิณสั่ง  "แดงทั้งแผ่นดิน")  คณะรัฐมนตรีก็ลงมติใช้  ม.๑๗  ยิงเป้าที่บริเวณป่าช้าจีน  โคราช  ด้วยความผิดอันเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า  ปลุกปั่นก่อการจลาจลในบ้านเมือง  แล้วแยกดินแดน  ประกาศตั้งอาณาจักรเป็นอิสระ  พร้อมสถาปนาตนเองเป็น  "พระเจ้าแผ่นดิน"!

     เขาผู้นั้นคือ  "นายศิลา  วงศ์สิน"  ที่เรียกกันว่า  "ผีบุญ"  อายุประมาณ  ๕๐  ปี  เดิมเป็นคนมีรกรากอยู่แถวๆ  อุบลฯ  ร่ำเรียนทางวิชาอาคมขลัง  ทำนองหมอผีจอมขมังเวท  จนมีคนหลงเชื่อมยอมเป็นสานุศิษย์ติดตาม  ได้ใช้รถบรรทุกหลายคันขนทั้งคน-ทั้งของเดินทางจากอุบลฯ  มาสร้างอาณาจักรที่หมู่บ้านไทยเจริญ  อำเภอโชคชัย

     ก็คงจะมีเงินหนา  เพราะมาถึงก็จ้างชาวบ้านไม่อั้นหักร้างถางพง  ปลูกอาคารบ้านช่องพร้อมสมุน-บริวารนับร้อยนั้นสถาปนาเป็นเมือง  ทำทางเข้าเมือง  แล้วทำป้อมปราการขึ้นรอบทั้ง  ๔  ทิศ  ให้ชาวบ้านถือปืนเป็นยามรักษาการณ์  เรียกว่าสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นปกครอง  และป่าวร้องไปทั่วว่า  จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน!

     เคราะห์ดีสมัยนั้นยังไม่มี  "วิดีโอลิงค์"  ไม่งั้นดังระดับ  CNN  ไปแล้ว!
     ผีบุญประกาศเช่นนั้น  ปรากฏว่าระดับนายอำเภอ  ปลัดอำเภอ  ครู  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  เขายังยอมไม่ได้  ไม่ต้องรอนายพล  นายหมื่นจากกรมตำรวจหรือจากกองทัพ  หรือจากเจ้ากระทรวงมหาดไทยยุรยาตรมาวินิจฉัย  เขาใช้มโนสำนึกของ  "ข้าในแผ่นดิน"  วินิจฉัยกันได้ลงตัว  ก็ยกขบวนกันเข้าไปตรวจสอบถึงพื้นที่

     ไปด้วยหวังดีต่อบ้านเมือง  แต่ถูกกองกำลังผีบุญผู้หวังร้ายต่อบ้านเมืองฆ่าตายดังกล่าว  อย่างนี้ค่อยคู่ควรกับคำว่า  "พลีชีพ"  หน่อย  เมื่อคณะผีบุญกำแหงหาญ  ตำรวจต้องยกกำลังเข้าไปล้อมจับ  ผู้แยกแผ่นดิน  ผู้ตั้งตนเป็นกษัตริย์จึงถูกจับ-ถูกประหารในที่สุด

     จอมพลสฤษดิ์ถามนายศิลา  วงศ์สิน  "ผีบุญ"  อยู่คำ  ก่อนส่งกลับไปรอโทษประหารว่า
     "ลื้อกำแหงคิดแบ่งแยกดินแดนละซี"
     ผีบุญไม่ตอบ  ได้แต่ก้มลงกราบตีนจอมพลสฤษดิ์  ตะกุกตะกักว่า...ผม..ผม..ไม่เคยคิดเลยครับ!

     เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   ประชาชนนั้น  เกิดมาเพื่อเป็นผู้ตาม  ถ้าใครทำให้เชื่อได้-หวังได้  ประชาชนก็พร้อมตามผู้นั้น  และในทำนองนั้น  อำนาจรัฐ  มีเพื่อจัดระเบียบสังคมมิให้ใครไปตั้งตัวเป็นใหญ่  แยกบ้าน-แยกเมืองไปครอบครอง  หรือย่อยลงมาก็จะไม่ยอมให้ใครเหยียบหัวแม่ตีนใคร  นั่นคือความหมายของคำว่าประชาธิปไตย  แต่ถ้าอำนาจรัฐปล่อยให้เหยียบหัวแม่ตีนกันได้เปรอะไป  ใครตีนใหญ่กว่า-ประชาชนก็พร้อมตาม  โดยนิยามนี้  "ทหาร-ตำรวจ"  ต้องเข้าใจ  ไม่ใช่อ้างแต่ว่า  "ให้คนเสียหายมาแจ้งความ"  ทั้งที่ความผิดนี้เกิดขึ้นซึ่งหน้า  ในกรณีด่า  "ประธานองคมนตรี"  เป็นต้น  ทหารก็เช่นกัน  พูดเป็นอยู่คำเดียวว่า  "การันตีไม่ปฏิวัติ"  พูดทำไม..ใครต้องการให้ทหารปฏิวัติ..แต่แค่ไม่ปฏิวัติแล้วจะเคลมว่าเป็น  "ทหารประชาธิปไตย"  มันง่ายเกินไปนะท่าน  ประชาธิปไตยหรือปฏิวัติจะมีความหมายอะไร..ถ้าประเทศไทยไม่สุข  และไม่สงบ.

แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์  คอลัมน์ เปลวสีเงิน  วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552

Label Cloud